จีนเอาจริง หลัง “ไล่ ชิงเต๋อ” กล่าวในพิธีสาบานตนแสดงนัยประกาศเอกราช จัดกองทัพซ้อมรบปิดล้อมไต้หวันเพื่อลงโทษ สั่งสอนว่าจะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด สหรัฐฯ ไม่สามารถช่วยเหลือได้ ขณะ ปธน.ไต้หวัน ยังสำคัญตัวเองผิด คิดว่าเป็น “เอ็มวีพี” คนแรกของฝ่ายประชาธิปไตย ที่แท้เป็นแค่เบี้ยตัวแรก
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้วิเคราะห์กรณีกองทัพจีนซ้อมรบรอบเกาะไต้หวัน หลังจากเมื่อวันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา นายไล่ ชิงเต๋อ ซึ่งชนะการเลือกตั้งเมื่อเดือนมกราคม 2567 ได้ทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีไต้หวัน และได้ใช้วาทกรรมว่า “ไต้หวันกับจีนไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน” ซึ่งแปลความง่ายๆ ก็คือ การประกาศว่าไต้หวันเป็นเอกราชนั่นเอง
สำหรับ วาทกรรมนี้ นางไช่ อิงเหวิน ประธานาธิบดีไต้หวันคนก่อนหน้าเป็นคนริเริ่มใช้ และ นายไล่ ชิงเต๋อ ซึ่งเป็นอดีตรองประธานาธิบดีสมัยไช่อิงเหวิน ก็นำมาใช้ต่อทั้ง ๆ ในการเลือกตั้งเมื่อ วันที่ 13 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าของนายไล่ ชิงเต๋อ พ่ายแพ้พรรคก๊กมินตั๋ง ในด้านจำนวน ส.ส. ที่นั่งในสภา โดยพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าได้ สส. 51 คน พรรคก๊กมินตั๋งได้ ส.ส.52 คน
พรรคของนายไล่จึงต้องยกตำแหน่งประธานสภาให้กับพรรคก๊กมินตั๋ง และเผชิญกับความยุ่งยากในการผ่านร่างกฎหมายต่าง ๆ ก่อนหน้าที่นายไล่ ชิงเต๋อ สาบานตัวเพียงวันเดียว ในสภานิติบัญญัติก็เกิดความวุ่นวายจนแทบจะตบตีกัน ในระหว่างการลงมติร่างกฎหมาย
ทั้งนี้ทวาทกรรมของนายไล่ ชิงเต๋อ ที่พยายามอ้างว่าไต้หวันกับจีนไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ภายในเวลาไม่ถึง 72 ชั่วโมงให้หลัง กองทัพปลดแอกประชาชนจีนได้สั่งซ้อมรบปิดล้อมเกาะไต้หวัน ในช่องแคบไต้หวัน ตอนเหนือ ตอนใต้ และตะวันออกของเกาะไต้หวัน รวมถึงพื้นที่โดยรอบ เกาะจินเหมิน เหลียนเจียง อูชิว และตงอิ่น ระหว่างวันพฤหัสบดีและศุกร์ที่ 23-24 พฤษภาคม โดยกองบัญชาการยุทธภูมิตะวันออกของกองทัพจีน ระบุว่าเป็น การลงโทษขั้นรุนแรงต่อพฤติกรรมแบ่งแยกดินแดน” และเป็น “คำเตือนอย่างรุนแรงต่อการแทรกแซงและยั่วยุของกองกำลังภายนอก” ซึ่งกองทัพจีนได้ใช้คำว่า “การลงโทษ (Punishment)” เป็นครั้งแรก
พันเอก อู๋ เชียน โฆษกกระทรวงกลาโหมของจีน ประกาศว่า “การซ้อมรบคร้งนี้ มุ่งเน้นไปที่การลงโทษความอหังการ์ของกองกำลังแบ่งแยกไต้หวันเป็นอิสระ และยับยั้งการเข้าแทรกแซงจากกองกำลังภายนอก การดำเนินการครั้งนี้ถูกต้องตามหลักการ กฎหมาย และมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
“ผู้นำของไต้หวันเพิ่งขึ้นมารับตำแหน่งก็ละเมิดหลักการ 'จีนเดียว' พยายามโน้มน้าว ล่อลวงให้เกิดการแบ่งแยกประเทศออกเป็นสอง เพื่อจุดประสงค์ในการประกาศอิสรภาพให้ไต้หวัน ด้วยการใช้กำลัง และการสนับสนุนจากกองกำลังภายนอก ผลักเพื่อนร่วมชาติชาวไต้หวันให้ตกอยู่ในความสุ่มเสี่ยงของสงคราม การกระทำครั้งนี้ถือเป็นการเล่นกับไฟ และผู้ที่เล่นกับไฟ สุดท้ายก็จะถูกไฟ ก็จะถูกไฟเผาจนมอดไหม้เสียเอง"
สำหรับ การซ้อมรบใหญ่เพื่อปิดล้อมเกาะไต้หวันครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 2 ปีแล้ว โดยครั้งแรก มีขึ้นระหว่างวันที่ 4-10 สิงหาคม 2565 หลังจากนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เดินทางเยือนไต้หวัน
ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นหลังจากนั้น 8 เดือน ในวันที่ 8-10 เมษายน 2566 หลังจากนางไช่ อิงเหวิน เดินทางไปสหรัฐฯ และพบกับนายเควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม การซ้อมรบของกองทัพจีนครั้งนี้ก็มีความแตกต่างจาก 2 ครั้งที่ผ่านมา คือ 1.การซ้อมรบครั้งนี้ใช้ชื่อว่า “เหลียนเหอ ลี่เจี้ยน” หรือ Joint Sword-2024A ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับการซ้อมรบเมื่อปีที่แล้ว นัยของชื่อครั้งนี้คือการสื่อว่าจะมีการซ้อมรบเป็นประจำปีไปเรื่อย ๆ
และในปีเดียวก็อาจมีการซ้อมรบหลายครั้ง เช่น 2024A - 2024B - 2024C ถ้าหากผู้นำไต้หวันยังไม่ลดละท่าทีแสวงหาเอกราช และต่างชาติยังแทรกแซงกิจการเรื่องไต้หวัน ไต้หวันอาจต้องเผชิญกับการซ้อมรบที่กลายเป็น “ปกติวิสัย” ในอนาคต
2.การซ้อมรบครั้งนี้ ไม่มีการประกาศล่วงหน้า แตกต่างจากการซ้อมรบในปี 2565 เพื่อตอบโต้การเยือนไต้หวันของนางแนนซี เพโลซี ที่กองบัญชาการยุทธภูมิตะวันออกของกองทัพจีน ประกาศล่วงหน้า 2 วันก่อนเริ่มซ้อมรบ
3.การซ้อมรบครั้งนี้เป็นการซ้อมรบร่วมระหว่าง 4 กองทัพของจีน คือกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศและกองพลขีปนาวุธ นอกจากนี้ ยังมี หน่วยยามฝั่ง(coast guard) หรือ ตำรวจน้ำหรือ ไหจิ่ง (海警)เข้าร่วมด้วย โดยระบุชัดเจนว่าเป็น “การบังคับใช้กฎหมาย”
สำหรับ การเข้าร่วมของ “หน่วยยามฝั่ง”ครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการซ้อมรบล้อมเกาะไต้หวัน โดยมีเรือ 16 ลำเข้าร่วม(9 ลำปฏิบัติการในเกาะรอบนอก และ 7 ลำปฏิบัติการใกล้กับเกาะไต้หวัน)ทั้งนี้ แม้ว่า“หน่วยยามฝั่ง” จะไม่ได้ติดตั้ง “อาวุธหนัก” แต่ก็มีแสนยานุภาพมากกว่าหน่วยลาดตระเวนทั่วไป ซึ่ง ฟิลิปปินส์ ที่กำลังมีข้อพิพาทกับจีนในทะเลจีนใต้ รู้ดีว่าหน่วยยามฝั่งของจีนนั้นก็คือ “กองทัพเรือในรูปแบบของพลเรือน” นั่นเอง
4.การซ้อมรบครั้งนี้ กองทัพจีนใช้เครื่องบินรบมากกว่า 40 ลำ เรือรบ 15 ลำ และเรือของหน่วยยามฝั่ง 16 ลำ ถือเป็นจำนวนที่มากที่สุดในรอบปีนี้
5.นอกจากนี้ คำบรรยายวัตถุประสงค์ของการซ้อมรบครั้งนี้ยังแตกต่างจากครั้งก่อนหน้า โดยมีคำอธิบายบรรยายวัตถุประสงค์ว่า
-เพื่อเตรียมความพร้อมการรบทางทะเลและทางอากาศ
-ร่วมกันยึดสมรภูมิแบบบูรณาการ ก็คือถ้าจะยึดไต้หวัน ทั้ง 4 กองทัพจะร่วมกันยึดไต้หวันเลย
-ร่วมกันโจมตีเป้าหมายหลักอย่างแม่นยำ
-ตรวจตราและลาดตระเวนรอบช่องแคบไต้หวัน
-ปฏิบัติการแบบบูรณาการทั้งภายนอก-ภายใน
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ประเทศจีนใช้คำว่า "แนวเกาะ" หมายถึงเกาะไต้หวัน และพื้นที่เกาะเล็กๆ โดยรอบ รวมถึงน่านน้ำที่เกี่ยวข้อง
ก่อนหน้านี้จีนระบุพื้นที่การปฏิบัติการว่าเป็นภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออก ของเกาะไต้หวัน หรือว่าเกาะไต้หวัน (Taiwan Island) และเป็นการทดสอบความสามารถในการรบร่วมในสถานการณ์การต่อสู้จริง
6.พื้นที่ซ้อมรบครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อน โดยแบ่งเป็น 5 โซนหลักรอบเกาะไต้หวัน และ 4 โซนในเกาะรอบนอก คือ เกาะจินเหมิน, อูชิว, มาจู่ และ ตงอิ่งโดยครั้งก่อน ๆ พื้นที่ 4 เกาะรอบนอกนี้ไม่ได้อยู่ในเขตซ้อมรบ แต่ในครั้งนี้เกาะรอบนอกทั้ง 4 อยู่ในปฏิบัติการของหน่วยยามฝั่งของจีน และเป็นครั้งแรกที่หน่วยยามฝั่งของจีนเข้าใกล้พื้นที่ 4 เกาะซึ่งอยู่ในการดูแลของไต้หวัน
7.พื้นที่ซ้อมรบ 5 โซนหลักรอบเกาะไต้หวัน ขยับเข้าใกล้เมืองสำคัญของไต้หวันมากกว่าครั้งก่อน ๆ เช่น นครไทเป เพื่อแสดงให้เห็นว่ากองทัพจีนสามารถเข้าถึงศูนย์กลางอำนาจของผู้นำไต้หวันได้ทันที
เมืองฮัวเหลียน เป็นท่าเรือสำคัญ เพื่อแสดงถึงการปิดล้อมเส้นทางขนส่งพลังงาน, เส้นทางที่สหรัฐและพันธมิตรจะส่งกำลังมาช่วยเหลือไต้หวัน และ เส้นทางหนีของชาวไต้หวันถ้าหากเกิดสงคราม
นอกจากนี้ เมืองฮัวเหลียน ยังเป็นฐานการเมืองของ นางเซียว เหม่ยฉิน หรือ เซียว บี-คิม รองประธานาธิบดีคนใหม่ของไต้หวันลูกครึ่งไต้หวัน-อเมริกัน ที่เคยดำรงตำแหน่งอดีตทูตไต้หวันประจำสหรัฐฯ ด้วย
ช่องแคบปาซื่อ อยู่ในพื้นที่ซ้อมรบโซนตะวันออกเฉียงใต้ ช่องแคบนี้เป็นเส้นทางน้ำที่เชื่อมช่องแคบไต้หวันกับทะเลจีนใต้ และมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นเส้นทางการเดินเรือที่สำคัญ และเป็นเส้นทางส่งกำลังบำรุงในยามสงครามด้วย
เมืองเกาสง อยู่ในพื้นที่ซ้อมรบโซนตะวันตกเฉียงใต้ เป็นท่าเรือคอนเทนเนอร์ที่สำคัญที่สุดของไต้หวัน และเป็นศูนย์กลางการนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ รวมทั้งเป็นฐานทัพเรือหลักของกองทัพไต้หวัน จึงเป็นการปิดล้อมทั้งทางเศรษฐกิจ และกองทัพเรือไต้หวันด้วย
รวมไปถึงหมู่เกาะเผิงหู อยู่ในพื้นที่ซ้อมรบโซนตะวันตก เป็นการปิดล้อม ช่องแคบไต้หวัน โดยพื้นที่นี้หน่วยยามฝั่งของจีนส่งเรือ 3 ลำเข้ามาในพื้นที่นี้
8.การซ้อมรบครั้งนี้ ไม่มีการใช้กระสุนจริง ไม่มีการยิงขีปนาวุธ ซึ่งกองทัพจีนอาจ “คิดเผื่อเอาไว้” กรณีการยกระดับการซ้อมรบครั้งต่อไป ถ้าหากไต้หวันยังคงแสดงพฤติกรรมยั่วยุที่จะแบ่งแยกประเทศ หรือ มีผู้นำต่างชาติระดับสูงเดินทางเยือนไต้หวัน เหมือนนางแนนซี เพโลซี
ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่า การซ้อมรบครั้งนี้แตกต่างจากอดีต ตรงที่ กองทัพจีนต้องการแสดงความสามารถ“พร้อมรบทันที” และใช้วิธีล้อมเกาะไต้หวัน เพื่อแยกไม่ให้เกาะไต้หวันส่งความช่วยเหลือให้เกาะรอบนอก ถ้ารบกันจริง ๆ เกาะ 4 เกาะที่เป็นแนวหน้า อยู่ใกล้กับจีนมาก (เกาะจินเหมิน, อูชิว, มาจู่ และ ตงอิ่ง) จะถูกกองทัพจีนยึดได้เป็นด่านแรก
ไล่ ชิงเต๋อ สำคัญตัวผิด เอ็มวีพีประชาธิปไตยหรือ แค่เบี้ยตัวแรก?
กลับไปถึงวันที่ นายไล่ ชิงเต๋อ กล่าวในสุนทรพจน์วันรับตำแหน่งประธานาธิบดีว่า “ไต้หวันจะเป็น MVP ของโลกประชาธิปไตย” คำว่า MVP ย่อมาจาก Most valuable player หรือ ผู้ที่มีค่ามากที่สุด โดย นายไล่ ชิงเต๋อ บอกว่า ไต้หวันตั้งอยู่บนจุดยุทธศาสตร์ของ “แนวเกาะที่ 1”ซึ่งเป็นจุดภูมิรัฐศาสตร์ที่จะส่งผลต่อการพัฒนาของทั่วโลก เป็นด่านแรกแห่งการปกป้องสันติภาพโลก
คำว่า แนวเกาะที่ 1 หรือ First Island Chain เป็นเส้นยุทธศาสตร์ที่สหรัฐฯ กำหนดขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิก ทอดยาวตั้งแต่ หมู่เกาะคูริลทางตอนเหนือ(ซึ่งอยู่ในความควบคุมของรัสเซีย)เรื่อยไปถึงญี่ปุ่น โอกินาวา ไต้หวัน ตอนเหนือของฟิลิปปินส์ จนถึงเกาะบอร์เนียว
แนวเกาะที่ 1 คือ เส้นทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ซึ่งไต้หวันคิดว่า ตัวเองอยู่ตรงกลางของแนวเกาะที่ 1 จึงสำคัญตัวเองว่า มีความสำคัญที่สุด แต่นักยุทธศาสตร์หลายคนบอกว่า ถ้าเกิดสงครามขึ้นจริง ๆ คนที่สหรัฐฯ จะเลือกปกป้องในแนวเกาะที่ 1 คือญี่ปุ่น ไม่ใช่ไต้หวัน
นอกจากนี้ สหรัฐฯ ก็กำลังโอ๋ “ลูกรักคนใหม่” ก็คือ ฟิลิปปินส์ ที่ยุยงให้หาเรื่องจีนในทะเลจีนใต้ แล้วอย่างนี้ ไต้หวันจะเป็น MVP อย่างที่นายไล่ ชิงเต๋อบอกได้จริงหรือ ?
นายไล่ ชิงเต๋อ ยังประกาศด้วยว่า ไต้หวันถือเป็นผู้นำในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ ที่มีความทันสมัยมากที่สุด มีอิทธิพลต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ และความเจริญรุ่งเรืองของมวลมนุษยชาติ
ซึ่งในกรณีนี้ นายไล่ ชิงเต๋อ ก็สำคัญตัวเองผิดเช่นกัน เพราะว่า การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ สิ่งสำคัญคือ ต้องมี ไฟฟ้า น้ำสะอาด และไม่มีแรงสั่นสะเทือน แต่ถ้าหากช่องแคบไต้หวันถูกปิดล้อม ไต้หวันที่เป็นเกาะ ไฟฟ้าดับบ่อย ๆ น้ำประปาก็ไม่พอใช้อยู่แล้ว ยิ่งถ้ามีการซ้อมรบเป็นประจำ ตูมตามตูมตาม เซมิคอนดักเตอร์จะยังผลิตได้อยู่หรือ ?
ไต้หวันต้องยอมรับว่า ถ้าหากเทียบกำลังรบ ของจีนกับไต้หวันแล้ว จีนมีกำลังพลมากกว่าเกิน 10 เท่าตัว ไต้หวันทำอย่างไรก็สู้จีนไม่ได้
ทว่าในความเป็นจริงแล้ว จีนไม่อยากต้องเสียเลือดเสียเนื้อ รบกับพี่น้องเชื้อชาติเดียวกัน จีนมีทางเลือกที่จะบีบไต้หวันทางเศรษฐกิจอีกมากมาย และถ้าจะต้องเปิดศึกกันจริง ๆ ไต้หวันที่เป็นเกาะถูกปิดล้อม ตัดเส้นทางการคมนาคม ทำการค้าไม่ได้ เครื่องบินขึ้นลงไม่ได้ เรือออกทะเลไม่ได้ แล้วไต้หวันจะทนถูกปิดล้อมอยู่ได้สักกี่วัน กี่สัปดาห์ หรือ กี่เดือน ?
นายไล่ ชิงเต๋อ แกล้งไม่รู้หรือว่า สหรัฐฯ มองไต้หวันเป็นแค่ “เบี้ย” ตัวหนึ่งเท่านั้น อาวุธที่ขายให้ไต้หวันก็ล้าสมัย และโก่งราคาแพงลิ่ว สหรัฐฯ เห็นแค่ประโยชน์ส่วนตัว พอหมดประโยชน์ หรือว่าผลประโยชน์เปลี่ยนไป ก็พร้อมจะทิ้งกันทันที
ที่สำคัญก็คือ เมื่อเกือบ 50 ปีที่แล้ว สหรัฐฯ ก็เคยทิ้งไต้หวันมาแล้ว โดยหันไปสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีน หลังจากการเยือนจีนของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน เพราะสมประโยชน์ที่จะใช้จีนเพื่อคานอำนาจของสหภาพโซเวียต
“นายไล่ ชิงเต๋อ จะเป็นผู้นำไต้หวันคนสุดท้าย และเป็นผู้นำไต้หวันที่สามารถจะก่อให้เกิดสงครามในการยึดไต้หวันด้วยกำลัง จากปากที่เสีย หรือที่คนแต้จิ๋วเรียกว่า เฉาฉุ่ย แล้วลืมตัว ลืมไปนึกว่าตัวเองมีอเมริกาอยู่เบื้องหลัง รวมทั้งเกาหลี ญี่ปุ่น
“การซ้อมรบแบบไม่บอกล่วงหน้า แล้วปิดเกาะไต้หวัน น่าสังเกตอย่างหนึ่ง กองทัพเรือที่ 7 ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก หรือกองทัพเรือของญี่ปุ่น กับเกาหลีใต้ เงียบสนิท เงียบกริบ ตีตัวออกห่างไปเลย ไม่เข้ามายุ่งเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะพวกนี้รู้ว่าจีนเอาจริง
“อเมริกาเองก็ปวดหัวกับนายไล่ ชิงเต๋อ เพราะว่าเขาพูดในทางลับเป็นส่วนตัวว่า อย่าพูดเป็นนัยของการขอเป็นเอกราช แค่กวนตีนเฉยๆ ก็พอแล้ว แต่ถ้าจะเล่นแรงอย่างนี้ ผมเชื่อว่าอเมริกาก็บอกไต้หวันว่าตัวใครตัวมันก็แล้วกัน กูไม่รบกับจีนเพราะมึงหรอก ท่านผู้ชมครับ นี่คือสัจธรรมที่แท้จริง” นายสนธิ กล่าว