จีนเตรียมการยึดไต้หวัน หรือผนวกดินแดนของเกาะไต้หวันเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของจีนแผ่นดินใหญ่ภายในปีนี้ หลังจากเสร็จสิ้นการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวัน
ไต้หวันจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรงครั้งที่ 8 ในวันที่ 13 มกราคมนี้ โดยคาดว่าตัวแทนของพรรคก๊กมินตั๋ง นายHou Yu-ih จะชนะการเลือกตั้ง ซึ่งจะปูทางไปสู่การรวมชาติระหว่างจีนแผ่นดินใหญ่และไต้หวัน เนื่องจากพรรคก๊กมินตั๋งมีนโยบายต้องการรวมชาติกับจีน
ถ้าหากจีนและไต้หวันสามารถรวมชาติกันได้ จะเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกในปี 2024 นี้ ซึ่งจะมีผลกระทบในวงกว้างในแง่ของภูมิรัฐศาสตร์โลก
สี จิ้นผิง ผู้นำจีนได้ส่งสัญญาณชัดเจนมาตลอดว่าไต้หวันเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของจีน การรวมชาติระหว่างจีนกับไต้หวันเป็นกิจการภายใน และเป็นเป้าหมายที่สูงสุดของจีนที่คนนอกไม่อาจที่จะแทรกแซง หรือขัดขวางได้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของเวลาเท่านั้น
ดูเหมือนว่าเงื่อนไขของเวลานั้นจะเป็นปี 2024 นี้ เนื่องจากสถานการณ์โลกเริ่มเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นสงครามยูเครน สงครามอิสราเอล ดอลลาร์กระดาษที่กำลังสั่นคลอนจากภาระหนี้ $34 ล้านล้านของรัฐบาลสหรัฐฯ การออกจากระบบดอลลาร์ของกลุ่มบริกส์ ความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นระหว่างขั้วโลกตะวันตกและขั้วโลกตะวันออกทำให้มีความเสี่ยงมากยิ่งขึ้นที่จะเกิดสงครามใหญ่
จีนจึงเห็นความจำเป็นที่ต้องเร่งเครื่องในการผนวกไต้หวันเพื่อคุมเกมในภูมิภาคนี้
การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้ นางไช่ อิงเหวิน แห่งพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) จะไม่ลงสมัคร เนื่องจากเธอได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี 2 ครั้งติดต่อกันนับตั้งแต่ปี 2016 จึงไม่มีสิทธิ์ได้รับการเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 3 ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ
การเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันจึงจะเป็นการชิงชัยกันระหว่าง 3 ผู้สมัคร คือ
1. พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า หรือ DPP ได้เสนอชื่อรองประธานาธิบดี Lai Ching-te ในเดือนมีนาคม 2023 โดยได้รับตำแหน่งประธานพรรคด้วย
2. พรรคฝ่ายค้านหลักก๊กมินตั๋ง (KMT) เสนอชื่อนายกเทศมนตรีนิวไทเป Hou Yu-ih เป็นผู้สมัครลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2566
3. พรรคประชาชนไต้หวัน (TPP) ได้เสนอชื่อผู้นำพรรค Ko Wen-je อดีตนายกเทศมนตรีกรุงไทเป
ถ้าหากว่านายLai Ching-te ซึ่งเป็นคนสนิทของนางไช่ชนะการเลือกตั้ง เขาจะดำเนินนโยบายเอาใจออกห่างจากจีนต่อไป ที่ผ่านมาจีนกล่าวหาว่า นายLai Ching-te สนับสนุนให้ไต้หวันแยกตัวเป็นรัฐอิสระ และสร้างความเสี่ยงของสงครามที่จะตามมา
ถ้าหากนายHou Yu-ih ตัวแทนของพรรคก๊กมินตั๋งชนะการเลือกตั้ง เขาจะหันไปสร้างสัมพันธ์ที่แนบแน่นขึ้นระหว่างไต้หวันกับจีน จนมีความเป็นไปได้จะนำไปสู่การรวมชาติ ซึ่งสี จิ้นผิงมองเป็นเรื่องเร่งด่วนที่อาจจำเป็นต้องทำให้เสร็จภายในปี 2024 นี้ เนื่องจากความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์โลกที่เพิ่มขึ้น และความเสี่ยงในการทำสงครามกับสหรัฐฯ
ในอดีตที่ญี่ปุ่นยึดครองจีน ญี่ปุ่นใช้ไต้หวันเป็นฐานทัพที่สำคัญในการรุกรานจีน จีนจะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์นี้ซ้ำรอยอีกครั้ง จึงต้องรีบผนวกไต้หวันก่อนสงครามใหญ่จะเกิดขึ้น
ส่วนนายKo Wen-je คงจะได้คะแนนอันดับสาม ไม่มีโอกาสชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในครั้งนี้
สื่อส่วนมากมองว่านายLai Ching-te ของพรรคก้าวหน้าประชาธิปไตยที่ตะวันตกให้การสนับสนุนมีภาษีเหนือกว่านายHou Yu-ih ของพรรคก๊กมินตั๋ง โดยอ้างอิงถึงคะแนนความนิยมในผลของโพลต่างๆ
แต่ถ้าวัดดูจากกระแสของการเลือกตั้งท้องถิ่นในวันที่ 26 พฤศจิกายนปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าคะแนนความนิยมของพรรคก้าวหน้าประชาธิปไตยตกต่ำลงไปมาก ต้องพ่ายแพ้ต่อตัวแทนของพรรคก๊กมินตั๋งทำให้นางไช่ต้องลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าเพื่อแสดงความรับผิดชอบ
นางไช่ได้กล่าวก่อนการเลือกตั้งท้องถิ่นว่า จะเป็นการชี้ชะตาอนาคตของไต้หวันเกี่ยวกับจีน ถ้าพรรคก้าวหน้าประชาธิปไตยชนะ แสดงว่าคนไต้หวันส่วนมากไม่เอาจีน ถ้าพรรคก๊กมินตั๋งชนะแสดงว่าคนไต้หวันต้องการมีสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับจีน
พอพรรคก้าวหน้าประชาธิปไตยแพ้เลือกตั้งท้องถิ่น จึงมีการเปลี่ยนวาทกรรมว่าผลการเลือกตั้งเป็นการเมืองภายใน ไม่เกี่ยวกับนโยบายของไต้หวันต่อจีนแต่ประการใด
ในสุนทรพจน์เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่กับประชาชนเมื่อคืนที่ 31 ธันวาคมที่ผ่านมา สี กล่าวว่า ไต้หวันเป็นดินแดนที่เป็นส่วนหนึ่งของจีน และการรวมไต้หวันเข้าไปส่วนหนึ่งของแผ่นดินใหญ่ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ย้อนกลับไปเมื่อ 27 ธันวาคมที่ผ่านมา ในระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ต่อคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีน สีประกาศว่า การรวมแผ่นดินมาตุภูมิโดยสมบูรณ์ เป็นสิ่งที่ไม่อาจต้านทานได้ โดยการรวมมาตุภูมิเป็นความปรารถนาของประชาชน และจีนจะทำทุกทางเพื่อป้องกันใครก็ตามที่คิดแบ่งแยกไต้หวันออกจากจีน
ด้านไช่ อิงเหวิน ประธานาธิบดีไต้หวัน ได้ออกมาตอบโต้ทันที โดยระบุว่า ความสัมพันธ์ของไต้หวันกับจีน จะถูกตัดสินโดยเจตจำนงของประชาชนบนเกาะไต้หวันเท่านั้น และสันติภาพจะต้องอยู่บนพื้นฐานของศักดิ์ศรีที่เท่าเทียมกัน
นางไช่มีนโยบายต่อต้านจีนอย่างรุนแรง และต้องการให้สหรัฐฯ มาถ่วงดุลกับจีนเพื่อรักษาความเป็นอิสระของไต้หวันจากอิทธิพลของจีน ทำให้ตลอดระยะเวลาของการดำรงตำแหน่งของเธอเกิดความตึงเครียดอย่างสูงระหว่างจีนกับไต้หวัน
นางไช่ท้าทายจีนอย่างเปิดเผยด้วยการเปิดทางให้มีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดทางทหารระหว่างไต้หวันกับสหรัฐฯ มีการฝึกซ้อมรบร่วมกันเพื่อรับมือการบุกเกาะไต้หวันของกองทัพจีน มีการสั่งซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ หลายล็อตเป็นจำนวนเงินหลายหมื่นล้านเหรียญสหรัฐ มีการเดินทางไปมาหาสู่กันระหว่างนักการเมืองระดับสูงทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายสภาคองเกรสของสหรัฐฯ กับนางไช่และนักการเมืองระดับผู้นำของไต้หวัน
จุดที่วิกฤตที่สุดคือ การเยือนไต้หวันอย่างเป็นทางการในเดือนสิงหาคมปี 2022 ของนางแนนซี เพโลซี ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ ในเวลานั้นทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ มาถึงจุดต่ำสุด เพราะจีนมองว่าเป็นการตั้งใจโดยตรงของสหรัฐฯ ที่ต้องการยั่วยุจีน แทรกแซงกิจการภายในของจีนและสนับสนุนให้ไต้หวันแยกตัวออกเป็นรัฐอิสระ ซึ่งเป็นการสร้างเงื่อนไขในการเผชิญหน้าทางสงครามระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เพราะจีนตระหนักดีว่าสหรัฐฯ จะไม่ปล่อยให้จีนก้าวผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจโลกเพื่อท้าทายการครองอำนาจโลกขั้วเดียวของสหรัฐฯ
ผลที่ตามมาคือความตึงเครียดทางทหารในช่องแคบไต้หวัน จีนมีการส่งกองกำลังทหารมาที่ชายฝั่งตรงข้ามกับเกาะไต้หวัน พร้อมกับอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย มีการซ้อมรอบบริเวณรอบเกาะไต้หวันเหมือนกับเป็นการปิดเกาะไต้หวันไปในตัว และมีการยิงขีปนาวุธซ้อมรบข้ามหัวเกาะไต้หวัน ส่วนสหรัฐฯ ตอบโต้จีนด้วยการส่งกองทัพเรือเพื่อลาดตระเวนในช่องแคบไต้หวันเพื่อท้าทายจีน โดยที่ญี่ปุ่นที่เป็นพันธมิตรหลักที่สำคัญที่สุดของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียนี้พร้อมให้การช่วยเหลือไต้หวันอย่างเต็มที่ เพราะว่าญี่ปุ่นไม่ต้องการให้จีนเป็นผู้นำในภูมิภาคนี้ ญี่ปุ่นมีข้อพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์เกาะต่างๆ กับไต้หวัน ถ้าหากไต้หวันกลับไปเป็นส่วนหนึ่งของจีน จะทำให้ญี่ปุ่นต้องมาเผชิญหน้ากับจีนแทน
ในระหว่างการพูดคุยกันกับประธานาธิบดีโจ ไบเดนที่เวทีประชุมเอเปกที่นครซาน ฟรานซิสโกเป็นเจ้าภาพในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว สีได้กล่าวกับไบเดนว่าไต้หวันเป็นประเด็นที่สำคัญ และอันตรายที่สุดในความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ โดยสียืนยันอย่างหนักแน่นว่าการรวมชาติระหว่างจีนกับไต้หวันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ไบเดนตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ว่า สหรัฐฯ ยังคงยึดมั่นในนโยบายจีนเดียว (One China Policy) แต่สหรัฐฯ ถือสิทธิเสรีที่จะคบค้าสมาคมกับไต้หวันตามที่เห็นสมควร
หลักการจีนเดียวคือการยอมรับว่าปักกิ่งเป็นรัฐบาลที่ชอบธรรมของประเทศจีน (People’s Republic of China) ส่วนไต้หวันเป็นมณฑลหนึ่งของจีน ทำให้ไต้หวันต้องสูญเสียสถานภาพการเป็นประเทศที่สมบูรณ์ จากการเป็นสาธารณรัฐจีน Republic of China ไต้หวันต้องเปลี่ยนชื่อเป็นChinese Taipei ดำรงอยู่คล้ายกับเขตปกครองพิเศษ
หลักการจีนเดียวเป็นเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดของการฟื้นสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ในปี 1978 ในสมัยของเติ้ง เสี่ยวผิงกับจิมมี คาร์เตอร์ และนานาประเทศที่เปิดสัมพันธ์กับจีนก็ยอมรับในหลักการจีนเดียวนี้
ในอดีต สหรัฐฯ ไม่ยอมรับพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพราะว่ามีนโยบายต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ จึงให้การสนับสนุนพรรคก๊กมินตั๋งของเจียง ไคเช็กที่ยึดประเทศจีนได้ แต่เจียงต้องทำสงครามกลางเมืองในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 กับเหมา เจ๋อตุงเพื่อรักษาอำนาจ ปรากฏว่ากองทัพปลดแอกประชาชนของเหมามีชัย สามารถยึดกรุงปักกิ่งได้ ทำให้เจียงต้องอพยพทหาร และประชาชนที่สนับสนุนเขาจำนวน 2 ล้านกว่าคนไปปักหลักที่เกาะฟอโมซา หรือไต้หวัน โดยหวังว่า จะกลับไปทวงอำนาจการปกครองคืนจากปักกิ่งภายหลัง
เหมาตั้งประเทศใหม่เรียกว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนในวันที่ 1 ตุลาคม ปี 1949 แต่สหรัฐฯ และนานาประเทศส่วนมากยังไม่ยอมรับ หรือเปิดสัมพันธไมตรีด้วย ทำให้จีนมีนโยบายปิดประเทศ และต้องคบค้าสมาคมกับประเทศที่ปกครองด้วยระบบสังคมนิยมด้วยกัน ส่วนไทเปเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐไต้หวันที่สหรัฐฯ ให้การรับรอง
สถานการณ์เริ่มคลี่คลายลงในสมัยของประธานาธิบดีนิกสัน ที่ต้องการฟื้นฟูสัมพันธไมตรีกับจีน เพื่อที่จะใช้จีนถ่วงดุลกับสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นศัตรูหมายเลข 1 ของสหรัฐฯ ในเวลานั้นในช่วงสงครามเย็น
ในปี 1974 เฮนรี คิสซินเจอร์ รมว.ต่างประเทศของสหรัฐฯ แอบเดินทางไปจีนเพื่อของเจรจาเปิดสัมพันธไมตรี อันนำไปสู่การยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการในปี 1978 สมัยของจิมมี คาร์เตอร์ ซึ่งถือว่าเป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปิดประเทศของจีน อันนำไปสู่คลื่นยักษ์ของกระแสการลงทุนของสหรัฐฯ และต่างชาติที่หลั่งไหลเข้าจีน เพื่อใช้จีนเป็นฐานผลิต ทำให้จีนสามารถพัฒนาประเทศแบบก้าวกระโดด กลายเป็นมหาอำนาจของโลกทางเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมในปัจจุบันนี้
สหรัฐอเมริกากว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้วในการสร้างจีนให้เป็นพญามังกรที่ไม่อาจจะควบคุมได้ จึงพยายามที่จะใช้ไต้หวันเป็นเครื่องมือในการทำลายความมั่นคงของจีน ด้วยการสนับสนุนให้ไต้หวันตั้งตัวเป็นรัฐอิสระ และใช้ไต้หวันเป็นฐานทางทหารในการปิดล้อมจีนตามยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ทำให้มีความเป็นไปได้ที่ไต้หวันจะกลายเป็นเวทีประลองกำลังของมหาอำนาจที่ร้อนแรง เหมือนกับความขัดแย้งของสงครามตัวแทนที่ยูเครน และที่อิสราเอลในเวลานี้
ที่ผ่านมาสื่อตะวันตกรายงานไปในทิศทางเดียวกันว่า ความขัดแย้งระหว่างจีนกับไต้หวัน จะนำไปสู่การที่จีนจะใช้กำลังทหารในการบุกยึดไต้หวัน ซึ่งเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ จะยอมรับไม่ได้ และจะส่งทหารมาช่วยไต้หวัน
ตัวแทนของรัฐบาลไบเดนได้เตือนจีนในเชิงลับว่า ถ้าจีนใช้กำลังกับไต้หวัน จีนจะถูกสหรัฐฯ และชาติตะวันตกแซงชั่นด้วยมาตรการที่รุนแรงมากกว่าที่รัสเซียโดนแซงชั่นหลังจากบุกโจมตียูเครน
ภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็มีการถกเถียงกันมากว่าจะใช้กำลังยึดไต้หวัน ซึ่งจะทำให้ต้องรบกับสหรัฐฯ หรือจะใช้แนวทางสันติวิธีที่ละมุนละม่อมกว่า สีอยู่ฝ่ายที่ต้องการใช้แนวทางสันติวิธีในการรวมชาติ เพราะว่าอย่างไรเสียคนไต้หวันก็เป็นคนจีนเหมือนกัน การทำร้ายฆ่าแกงจะไม่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ใด อันนำไปสู่การเจรจาในเชิงลับกับพรรคก๊กมินตั๋งที่ในอดีตเคยเป็นคู่กัดกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนมาตลอดให้มีการรวมชาติ
การเลือกตั้งในวันที่ 13 มกราคมนี้ จึงเป็นโอกาสเหมาะที่จะใช้ผลการเลือกตั้งในการเดินไปสู่เป้าหมายของรวมชาติ โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ
เปรียบเทียบจีนกับไต้หวัน
จีนมีขนาดเศรษฐกิจ $19.76 ล้านล้าน หรือใหญ่อันดับสองของโลกรองจากสหรัฐฯ มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ $3.1 ล้านล้าน มีประชากร 1,400 คน ประชากรมีรายได้ต่อหัว $14,155 ต่อปี
ส่วนไต้หวัน Taiwan มีขนาดเศรษฐกิจ $790,700 ล้าน หรือมีขนาดใหญ่อันดับ 21ของโลก มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ $555,000 ล้าน มีประชากร 23 ล้านคน และประชาชนมีรายได้ต่อหัว $33,907 ต่อปี
ที่สำคัญไต้หวันมีความก้าวหน้ามากทางชิปเทคโนโลยี Taiwan Semiconductor Manufacturing Company เป็นหนึ่งในผู้ผลิต และออกแบบเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดของโลก ชิปของบริษัท TSMC ถูกใช้ในอุตสาหกรรมไฮเทคต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมทางทหาร ถ้าหากต้องสูญเสีย TSMC ไปให้จีน สหรัฐฯ จะถดถอยไปมากในการแข่งขันด้านไฮเทค
ถ้าหากมีการรวมชาติกับไต้หวัน จีนจะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ขึ้นเป็น $22 ล้านล้าน มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น $3.6 ล้านล้าน
ขั้นตอนการรวมชาติ คือผู้นำของจีนและไต้หวันจะพบกันเพื่อลงนามตกลงวาระประวัติศาสตร์ หลังจากนั้นสภาฯ ของทั้งสองประเทศจะต้องผ่านกฎหมายรวมชาติ ซึ่งจะทำให้ไต้หวันหมดสภาพความเป็นอิสระ และกลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของจีน
บัตรประชาชน หรือพาสพอร์ตไต้หวันจะถูกยกเลิก และจะใช้ของจีนแทน แต่จีนจะยังคงให้อิสระกับไต้หวันในการปกครองตนเองเหมือนกับฮ่องกง มาเก๊า แต่เรื่องนโยบายต่างประเทศ ความมั่นคง และการทหาร จีนจะเข้ามาควบคุมแทน
จับตาดูการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์ของไต้หวันที่เตรียมรวมชาติกับจีนภายในปีนี้ ถ้าหากผลการเลือกตั้งออกมาโดยที่พรรคก๊กมินตั๋งได้รับชัยชนะ เพื่อรับมือกับภัยของสงครามใหญ่ที่กำลังก่อตัวขึ้นในมหาเอเชียบูรพา