วิจารณ์สนั่น ร้านค้าแห่งหนึ่งโกงค่าแรงนักศึกษา พ่อเข้าไปโพสต์ตำหนิกลับโดนร้านค้าแจ้งความข้อหาหมิ่นประมาท โอดต้องเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาถึงเชียงใหม่ ชาวเน็ตตั้งคำถาม กลั่นแกล้งกันหรือไม่
จากกรณีนักศึกษาหนุ่มมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ต้องการหารายได้เสริมจึงเข้าไปทำงานที่ร้านเต้าหู้และโรงแรม โดยค่าแรงชั่วโมงละ 40 บาท วันละ 5 ชั่วโมง ซึ่งเจ้าตัวทำไปได้ 10 วัน ก่อนที่จะแจ้งทางนายจ้างว่าจะไม่ทำแล้วเนื่องจากใกล้สอบ ทางร้านจึงจ่ายเงินให้เพียง 5 วัน โดยให้เหตุผลที่จ่ายไม่ครบว่าไม่แจ้งล่วงหน้า ทำให้คุณพ่อของนักศึกษารายนี้เข้าไปเขียนรีวิวตำหนิทางนายจ้าง สุดท้ายทางร้านได้โอนเงินค่าจ้างให้จนครบ พร้อมกับเข้าแจ้งความหมิ่นประมาทกับทางนักศึกษารายนี้ ทำให้ครอบครัวได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากต้องเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาถึงเชียงใหม่ จึงอยากจะขอความช่วยเหลือ
ต่อมา เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้ออกมาโพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าว โดยได้ระบุข้อความว่า
“เยาวชนถูกโกงค่าแรง พ่อทวงความเป็นธรรมกลับโดนแจ้งความ หลังโอนจ่ายค่าแรง หมายผู้ต้องหาก็ตามมาทางไปรษณีย์
ถาม ร.ต.ท.เริงฤทธิ์ เรือนอินทร์ รอง สว.สอบสวน สภ.ช้างเผือก
จากมาตรา 56 แห่ง ป.วิ.อ. หมายเรียกผู้ต้องหา ส่งทางจดหมายถึงผู้ต้องหาได้เลยเหรอ?
ถ้าต้องการให้คู่กรณีได้คุยกัน มันถึงขนาดต้องออกหมายผู้ต้องหา? ได้คำนึงถึงภาระค่าใช้จ่ายของคนอยู่ไกลรึเปล่า
ส่วนมาตรา 131 การหาความบริสุทธิ์และความผิดของผู้ต้องหา ถ้าออกหมายผู้ต้องหานี้แสดงว่าพร้อมแจ้งข้อกล่าวหาและเห็นความผิดชัดเจนแล้วใช่มั้ย?
การออกหมายเรียกบุคคลจากเจ้าพนักงานรัฐตามกฎหมาย ย่อมกระทบสิทธิ์ เกิดหน้าที่ ภาระค่าใช้จ่าย หากไม่ไปก็อาจจะถูกออกหมายจับได้ ดังนั้น ..การจะทำให้เกิดหน้าที่แก่ใครต้องคำนึงให้ดี ว่าสมควรแก่เหตุหรือไม่ และเป็นไปตามความถูกต้องที่ไม่ใช่อ้างแต่ว่าใช้อำนาจตามกฎหมายหรือไม่ แต่สุดท้ายแล้ว ดุลพินิจเกินกว่ากฎหมายเสมอ
ขอตั้งคำถามถึงสังคมว่า ..หรือในประเทศไทยหมายเรียกผู้ต้องหา มีไว้ขู่เรียกคนโดนแจ้งความให้มาหา?
น่าแปลกที่คนปกป้องลูกตัวเองมาโดนแบบนี้ ถ้าไม่มีมูลความจริงจะยอมโอนเงินจ่ายค่าจ้างลูกเขาทำไม
แรงงานไทย ไร้เสียง ไร้สิทธิ
เข้าข่าย กลั่นแกล้ง ให้ผู้อื่นได้รับโทษอาญามั้ยนะ”
ชมโพสต์