1.ตม.ถอนวีซ่า "เดวิด" ฝรั่งเตะหมอแล้ว เหตุพฤติกรรมเป็นภัยต่อสังคม เจ้าตัวยังมีสิทธิอยู่ใน ปท.แบบมีเงื่อนไข เพื่อสู้คดี!
จากกรณีที่แพทย์หญิงธารดาว จันทร์ดำ หรือหมอปาย ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดี Mr.URS BEAT FEHR หรือนายเดวิด สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ อายุ 45 ปี กรรมการผู้จัดการ บจก.อีเลเฟนท์ แซงชัวรี่พาร์ค ข้อหาทำร้ายร่างกายบริเวณชายหาดยามู จ.ภูเก็ต เมื่อคืนวันที่ 24 ก.พ.67 จนเกิดกระแสการขับไล่นายเดวิดออกจากพื้นที่
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 5 มี.ค. นายศรัทธา ทองคำ รองผู้ว่าฯ ภูเก็ต รักษาราชการแทนผู้ว่าฯ ได้งนามในหนังสือด่วนที่สุดถึง ผกก.ตรวจคนเข้าเมืองภูเก็ต ให้พิจารณาเพิกถอนวีซ่านายเดวิดโดยเร่งด่วน โดยให้เหตุผลว่า จังหวัดภูเก็ตพิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำของ MR.URSFEHR มีพฤติการณ์เป็นที่น่าเชื่อว่า เป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคม หรือจะก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายต่อความสงบสุขและความเรียบร้อยของประชาชน
สองวันต่อมา 7 มี.ค. พ.ต.อ.ปริญญา กลิ่นเกษร รอง ผบก.ตม.1 ในฐานะรองโฆษก สตม. เปิดเผยว่า เมื่อคืนวันที่ 6 มี.ค. พล.ต.ต.ทรงโปรด สิริสุขะ ผบก.ตม.6 ได้ลงนามอนุมัติเพิกถอนวีซ่าของนายเดวิดตามที่ ตม.จว.ภูเก็ต เสนอแล้ว
โดยเห็นว่า การกระทำของนายเดวิด มีพฤติการณ์เป็นที่น่าเชื่อว่าเป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคม หรือจะก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายต่อความสงบสุขและความเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งเข้าเงื่อนไขตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ตามพฤติการณ์ที่ได้รับการยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ว่าราชการจังหวัด และ ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต
หลังจากนี้ ตม.จว.ภูเก็ต จะทำเป็นหนังสือแจ้งให้เจ้าตัวทราบ และทำการควบคุมตัวไปห้องกัก ตม.จว.ภูเก็ต ซึ่งช่วงบ่ายวันเดียวกัน ตม.ภูเก็ต ได้คุมตัวนายเดวิดมายัง ตม.ภูเก็ต เพื่อดำเนินการแจ้งสิทธิในการอยู่ในราชอาณาจักรได้หมดลงแล้ว และนายเดวิดสามารถยื่นหลักทรัพย์เพื่อขอประกันตัว เพื่อต่อสู้คดีความที่ยังไม่สิ้นสุด และเมื่อประกันตัวไปแล้ว นายเดวิดจะสามารถอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรไปได้จนกว่าคดีความจะสิ้นสุด ด้วยวีซ่าต่อสู้คดีความ และภายใน 48 ชั่วโมง นายเดวิดสามารถใช้สิทธิขออุทธรณ์คำสั่งเพิกถอนวีซ่าดังกล่าวได้
วันต่อมา 8 มี.ค. พ.ต.อ.ปริญญา กลิ่นเกษร รอง ผบก.ตม.1 ในฐานะรองโฆษก สตม.เผยว่า นางคนึงนิจ ชทาล์ดเอคเกอร์ ภรรยาของนายเดวิด ได้ยื่นขอประกันนายเดวิด พร้อมวางเงินประกันจำนวน 100,000 บาท โดยให้เหตุผลว่าอยู่ระหว่างต่อสู้คดีในชั้นศาล
ต่อมา ผบก.ตม.6 อนุญาตให้นายเดวิดประกันตัวได้ 30 วันตามระเบียบ โดยมีเงื่อนไข 1.ต้องพักอาศัยอยู่ในบ้านพักที่มีการยื่นคำร้องไว้กับทาง ตม.จว.ภูเก็ต เท่านั้น 2.ต้องมารายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ทุก 15 วัน 3.ห้ามรับจ้าง ทำงาน หรือกระทำการใดอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายเด็ดขาด และ 4.ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร
นอกจากนี้ นายเดวิดยังได้มอบอำนาจให้ผู้แทนยื่นคำร้องขออุทธรณ์คำสั่งเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรต่อคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมืองอีกด้วย
2.ศาลฎีกานักการเมืองยกฟ้อง "ยิ่งลักษณ์" พร้อมพวก คดีใช้อำนาจโดยทุจริตจัดจ้างโครงการโรดโชว์ งบ 240 ล้าน เอื้อสื่อเอกชน 2 ราย จับตา ป.ป.ช.อุทธรณ์หรือไม่!
เมื่อวันที่ 4 มี.ค. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล, นายสุรนันท์ เวชชาชีวะ, บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน), บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน), นายระวิ โหลทอง เป็นจำเลยที่ 1-6 ในข้อหาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต โดยมุ่งหมายไม่ให้มีการแข่งขันราคาจัดจ้าง โครงการโรดโชว์สร้างอนาคตประเทศไทย Thailand 2020 เพื่อเอื้อประโยชน์แก่ 2 บริษัท จัดทําโครงการดังกล่าว
คดีนี้ เมื่อวันที่ 28 ม.ค.2565 โจทก์ยื่นฟ้องว่า เมื่อเดือน ส.ค.2556 ถึงวันที่ 12 มี.ค.2557 จำเลยที่ 3 ขณะดำรงตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ดำเนินการเสนอโครงการ Roadshow ที่มิใช่กรณีเร่งด่วน โดยจำเลยที่ 2 ขณะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ลงนามผ่านเรื่อง แล้วจำเลยที่ 1 ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใช้ดุลพินิจบิดผันสั่งอนุมัติงบกลาง โดยเจตนาร่วมกันกำหนดให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 เป็นผู้รับจ้างจัดโครงการ โดยจำเลยที่ 3 เสนอจำเลยที่ 2 เพื่อขออนุมัติจัดจ้างการดำเนินการโครงการดังกล่าวโดยวิธีพิเศษ อันเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ
นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ยังร่วมกันดำเนินการเพื่อให้คณะรัฐมนตรีมีมติยกเว้นการลงนามในสัญญาก่อนได้รับเงินประจำงวด ทั้งที่ไม่เข้าเงื่อนไขอันจะได้รับการยกเว้น เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จำนวนเงิน 239,700,000 บาท โดยจำเลยที่ 4-6 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1-3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 192 และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 12, 13 ฯลฯ
ทั้งนี้ ศาลฎีกาฯ มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1-3 ดำเนินการนำงบกลางจำนวน 40,000,000 บาท มาจัดทำโครงการ Roadshow ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเลยที่ 1-3 ได้ดำเนินการใดที่ไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี โดยมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและทางราชการ หรือโดยทุจริตหรือไม่
จากพยานหลักฐานได้ความว่า กำหนดเวลาเริ่มดำเนินโครงการ Roadshow เกิดขึ้นจากการพิจารณาร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งมิใช่เป็นการตัดสินใจของจำเลยที่ 1 เอง และมิได้กำหนดเวลากระชั้นชิดเพียงเพื่อให้เป็นเหตุอ้างใช้งบกลาง เมื่อกรณีไม่อาจใช้ทั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2556 และงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ.2557 มาดำเนินโครงการ Roadshow ได้ตามที่ได้กำหนดเวลาไว้ ถือได้ว่าเป็นการกระทำในกรณีมีความจำเป็นและเร่งด่วนต้องใช้จ่ายงบประมาณ ...ประกอบกับผู้อำนวยการสำนักงบประมาณมีความเห็นว่า เห็นสมควรที่นายกรัฐมนตรีจะอนุมัติงบกลางนี้ได้ กรณีย่อมมีเหตุผลเพียงพอให้จำเลยที่ 1 เชื่อโดยสุจริตว่าสามารถอนุมัติได้ จึงฟังได้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ จำเลยที่ 1 ได้ใช้ดุลพินิจกระทำไปบนพื้นฐานของข้อมูลและข้อเท็จจริงเท่าที่มีอยู่ในขณะนั้น
แม้ต่อมา ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยว่า ร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ ตราขึ้นมาโดยไม่ใช่กรณีจำเป็นเร่งด่วน ก็เป็นเพียงการวินิจฉัยถึงความชอบของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเท่านั้น ทั้งยังเป็นการวินิจฉัยภายหลังเกิดเหตุ โดยมิได้วินิจฉัยถึงความรับผิดทางอาญา ซึ่งต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานในคดีนี้ เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่อาจรู้ล่วงหน้าได้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยเป็นประการใด ย่อมถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาเล็งเห็นผลว่าโครงการ Roadshow ไม่อาจเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน แม้โครงการ Roadshow จะดำเนินการในพื้นที่เดียวกันกับโครงการกระทรวงคมนาคม แต่ก็เป็นเพียงพื้นที่ 2 จังหวัดแรก ทั้งโครงการ Roadshow มีภารกิจครอบคลุมมากกว่า ถือไม่ได้ว่าเป็นโครงการที่ซ้ำซ้อนกัน
สำหรับจำเลยที่ 2 ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 มีส่วนร่วมหรือแนะนำโดยมิชอบเพื่อให้จำเลยที่ 1 อนุมัติงบกลางอย่างไร จำเลยที่ 2 จึงเป็นแต่เพียงผู้ทำหน้าที่พิจารณาแล้วผ่านเรื่องเสนอไปยังจำเลยที่ 1 ตามลำดับชั้นเท่านั้น ส่วนจำเลยที่ 3 เพิ่งทราบว่าต้องขอใช้งบกลางจากการเสนอตามลำดับชั้นของข้าราชการผู้ปฏิบัติงาน จึงเป็นเพียงการดำเนินการตามหน้าที่เท่านั้น ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2-3 เสนอให้จำเลยที่ 1 อนุมัติใช้งบกลาง และจำเลยที่ 1 อนุมัติใช้งบกลางจำนวน 40,000,000 บาท มาดำเนินการโครงการ Roadshow จึงไม่เป็นการฝ่าฝืนมติคณะรัฐมนตรี
ส่วนปัญหาว่า จำเลยที่ 1-3 ร่วมกันตกลงให้จำเลยที่ 4-5 เป็นผู้รับจ้างจัดทำโครงการ Roadshow ไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนเริ่มการจัดจ้างหรือไม่ ศาลเห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งการให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจัดทำโครงการ Roadshow จึงเป็นเรื่องปกติที่จำเลยที่ 1 จะสั่งให้แก้ไขรูปแบบของงาน จำเลยที่ 1 มิได้เป็นผู้ริเริ่มให้จำเลยที่ 4-5 เข้ามานำเสนองาน ไม่ปรากฏว่ารูปแบบงานได้กำหนดรายละเอียด คุณลักษณะเฉพาะอย่างใดที่เป็นการเอื้อประโยชน์แก่จำเลยที่ 4-5 โดยเฉพาะเจาะจงหรือกีดกันผู้เสนอราคารายอื่น
ส่วนปัญหาว่า จำเลยที่ 1-3 ปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการอนุมัติจัดจ้างโครงการ Roadshow โดยวิธีพิเศษตามฟ้องหรือไม่ ศาลเห็นว่า ขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างเป็นหน้าที่และอำนาจของจำเลยที่ 3 ในฐานะหัวหน้าส่วนราชการ แต่เป็นกรณีการจัดซื้อจัดจ้างในวงเงินเกินอำนาจอนุมัติของจำเลยที่ 3 จึงต้องเสนอจำเลยที่ 2 พิจารณา
เมื่อข้อเท็จจริงทางไต่สวนรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1-3 กระทำความผิด จึงรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 4-6 เป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด องค์คณะผู้พิพากษามีมติเอกฉันท์ให้ยกฟ้อง
หลังศาลฎีกาฯ พิพากษายกฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมพวกในคดีดังกล่าว ผู้สื่อข่าวได้ถามนายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการ ป.ป.ช.ว่าจะอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลฎีกาฯ หรือไม่ ซึ่งนายนิวัติไชย กล่าวว่า ตามกฎหมายแล้วมีระยะเวลาอุทธรณ์ 30 วัน และสามารถขอขยายระยะเวลาได้ ขณะนี้ต้องรอดูคำพิพากษาตัวเต็มจากทางศาลฎีกาก่อนว่าเป็นอย่างไร จากนั้นจะนำมาพิจารณาวินิจฉัยว่าจะอุทธรณ์หรือไม่
เลขาธิการ ป.ป.ช.เผยด้วยว่า สำหรับคดีที่มีกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ใน ป.ป.ช. เบื้องต้นขณะนี้เหลือเพียงคดีเดียว คือ กรณีกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ สมัยดำรงตำแหน่งนายกฯ ได้มีมติเห็นชอบเรื่องการจัดสรรพลังงานไฟฟ้าให้กับเอกชน โดยเรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างการไต่สวนของอนุกรรมการไต่สวน
3. ศาลอนุญาตฝากขัง "ตะวัน-แฟรงค์" ครั้งที่ 3 คดีบีบแตรป่วนขบวนเสด็จ ด้าน "สุชาติ" นักเขียนดัง อ้าง "ตะวัน-แฟรงค์" ไม่รู้มีขบวนเสด็จ!
เมื่อวันที่ 8 มี.ค.พนักงานสอบสวน สน.ดินแดง ได้ยื่นคำร้องขอฝากขังครั้งที่ 3 น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือตะวัน และนายณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร หรือแฟรงค์ กลุ่มทะลุวัง ผู้ต้องหาคดีบีบแตรป่วนขบวนเสด็จ เนื่องจากมีความจำเป็นต้องสอบปากคำพยานเพิ่มเติม และอื่น ๆ
ขณะที่นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความจำเลย ได้ยื่นคำร้องคัดค้านการฝากขังของพนักงานสอบสวน สน.ดินแดง
ทั้งนี้ ศาลอาญาไต่สวนทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว เห็นว่า พนักงานสอบสวน สน.ดินแดง ยังมีเหตุจำเป็นต้องสอบพยานบุคคลเพิ่มเติมอีก 2 ปาก ซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้ต้องหา และยังต้องรอภาพถ่ายวิดีโอซึ่งเป็นพยานหลักฐาน เพื่อที่จะพิจารณาสั่งต่อไป ซึ่งผู้ต้องหาทั้งสองมีสิทธิยื่นประกันตัวต่อศาลได้อีก โดยศาลกำชับให้พนักงานสอบสวนเร่งรัดสอบปากคำให้แล้วเสร็จในการฝากขังครั้งนี้ ส่วนคำร้องคัดค้านให้ยก
ด้านนายสุชาติ สวัสดิ์ศรี อายุ 78 ปี อดีตนักเขียนชื่อดังและศิลปินแห่งชาติ ที่มายื่นคำแถลงต่อศาล กล่าวว่า มาเพื่อจะให้ศาลเห็นว่า สิ่งที่คนหนุ่มสาวแสดงออกอยู่ในแนวทางสันติประชาธรรม การต่อสู้ของทั้งสองคนและอีกหลายคน สะท้อนให้เห็นถึงวิถีและวิธีของประชาธิปไตย การต่อสู้ของตะวันและแฟรงค์นั้นในความรู้สึกของคนรุ่นเก่า มีความห่วงใยลูกหลาน และสิ่งที่กระทำนั้นถูกต้อง แต่ทราบว่าศาลอนุญาตให้ฝากขังต่อ โดยจะเร่งรัดการสอบสวน ตอนนี้ตะวันและแฟรงค์อดอาหารมาแล้ว 23 วัน คิดว่าอีก 12 วันในฝากขังผลัดที่สาม ก็ขอภาวนาให้ไม่เกิดเหตุเศร้า หรือโศกนาฏกรรม ซึ่งเป็นสิ่งไม่สมควร ที่มาวันนี้ก็เพื่อขอความเมตตาจากศาล และรู้สึกเสียใจมากที่ศาลให้ฝากขังครั้งที่สาม ตนเองและอาจารย์ชาญวิทย์ไม่มีอะไรที่จะทำได้มากกว่านี้ คิดว่าเรื่องนี้ประชาชนที่มีใจเป็นธรรมที่อยู่ภายใต้กฎหมายเท่าเทียมกันทุกคนน่าจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นเลย หมายความว่าไม่ควรฝากขังต่อ เพราะทั้งสองคนไม่หลบหนีไปไหน
เมื่อถามว่าอาจารย์สนับสนุนการกระทำของตะวันและแฟรงค์หรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า ตะวันและแฟรงค์เท่าที่ตนรับทราบจากข่าว เขามีปากเสียงกับตำรวจจาราจร ที่มีการบีบแตรเพราะจะรีบไป มีธุระ การพูดจาลักษณะที่มีอารมณ์กันบ้าง ไม่ใช่เรื่องจะไปขัดขวางขบวนเสด็จ หรือบีบแตรไล่ขบวนเสด็จ ข้อเท็จจริงเป็นเช่นนี้ “คิดว่าเขาคงไม่ทราบว่าข้างหน้าเกิดอะไรขึ้น หรือมีขบวนเสด็จ สิ่งที่เรารับทราบโดยทั่วไปก็คือว่ามีปัญหากับเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเอารถมาขวางกั้น เชื่อว่าคงไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น”
เป็นที่น่าสังเกตว่า ความเห็นของนายสุชาติที่อ้างว่า วันนั้นตะวันและแฟรงค์น่าจะไม่รู้ว่ามีขบวนเสด็จ ขัดแย้งกับข้อเท็จจริง เนื่องจากหากได้ดูคลิปที่ตะวันมีปากเสียงกับตำรวจแล้ว จะเห็นได้ว่า ตำรวจได้บอกตะวันแล้วว่า มีขบวนเสด็จ แต่ตะวันและเพื่อนก็ยังใช้ถ้อยคำตอบโต้ด้วยความรุนแรง ไม่เท่านั้น ตะวันยังได้มีการโพสต์ผ่านโซเชียลในเวลาต่อมา โดยยืนยันเองว่า รู้ว่ามีขบวนเสด็จ โดยโพสต์ว่า "...วันนั้นเรากำลังขับรถไปทำธุระส่วนตัว เจอขบวนเสด็จพอดี และโดนปิดถนนเหมือนเดิม เราไม่ได้รอและขับออกไปเลย เพราะทุกคนก็รีบเหมือนกัน เราขับไปตามทางที่เราจะไปทำธุระ ไม่ได้จะเร่งเพื่อไปหาขบวน และมันมีแต่คำถามในหัวว่า "ทำไมถึงมีรถคันไหนไปได้สะดวกกว่ารถของประชาชน?"..."
4. ป.ป.ช.รับทำคดี "บิ๊กโจ๊ก" กับพวกเอี่ยวเว็บพนันมินนี่ ไม่ส่งให้ ตร.ทำ ยันไม่ได้ดึงเรื่องหรือช่วยใคร ด้าน "อัจฉริยะ" ร้อง ปปป.เอาผิดประธาน ป.ป.ช.กับพวก มีดีลลับกับบิ๊ก รบ.!
เมื่อวันที่ 4 มี.ค. นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เผยว่า ที่ประชุม ป.ป.ช.วันนี้มีมติรับพิจารณาคดีกรณีกล่าวหา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กับพวกรวม 5 คน พัวพันเครือข่ายเว็บพนันมินนี่ และร่วมกันฟอกเงิน เนื่องคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่า เป็นการกล่าวหาผู้ดำรงตำแหน่งสูงกว่าผู้ร้องเรียน ซึ่งอยู่ในระดับผู้อำนวยการ และกล่าวหาว่าเป็นการกระทำความผิดร้ายแรง มีผลกระทบในวงกว้าง มูลค่าความเสียหายที่มีการกล่าวหาก็สูง ซึ่งอยู่ในอำนาจของ ป.ป.ช. ไม่สามารถมอบหมายให้ (ตำรวจดำเนินคดี) ได้ ประกอบกับมีการร้องของ ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ หวัดแวว 1 ใน 8 ผู้ต้องหา เกี่ยวกับเรื่องการทำสำนวน และมีเรื่องข้อกล่าวหาเดิมที่เคยส่งไปยังกองบัญชาการสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งมีความเกี่ยวพันกันในเรื่องของบัญชีม้า ทั้ง 2 เรื่องนี้ต้องทำไปพร้อมกัน จึงมีมติให้ดึงสำนวนดังกล่าวกลับมาพิจารณาพร้อมกัน
ส่วนกรอบระยะเวลาการทำงานนั้น นายนิวัติไชย กล่าวว่า การดำเนินการต้องดูข้อมูลที่พนักงานสอบสวนจะส่งมา เพราะส่งมายังไม่ครบ หากส่งมาครบก็สามารถสั่งไต่สวนได้เลย ไม่ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม แต่เห็นทางอัยการเองก็มีการสั่งให้ดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติม ดังนั้นต้องดูสำนวนตำรวจก่อน หากครบแล้วก็ไต่สวนได้ ซึ่งการตั้งไต่สวนอาจเป็นคณะกรรมการป.ป.ช.ทั้งคณะเป็นองค์คณะ แต่ขอดูสำนวนก่อน และขณะนี้อยู่ระหว่างทำหนังสือให้มีการส่งคืนเรื่องกลับมา หากส่งกลับมาแล้ว ป.ป.ช.ก็จะเรียกประชุมเลย
“ถ้าสำนวนที่ส่งมาครบถ้วน ก็สั่งไต่สวนได้เลย และแจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งจะให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหามาชี้แจง ถ้าชี้แจงแล้วฟังไม่ได้ ก็จะสรุป เพื่อมีคำวินิจฉัย”
นายนิวัติไชย ยืนยันด้วยว่า การที่ ป.ป.ช.รับเรื่องนี้ไว้พิจารณาเอง ไม่ส่งเรื่องให้ตำรวจดำเนินคดี ไม่ได้เป็นการดึงเรื่อง หรือมีความสัมพันธ์ส่วนตัวอะไร แต่ที่ดึงคืนมาเพราะเป็นเรื่องร้ายแรง มอบหมายไม่ได้ ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 อยู่แล้ว ทั้งนี้ กรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐหากเป็นระดับล่างอาจจะมอบได้ แต่เจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงมอบไม่ได้
สำหรับ กรรมการ ป.ป.ช.ปัจจุบันเหลืออยู่ 5 คน ประกอบด้วย พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. นายวิทยา อาคมพิทักษ์ น.ส.สุวณา สุวรรณจูฑะ นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข และนายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ เป็นกรรมการ มีรายงานว่า มติ ป.ป.ช.ที่รับเรื่องดังกล่าวไว้ดำเนินการเอง เป็นมติเสียงข้างมาก 4 ต่อ 1 โดยเสียงข้างน้อย 1 เสียง คือนายสุชาติ
วันต่อมา (5 มี.ค.) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก.กล่าวถึงกรณี ป.ป.ช. มีมติรับพิจารณาคดีเว็บพนันออนไลน์มินนี่เอง ไม่ส่งให้ตำรวจทำคดี ทั้งยังจะดึงสำนวนเกี่ยวกับบัญชีม้ามาดูเองด้วย โดยอ้างว่า 2 คดีนี้มีความเกี่ยวพันกันว่า เป็นอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช ที่สามารถพิจารณารับคดีดังกล่าวเองและสามารถพิจารณาสำนวนที่มีนายตำรวจ 8 นาย ที่ขณะนี้อยู่ในชั้นพนักงานอัยการ กลับไปทำคดีรวมสำนวนกับตำรวจ 5 นายที่มีนายตำรวจใหญ่รวมอยู่ด้วย เนื่องจากเป็นคดีที่มีความเชื่อมโยงกัน อย่างไรก็ตาม ทาง ป.ป.ช.จะต้องมาสอบถามสำนวนคดีกับพนักงานสอบสวน ปปป. ว่ามีหลักฐานหรือรายละเอียดอย่างไร จึงถือว่าคดีดังกล่าวทั้ง 2 สำนวน ในชั้นพนักงานสอบสวนได้สิ้นสุดอำนาจหน้าที่แล้ว ซึ่งหลังจากนี้ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ในการพิจารณาสำนวนส่งฟ้องคดี
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวต่อว่า ทางคณะพนักงานสอบสวนก็ยังเดินหน้ารวบรวมพยานหลักฐานในส่วนของคดีเพิ่มเติมหาก ป.ป.ช.ต้องการ รวมทั้งสืบสวนสอบสวนขยายผลไปถึงเส้นทางการเงินของเว็บพนันออนไลน์ ที่อาจจะเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวโดยมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เข้าไปเกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม และว่า แม้ทาง ป.ป.ช.จะรับสำนวนไปพิจารณาเอง พนักงานสอบสวนก็ไม่ได้เสียกำลังใจ ขอยืนยันว่า พยานหลักฐานที่มีนั้นครบถ้วน ที่จะสามารถเอาผิดกับผู้ถูกกล่าวหาได้ทั้งหมด
สองวันต่อมา (7 มี.ค.) นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรรม ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.นพพิณฑ์ แก้วอินไชย สว.(สอบสวน) กก.3 บก.ปปป. เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษประธาน ป.ป.ช. พร้อมพวกรวม 4 คน ในความผิดมาตรา 157 กรณีไม่ส่งสำนวน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์มินนี่ ให้คณะพนักงานสอบสวนของ ตร. รวมถึงมีมติขอดึงสำนวนคดี พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย รองผู้บังคับการกองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 4 (รอง ผบก.สส.ภ.4) กับพวกรวม 8 คน ที่พนักงานสอบสวนของ ป.ป.ช.ส่งสำนวนให้อัยการไปแล้ว กลับมาพิจารณาเอง เนื่องจากเห็นว่าทั้ง 2 สำนวนมีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับผู้ที่กระทำความผิดร่วมกันและมีความเชื่อมโยงกัน
นายอัจฉริยะ กล่าวต่อว่า มติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. 4 ต่อ 1 ที่รับสำนวนพิจารณานั้นอาจมีดีลลับเกิดขึ้นที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ระหว่าง ป.ป.ช.2 ท่าน กับผู้ใหญ่ในรัฐบาล ก่อนจะมีมติรับสำนวนคดีมาพิจารณาเอง โดยตนเองยืนยันว่า มีทั้งหลักฐาน สามารถระบุชื่อร้านอาหารและจำนวนคนที่ไปทานอาหารกันที่ร้านในวันนั้นได้ ทั้งนี้ การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดมาตรา 157 และการที่ขอรับสำนวนสอบสวนเรื่องกล่าวหา พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย กับพวกมิชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 65 ที่ไม่สามารถไปเอาสำนวนคืนจากพนักงานอัยการได้
"พฤติกรรมดังกล่าวถือเป็นการทำลายกระบวนการยุติธรรมของประเทศ แต่ทั้งนี้หากเรื่องที่ผมพูดไม่เป็นความจริง ก็ขอให้ ป.ป.ช. ออกมาชี้แจงต่อสังคมว่าไม่เป็นความจริง และถ้าผมโกหก ก็ยินดีให้ ป.ป.ช. ดำเนินคดีได้เลย"
เบื้องต้น พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำนายอัจฉริยะ เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาควบคู่พยานหลักฐาน ก่อนส่งต่อให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป
5. "เต้ มงคลกิตติ์" นำคำวินิจฉัยศาล รธน.ให้กองปราบฯ ดำเนินคดี "พิธา-ก้าวไกล" กว่า 10 ราย ล้มล้างการปกครอง ชี้ โทษหนักถึงประหารชีวิต!
เมื่อวันที่ 4 มี.ค.นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ อดีต สส.บัญชีรายชื่อ-หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ได้นำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีพรรคก้าวไกลล้มล้างการปกครองเมื่อวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา ฉบับเต็มรวม 32 หน้า มามอบให้พนักงานสอบสวนกองปราบปราม ประกอบการพิจารณาดำเนินคดีอาญานายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และผู้บริหารพรรคก้าวไกล รวมกว่า 10 ราย
นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าก้าวไกลเข้าข่ายการล้มล้างการปกครอง ตนจึงได้ส่งหนังสือร้องเรียนไปยัง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ดำเนินคดีนายพิธาและพวกตามกฎหมาย ซึ่งหลังยื่นคำร้องดังกล่าว ทาง ผบ. ตร. ได้มีคำสั่งมายังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ซึ่งวันนี้พนักงานสอบสวนกองปราบปราม เจ้าของสำนวนคดีนี้ ได้นัดให้ตนนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญฉบับเต็ม มามอบให้กับพนักงานสอบสวนในฐานะผู้ร้อง
นายมงคลกิตติ์ กล่าวด้วยว่า คดีนี้ต้องทำให้เป็นเยี่ยงอย่างเพื่อไม่ให้เกิดกรณีดังกล่าวขึ้นอีกในอนาคต เพราะการใช้นโยบายหาเสียงของพรรคก้าวไกล ก่อให้เกิดความขัดแย้ง และพยายามให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในระบบการปกครองประเทศ ที่สำคัญมีการบั่นทอนความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวมีความชัดเจนว่า การกระทำของนายพิธาและก้าวไกลเป็นความผิดร้ายแรง แต่เป็นความผิดเฉพาะบุคคล ไม่เกี่ยวข้องกับพรรค ดังนั้นพนักงานสอบสวนจะต้องดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งตนเชื่อว่า หากพนักงานสอบสวนดำเนินคดี จะมีผู้ถูกออกหมายจับ อาจต้องโทษถึงประหารชีวิตถึง 10 ราย และจำคุกตลอดชีวิตอีกหลายคน
ทั้งนี้ เบื้องต้น พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำนายมงคลกิตติ์ ในฐานะผู้ร้อง ก่อนเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป