“อัษฎางค์” ชี้ แค่เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. สลิ่มแตกต่อไม่ติด เลือกตั้งใหญ่ “โทนี่-เอก-ป๊อก” สบายแฮ! ไพร่พลต่างคนต่างรบ “กนก-ส.ว.สมชาย” ใจตรงกันคงเสียกรุงแน่ “ชาญวิทย์” เย้ย ล้ม “ปชต.” มานานกว่าพม่า แต่ไม่สำเร็จ
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (22 พ.ค. 65) เพจเฟซบุ๊ก เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค ของนายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ภาพพร้อมข้อความระบุว่า
“ทักษิณ ชินวัตร ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ปิยบุตร แสงกนกกุล กระซิบรักกันเบาๆ “รบมาตั้งนาน ไม่เคยชนะ แค่มีเลือกตั้งผู้ว่าฯ สลิ่มแตกต่อไม่ติด เลือกตั้งใหญ่ สบายแฮร์”
ขณะเดียวกัน จากกรณี นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ว่า
“ผมต้องการให้เห็นสัญญาณเดียวกันเท่านั้น ครับ
เป็นผู้นำรบ สั่งการให้ทหารยิงปืนใหญ่ไปคนละทางไม่ได้ครับ
เปลืองทั้งกระสุน ไม่เข้าเป้า และแพ้สงคราม ?
ต้องสัญญาณชัดๆ ยังมีเวลา”
ต่อมา นายกนก รัตน์วงศ์สกุล พิธีกรรายการข่าวชื่อดัง ช่อง TOPNEWS ได้แชร์โพสต์ของนายสมชาย พร้อมระบุข้อความว่า
"เห็นที “คงเสียกรุง” แน่
เพราะผู้นำ ไม่สั่งการ
ไพร่พลต่างคนต่างรบ ไร้ทิศทาง!!!" (จากไทยโพสต์)
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน กรณีวันนี้เป็นวันครบรอบ 5 ปี คือ วันที่ 22 พ.ค. 2557 ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการของ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล (รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) จนทำให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 สิ้นสุดลง และได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 แทน การรัฐประหารโดย คสช. นับเป็นรัฐประหารครั้งที่ 13 ในประวัติศาสตร์ไทย เกิดขึ้นหลังวิกฤตการณ์การเมือง ซึ่งเริ่มเมื่อเดือนตุลาคม 2556 เพื่อคัดค้านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมสุดซอย
ล่าสุด ศ.พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก Charnvit Kasetsiri ระบุว่า
"ขุนทหารไทย ทำ Thailandization ตั้งแต่สมัยสฤษดิ์ บีบบังคับ ไม่ให้เห็นต่าง ล้มเลือกตั้ง ไม่เป็นประชาธิปไตยทำมานานกว่าพม่า จนเกิดอาชญากรรมรัฐกลางเมือง แต่ก็ยังไม่สำเร็จ เช่นกัน" (จากสยามรัฐออนไลน์)
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ แม้ยังไม่รู้ผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.อย่างเป็นทางการ แต่ฝ่ายที่ไม่ต้องการให้คนในเครือข่าย “ระบอบทักษิณ” ชนะเลือกตั้ง ต่างออกอาการเซ็งไปตามๆ กัน ทั้งดูเหมือนคาดการณ์ได้ไม่ยากว่า โอกาสที่ฝ่ายตัวเองจะชนะแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะมีการแย่งคะแนนกันเองของผู้สมัครหลายคน
รวมทั้งผลโพลที่ออกมาแต่ละครั้งของทุกสำนัก ต่างยกให้คนที่ถูกมองว่าเป็นคนในเครือข่าย “ระบอบทักษิณ” นำโด่งมาคนเดียว จนแทบไม่ต้องสงสัยว่า ผลการเลือกตั้งจริง ก็คงไม่ต่างจากนี้
ขณะที่ความหวังกับการโหวตแบบ “ยุทธศาสตร์” เปิดทางให้ผู้สมัคร “คนเดียว” ของฝ่ายต่อต้าน “ระบอบทักษิณ” สู้กับอีกฝ่ายตัวต่อตัว ก็ไม่เป็นจริงในทางปฏิบัติ เพราะผู้สมัครแต่ละคนต่างก็ไม่ยอมให้แก่กัน รวมทั้งผู้สนับสนุนพยายามจุดกระแส “ไม่เลือกเรา เขามาแน่” ก็จุดไม่ติด
สุดท้ายอารมณ์ของฝ่ายที่ไม่ต้องการให้เครือข่าย “ระบอบทักษิณ” ชนะ จึงแสดงออกไม่ต่างกัน
แต่เหนืออื่นใด, ในเมื่อคน กทม.เลือกใคร ก็ถือว่า คนๆ นั้นถูกเลือกแล้ว โดยประชาชน ตามระบอบประชาธิปไตยที่ต้องยอมรับเสียงข้างมาก และควรให้โอกาสว่าที่ผู้ว่าฯ กทม.ทำงานอย่างเต็มที่ ตามที่สัญญาเอาไว้กับชาว กทม. “แพ้-ชนะ” ต้องถือเป็นเรื่องธรรมดาของการแข่งขัน และจบลงตรงที่ประกาศผลอย่างเป็นทางการ ไม่ควรมีขี้แพ้ชวนตีเป็นอันขาด หรือว่าไม่จริง!?