xs
xsm
sm
md
lg

5 ปี สอวช.ชู “Ecotive นิเวศสร้างสรรค์ปัตตานีโมเดล” ต้นแบบพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



แม้ไทยจะประสบความสำเร็จในการพัฒนาจนสามารถยกระดับสถานะเป็นประเทศรายได้ปานกลาง (ระดับสูง) แต่ข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่า ในปี 2565 มีคนจนจำนวน 3.8 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนคนจน 5.43% ในขณะที่สัมประสิทธิ์ของความไม่เสมอภาคด้านรายได้ของประเทศไทยจากรายงานของธนาคารโลกในปี 2564 อยู่ที่ 43.3% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของความไม่เสมอภาคของรายได้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ทั้งนี้ ความยากจนไม่ได้มีเพียงเรื่องตัวเงินอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการขาดแคลน ขัดสน หรือขาดโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ ตลอดจนการไม่สามารถเข้าถึงบริการ และความช่วยเหลือของรัฐ หรือที่เราเรียกรวมๆ ว่า “ความเหลื่อมล้ำในสังคม”

ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สอวช.) เปิดเผยว่า ในช่วง 5 ปีของการดำเนินงาน สอวช.ให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาความยากจน ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่เป็นรากฐานของการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานรากในภาพรวมของประเทศ โดยมีหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ หรือ บพท.ลงไปทำงานกับกลุ่มเศรษฐกิจฐานราก ดึงมหาวิทยาลัยมาเป็นพี่เลี้ยงให้ประชาชน โดยนำองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม สนับสนุนการพัฒนาอาชีพ เชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมมือ ทั้งจากสถาบันการศึกษา ภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการเงิน เพื่อสร้างระบบนิเวศที่สนับสนุนให้เกิดผู้ประกอบการท้องถิ่นบนฐานนวัตกรรม ในการพัฒนาสินค้าและบริการ สร้างเศรษฐกิจชุมชนให้มีความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน
 
ดร.กิติพงค์กล่าวอีกว่า สอวช.ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี จัดทำ “โครงการวิจัย Ecotive นิเวศสร้างสรรค์ปัตตานีโมเดล” เพื่อพัฒนาและทดลองเชิงนโยบาย ออกแบบกลไกการพัฒนาพื้นที่และเศรษฐกิจฐานราก โดยการนำเอาความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาธุรกิจ นวัตกรรม ไปเป็นเครื่องมือในการช่วยเพิ่มรายได้ประชากรกลุ่มฐานราก และยกระดับศักยภาพความเป็นผู้ประกอบการในกลุ่มที่มักขาดโอกาส อีกทั้งยังเข้าไปสร้างระบบนิเวศสนับสนุนทางการเงิน ทักษะผู้ประกอบการ เชื่อมโยงตลาด พัฒนาผู้ประกอบการรายย่อยให้เป็นวิสาหกิจเริ่มต้น เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างนักวิชาการ ผู้นำชุมชน และเยาวชนและกลุ่มอื่นๆ เช่น กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มเกษตรกร กลุ่มประมง โดยโครงการจะลงไปจุดประกายให้คนในชุมชนสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาด้วยตัวเองบนฐานทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชน พัฒนาออกมาเป็นสินค้าและบริการ ซึ่งจากการดำเนินงาน 2 ปีที่ผ่านมาเกิดการพัฒนาธุรกิจในพื้นที่เป้าหมายจังหวัดปัตตานี รวม 8 ตำบล อย่างน้อย 19 ธุรกิจ เช่น กลุ่มการให้บริการนวดแผนมลายู กลุ่มท่องเที่ยวแม่น้ำสายบุรี กลุ่มตัดเย็บเสื้อผ้ามุสลิม กลุ่มเบเกอรีเด็กกำพร้า กลุ่มแปรรูปกล้วย กลุ่มผลิตถ่านจากกะลามะพร้าว และกลุ่มแปรรูปกุ้งแห้ง โดยหลังจากผ่านการพัฒนาธุรกิจพบว่าผู้ประกอบการชุมชนที่เข้าร่วมโครงการมีรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 280,000 บาทต่อปีต่อราย และมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น เฉลี่ย 6 รายต่อผู้ประกอบการ ส่งผลให้แรงงานเกิดรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6,000 บาทต่อเดือนต่อราย นอกจากนี้ยังมีการผลักดันให้ผู้ประกอบการที่มีความพร้อมจดทะเบียนเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนได้ 3 ราย
 
ดร.กิติพงค์ยังได้ยกตัวอย่าง ตลาดทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช ที่ บพท.ให้การสนับสนุน โดยนำวัฒนธรรมมาสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ในรูปแบบตลาดวัฒนธรรม ประชาชนจะนำสินค้าพื้นบ้านหรือสินค้าในชุมชนมาจำหน่าย แต่เดิมสินค้าขายได้ในราคาไม่สูง แต่เมื่อนำนักออกแบบลงไปช่วย ทำให้สามารถเพิ่มมูลค่าของสินค้าได้หลายเท่า เช่น เสื่อกระจูด จากที่เคยขายเป็นผืน ราคาผืนละ 100-150 บาท เมื่อนำมาพัฒนาเป็นกระเป๋าส่งขายในตลาดวัฒนธรรม และในห้างสรรพสินค้า สามาถขายได้ถึงใบละ 3,000-5,000 บาท และยังมีสินค้าพื้นบ้านอีกมากมายที่ได้รับการยกระดับ จนก่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในชุมชนต่อครั้งประมาณ 5-6 แสนบาท ตลาดวัฒนธรรมทุ่งสงจัดมาเกือบ 200 ครั้ง มีเงินหมุนเวียนกว่าร้อยล้านบาท ถือเป็นตัวอย่างของการสร้างรายได้และกระจายการพัฒนาทางเศรษฐกิจไปสู่ชุมชนโดยตรง
 
ดร.กิติพงค์กล่าวว่า สำหรับพื้นที่ในจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศ มหาวิทยาลัยในกำกับของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จะคอยให้การสนับสนุน และเป็นพี่เลี้ยงในการสนับสนุนความรู้ ส่งเสริมการวิจัย การอบรมถ่ายทอดความรู้ที่เกี่ยวข้องให้แก่ผู้ประกอบการและชุมชน เพื่อพัฒนาให้เกิดผลิตภัณฑ์และบริการจากศักยภาพที่มีอยู่ในท้องถิ่น การสร้างผู้ประกอบการรายใหม่ๆ รวมไปถึงพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้ดีขึ้น โดยให้การสนับสนุนใน 5 กลุ่มกิจกรรม คือ ด้านเกษตรและอาหาร ด้านพลังงานชีวภาพ ด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ นวัตกรรมสำหรับสังคมสูงอายุ และกลุ่มนวัตกรรมเมืองอัจฉริยะ ในแต่ละกลุ่มกิจกรรมก็จะมีศูนย์กลางนวัตกรรม หรือ Innovation Hubs ที่ให้บริการและสนับสนุนผู้ประกอบการและชุมชน ซึ่งปัจจุบันมี Innovation Hubs 18 แห่ง กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ














กำลังโหลดความคิดเห็น