ล่วงเข้าปีที่ 3 ของคดี “หมูเถื่อน” ยังอลเวง มีหยุดพักรบไปช่วงเดือนธันวาคม 2566 ความหวังที่จะได้เห็นหน้า “ตัวการใหญ่” ไม่เป็นจริงสักที จากที่เกษตรกรและสังคมหวังว่าจะได้ยลโฉมหน้าโจรก่อนสิ้นปีที่ผ่านมาก็ต้องเป็นโรคเลื่อน เหตุเพราะเจ้าหน้าที่ “งานเข้า” ต้องไปตรวจสอบ “ตีนไก่สวมสิทธิ์” 10,000 ตู้ ตามคำสั่งด่วนที่สุด ถึงวันนี้ ที่ปลายอุโมงค์จึงยังริบหรี่ๆ รอวันแสงจะเจิดจ้าปรากฏตัวผู้กระทำ แต่ไม่รู้ว่าวันไหน อีกทั้งยังต้องรอพิสูจน์เครือข่ายที่อาจมีโอกาสเชื่อมโยงกับ “บิ๊กบอส” ระดับนักการเมือง...ตามที่ปรากฏเป็นข่าวกันครึกโครม
สิ่งหนึ่งที่รัฐบาลต้องใส่ใจเรียนรู้เพื่อหาแนวทางป้องกันไม่ให้คดีแบบนี้เกิดซ้ำ คือ การสะสางระบบราชการไทย เพราะพิจารณาจากคดีหมูเถื่อน ต่างเห็นพ้องกันว่าต้นทางที่ทำให้เกิดการลักลอบนำเข้าผิดกฎหมายในคดีนี้ คือระบบราชการที่หย่อนยาน ทำงานไม่โปร่งใส เกิดการทุจริตต่อหน้าที่ซึ่งผิดวินัยร้ายแรง และหากติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิดจะพบว่าส่วนราชการที่เป็นประตูทางเข้าของสินค้าผิดกฎหมาย คือ กรมศุลกากร แต่ยังไม่มีการสอบสวนข้าราชการที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง กระทั่งอธิบดีกรมฯ ก็มีการโยกย้ายตามวาระเรียบร้อยแล้ว ที่สำคัญ การตรวจสอบสินค้านำเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นความรับผิดชอบโดยตรง หากพบสินค้าต้องสงสัยก็ต้องแจ้งไปยังหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องให้มาร่วมตรวจสอบ...แต่เหตุใดหมูเถื่อนจึงทะลักเข้ามาในประเทศไทยที่จับกุมได้ประมาณ 64,500 ตัน ซึ่งประเมินกันว่าน่าจะมีมากถึง 100,000 ตัน
สองคดีใหญ่ที่จับกุมได้ คือ คดีหมูเถื่อนตกค้างที่ท่าเรือแหลมฉบัง 161 ตู้ น้ำหนัก 4,500 ตัน และหมูเถื่อนจำนวน 2,385 ใบขน น้ำหนักมากกว่า 60,000 ตัน สำแดงเท็จเป็นอาหารทะเลแช่แข็ง ซึ่งเป็นการขยายผลจากคดีแรก ที่หนักหนากว่านั้น คือ หมูเถื่อน 60,000 ตันเล็ดลอดออกสู่ตลาดในประเทศเรียบร้อยแล้ว ทำให้หมูเพิ่มขึ้นในตลาดประมาณ 60 ล้านกิโลกรัม เป็นเหตุผลหลักที่ทำไมเกษตรกรไทยยังขายหมูขาดทุนมาไม่น้อยกว่า 1 ปี ส่วนความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมสุกรไทยถูกประเมินไว้ไม่น้อยกว่า 50,000 ล้านบาท ทั้งยังมีเสียงลืออีกว่าหมูเถื่อนเล็ดลอดออกไปนอกท่าเรือฯ ได้ต้องจ่ายใต้โต๊ะตู้ละหลักแสนบาท...เงินพวกนี้นำส่งที่ใคร???
จากตัวเลขหมูเถื่อนจำนวนมหาศาลและความเสียหายที่เกิดขึ้น หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่หมูเถื่อน ซึ่งประกอบด้วย กรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ กรมประมง ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ ขณะที่ คดีหมูเถื่อนอยู่ในมือกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) แต่จนถึงขณะนี้การสอบสวนข้าราชการของหน่วยงานดังกล่าวยังอึมครึม เมื่อสอบไม่เสร็จ จับก็ไม่จบ “หมูเถื่อน” และ “วายร้าย” ก็ยังคงครองเมืองต่อไป เพราะเรื่องแบบนี้ต้องมีหลักฐานแบบมัดตราสังข์เท่านั้น คดีถึงจะนำขึ้นสู่เมรุได้
หากคดี “หมูเถื่อน” ในวันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการ “ชำระสะสางระบบราชการไทย” ให้มีระเบียบวินัยและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ มีสำนึกในการทำงานที่ซื่อสัตย์ สุจริตและเที่ยงธรรม มีระบบตรวจสอบที่ชัดเจนโปร่งใส ทำงานเพื่อบ้านเมืองและประชาชนอย่างแท้จริง ดั่งคำกล่าวที่ว่า “ข้าราชการ คือ ข้าของแผ่นดิน” จะช่วยให้คนไทยสดับข่าวดีของวงการราชการเพิ่มขึ้น แทนที่จะได้เห็น ได้ฟัง ข่าวการทุจริตโกงกินในหน่วยงานภาครัฐตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับประเทศเป็นประจำ หากทำได้จริง ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการลักลอบนำเข้าทุกคน ทุกบริษัท ทั้งที่เป็นนักการเมือง นายทุน ข้าราชการ ไม่ว่าจะมีสายสัมพันธ์กันแน่นแฟ้นขนาดไหนหรือกับใครก็ตาม ต้องถูกนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายและปิดคดีหมูเถื่อน ภายในปี 2567 นี้ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และนำอุตสาหกรรมสุกรกลับสู่การค้าปกติที่มีการกลไกตลาดนำทาง
อัปสร พรสวรรค์ นักวิชาการอิสระ