ตำรวจทั้งประเทศเหมือนได้รับอั่งเปาซองใหญ่ เมื่อ ผบ.ตร.สั่งการห้ามรอง ผบ.ตร.,จเรตำรวจฯ, ผู้ช่วย ผบ.ตร.เรียกตำรวจในสังกัดโรงพักต่างๆ หรือระดับกองบังคับการ/จังหวัด มาดูงานหรือกำชับการปฏิบัติหน้าที่ที่ส่วนกลาง เชื่องานนี้คือการสั่งคุมกำเนิดการลุอำนาจของ “บิ๊กโจ๊ก” ที่ถือวิสาสะใช้ห้องที่สโมสรตำรวจเป็นศูนย์บัญชาการส่วนตัว เรียกตำรวจที่มีปัญหาการทำหน้าที่เข้ามาพบ ดุด่าว่ากล่าว แทนที่จะสั่งการผ่านผู้บัญชาการภาค หวังสร้างภาพออกสื่อว่าทำงานจริงจัง สร้างความเดือดร้อนให้ตำรวจทั่วประเทศ
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงกรณีช่วงตรุษจีนที่ผ่านมา วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งด่วนที่สุด ที่ 0001(ผบ)/33 ลง เรื่องงดเว้นการเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัด สถานีตำรวจนครบาล/สถานีตำรวจภูธร หรือ กองบังคับการ/ตำรวจภูธรจังหวัด มาศึกษาดูงาน ฝึกงาน หรือมากำชับการปฏิบัติหน้าที่
โดยสั่งให้ รอง ผบ.ตร. และจเรตำรวจแห่งชาติ, ผู้ช่วย ผบ.ตร.หรือตำแหน่งเทียบเท่า เพื่อทราบและถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด!
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการดังกล่าว ให้ขออนุญาตต่อ ผบ.ตร. ก่อนการสั่งการทุกครั้ง ทั้งนี้สามารถใช้อำนาจในการกำกับ การบริหารราชการ ควบคุม กำกับดูแล ติดตาม การปฏิบัติราชการ และควบคุมการบังคับบัญชา เพื่อให้การบริหารราชการเป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ คำสั่ง นโยบายและแนวทางการปฏิบัติราชการที่กำหนด
สำหรับประชาชนทั่วไปนั้น คำสั่งดังกล่าวของ ผบ.ตร. นั้นอาจไม่ได้มีความหมายอะไร แต่สำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจ 200,000 กว่านายทั่วประเทศนั้น คำสั่งดังกล่าวเปรียบเสมือนเป็น “อั่งเปาซองใหญ่” ที่ ผบ.ตร. แจกให้ช่วงวันตรุษจีนปีมังกรก็ว่าได้
เนื่องจากคำสั่งดังกล่าวแม้จะเป็นคำสั่งที่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ แจ้งต่อ รอง ผบ.ตร., จเรตำรวจแห่งชาติ และ ผู้ช่วย ผบ.ตร.หรือตำแหน่งเทียบเท่า ได้รับทราบ แต่คนในวงการสีกากีรู้ดีว่า คำสั่งนี้เป็นข้อสั่งการคุมกำเนิด กระบวนการลุแก่อำนาจ ของนายตำรวจระดับสูงเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.
เป็นที่ทราบกันมานานนับปีแล้วว่า “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” ถือวิสาสะใช้ห้องที่สโมสรตำรวจ ถ.วิภาวดี เป็นศูนย์บัญชาการส่วนตัว, ใช้ในการแถลงข่าวผลงาน, ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ตลอดจนนัดพบข้าราชการตำรวจจากทั่วประเทศที่พลั้งพลาด มีแผล ถูกร้องเรียน หรือ บรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ก้ำกึ่งจะกระทำความผิด หรือบริหารงานไม่ตรงเป้า ก็จะถูก “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” เรียกมาพบเป็นการส่วนตัว
โดยอ้างเพื่อเป็นการมาชี้แจง มาประชุม ดูงาน และปรับทัศนคติณ ที่ทำการเถื่อนซึ่ง “บิ๊กโจ๊ก” เรียกว่าออฟฟิศสโมสรตำรวจ มายาวนานกว่า 2 ปีแล้ว
เปิดเบื้องหลัง “ตำรวจชั้นผู้น้อย” ถูกเรียกแบบจิกหัว ไม่มีทางเลี่ยง
มีข้าราชการตำรวจ “แฟนคลับสนธิทอล์ก” ได้ Inbox เข้ามายังรายการ ระบุถึงวิธีการเรียกตำรวจจากทั่วสารทิศมาพบในที่ทำการเถื่อนของ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ โดยระบุว่า
- แต่ละวัน ตำรวจที่ถูกเรียกมาพบ มีจำนวนหลายสิบนายจนถึงนับร้อยนาย
- ตำรวจที่ถูก รอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เรียกเข้ามาพบก็มีตั้งแต่ ระดับสารวัตร ยัน รองผู้การฯ
- วิธีการเรียกคือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ใช้ให้ตำรวจหน้าห้องโทรตาม บอกนายให้มาพบ ให้มาในวันนี้-เวลานี้ โดยการสั่ง จะให้นายเวรโทรศัพท์สั่งทางวาจา ไม่มีบันทึกเป็นหนังสือ(เพื่อกันตัวเองออกเผื่อมีปัญหาภายหลัง)
ทั้งนี้ สำหรับตำรวจที่อยู่ต่างจังหวัด อยู่ห่างไกลจากกรุงเทพ การจะเดินทางเข้ามากรุงเทพทีก็ลำบากลำบน ทั้งยังมีค่าใช้จ่ายสูง แต่การเรียกเข้ามาพบเป็นการส่วนตัวนี้ ตำรวจจะเบิกค่าเดินทางก็เบิกค่าใช้จ่ายไม่ได้ ต้องเสียเงินทองส่วนตัวเดินทางมาเอง เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา เสียทั้งอัตรากำลังพลที่ต้องดูแลพื้นที่
เมื่อตำรวจที่ถูกเรียก มาถึงสโมสรตำรวจ ก็จะมีทีมงานของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถ่ายรูป ส่งทางไลน์ ให้เซ็นชื่อ แจ้งคนสั่งให้รู้ว่า มาแล้ว เหมือนเป็นการรายงานตัว จากนั้นทีมงานจะบอกให้รอ รอ และรอ หลายกรณีนัด 9 โมงเช้า แต่กว่าจะมา 3 -4 ทุ่ม
ตำรวจจำนวนมาก พอได้เจอหน้า รอง ผบ.ตร. ก็ถูกตำหนิ ถูกด่าพร้อมกับไล่กลับ บางคนโดนเรียกมา พอคนสั่งรู้ว่า “มาแล้ว” ก็แกล้งให้รอ ก่อนยกเลิก แล้วนัดใหม่ติดๆ กัน 3 - 4 วัน หรือ ถูกแกล้งสั่งให้เดินทางไปๆ มาๆ ระหว่างกรุงเทพกับต่างจังหวัด คิดเป็นเวลาต่อเนื่องนานนับเดือนก็มี
วิธีการเรียกตัวมาพบด่วนอย่างนี้ ตำรวจที่ไหว ที่ทำงานใกล้ เดินทางง่าย ก็อาจแค่หงุดหงิดใจ แต่พวกที่ทำงานไกล ๆ อยู่ต่างจังหวัดนั้นก็ “ปฏิเสธไม่ได้” เพราะเป็นคำสั่งนาย เรียกให้เข้ามาพบ ที่ผ่านมาจึงเกิดข่าวสะเทือนวงการ เรื่องนายตำรวจระดับผู้กำกับการโรงพัก เกิดวูบเสียชีวิตคาสโมสรตำรวจ ระหว่างเดินทางมารอพบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เพื่อร่วมประชุมรับข้อสั่งการคดีค้ามนุษย์และจับกุมคนต่างด้าว
ตำรวจคนนั้นคือ พ.ต.อ.วัฒนกิจ เฉลาประโคน ผกก.สภ.ลาดยาว จ.นครสวรรค์ อายุ 55 ปี เกิดอาการวูบหมดสติและเสียชีวิต ระหว่างนั่งรอการประชุมคดีที่สโมสรตำรวจ
ก่อนหน้า พ.ต.อ.วัฒนกิจ จะจบชีวิตเพียง 1 วัน มีผู้ใต้บังคับบัญชาเห็นว่า พ.ต.อ.วัฒนกิจ ขะมักเขม้นทำการรวบรวมข้อมูลสถิติคดีปราบปรามการค้ามนุษย์ และผลจับกุมบุคคลต่างด้าวอยู่ที่โรงพัก หวังจะมาชี้แจงในที่ประชุมให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รอง ผบ.ตร.พึงพอใจ จนรุ่งขึ้นต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 เดินทางออกจากโรงพักลาดยาว จ.นครสวรรค์ มาที่สโมสรตำรวจ ที่กรุงเทพฯ เข้าร่วมประชุมให้ทันตามคำสั่ง ท้ายที่สุดเกิดวูบและเสียชีวิตระหว่างรอเข้าพบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เพื่อชี้แจงผลงานชิ้นสุดท้าย
นอกจากนี้ ยังมีตัวอย่างกรณีความยากลำบากของนายตำรวจระดับ “ผู้กำกับการ” ซึ่งประจำการอยู่ต่างจังหวัด ห่างไกลกรุงเทพฯ อีกคน ที่มีแฟนคลับ รายการสนธิทอล์ก อีกท่านเล่าให้ฟังว่า ถูก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เรียกมาพบเป็นการส่วนตัว ทั้ง ๆ ที่ผู้กำกับการคนนั้น กำลังติดพันอยู่กับการจัดงานพิธีศพคุณพ่อที่เพิ่งวายชนม์
เมื่อบีบบังคับกันถึงขั้นนี้ เจ้าตัวจึงไม่เสียดายชีวิตราชการ ขอลาออกจากตำรวจไปใช้ชีวิตเงียบ ๆ ด้วยความเจ็บปวดใจ
ตำรวจคนดังกล่าว คือ พ.ต.อ.พรพรหม จักษุรักษ์ อดีตผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองระนอง นรต.รุ่น 49 ซึ่งถือเป็นรุ่นน้องของ “บิ๊กโจ๊ก” เอง
นายสนธิ กล่าวว่า สิ่งที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ควรทำหากมีข้อมูลว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจคนไหนบกพร่องในการทำหน้าที่ คือการรวบรวมข้อมูลตำรวจในแต่ละภาค แล้วเรียกผู้บัญชาการภาคแต่ละภาคมาสั่งการให้ตรวจสอบ จัดการแก้ไข และรายงานเข้ามา ไม่ใช่โทรศัพท์ไปเรียกตำรวจมาประชุมกับตนเอง แล้วมาด่าว่าต่อหน้าต่อตา มิหนำซ้ำนัดมาแล้วยังปล่อยให้รอ
“ก็เพราะตนเองต้องการมีผลงาน หิวแสง อยากให้สื่อมวลชนเห็นว่าตนเองตั้งใจทำงาน และนี่คือการทำความเดือดร้อนให้กับประชาชน ให้กับตำรวจ ทุกคนไม่มีความสุขเลย อย่างที่ผมเรียนให้ทราบ เมื่อคุณมีข้อมูลแล้ว แล้วคุณไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาโดยตรง คุณเป็นรอง ผบ.ตร. ถ้าคุณจะด่า คุณเรียกผู้บัญชาการแต่ละภาคมา
"คุณด่าเขาสิ ว่าดูแลลูกน้องยังไง ไปจัดการซะ แล้วรายงานมาให้ทราบ วิธีการนี้น่าจะดีกว่าหรือเปล่า ที่จะเจาะจงเรียกผู้กำกับคนนี้มา เรียกรองผู้การคนนั้นมา ที่สำคัญเรียกมาแล้วยังมาให้นั่งรอทั้งวัน ตัวเองไปไหนก็ไม่รู้ นัด 9 โมง มา 3-4 ทุ่ม นี่คือ พล.ต.อ.สุรเชษบ์ หักพาล อีกพฤติกรรมหนึ่ง วันนี้ตำรวจทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เชื่อผมสิ 99% ไม่ชอบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เลยแม้แต่นิดเดียว” นายสนธิกล่าว.