พฤติกรรมย่ามใจ 8 ตำรวจลูกน้อง “บิ๊กโจ๊ก” ตกเป็นผู้ต้องหาพัวพันเว็บพนัน “มินนี่” ยังรับราชการต่อแบบชิลๆ ไม่ถุูกดำเนินการทางวินัย เลยได้ใจเหิมเกริม คุกคามอัยการที่มาทำคดีร่วมกับตำรวจตามคำสั่งนายกฯ งานนี้จึงมีคำถามถึง “บิ๊กต่อ” ผบ.ตร.ทำไมไม่จัดการอะไรสักที มัวแต่สร้างภาพเฟรนด์ลี่ หรือจะให้วงการตำรวจเน่าเฟะอยู่อย่างนี้
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงคดีส่วยพนันออนไลน์“มินนี่ เจ้าแม่เว็บพนัน” นางสาวธันยนันท์ สุจริตชินศรี หรือนางสาวสุชานันท์ กุลวัฒนโยธิน ที่มี 8 นายตำรวจ ลูกน้องที่อยู่รอบกาย “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตกเป็นผู้ต้องหา ที่กำลังงวดเข้ามาทุกขณะ
ล่าสุด คณะกรรมการสอบสวนชุดใหญ่ ได้มีการเรียกประชุมตรวจสำนวนเพื่อเตรียมจะส่งฟ้องคดีในชั้นอัยการในเร็ววันนี้ แต่ไม่ทันที่สำนวนจะไปอยู่ในการพิจารณาของอัยการ ก็กลับมีความเคลื่อนไหว และเหตุการณ์ผิดปกติขึ้นมา นั่นคือเกิดกรณีคุกคามอัยการที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ขึ้นมา
โดยเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 มีจดหมายเลขที่ อส 0037/8 จาก สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด ส่งถึง หัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน (พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์)
หนังสือระบุ เรื่องการปฏิบัติหน้าที่ให้คำแนะนำปรึกษาการสืบสวนสอบสวน จำนวน 2 หน้า
เนื้อหาของหนังสือลับฉบับดังกล่าว คือ ตำรวจที่ถูกดำเนินคดี 8 นายดังกล่าว นำโดย พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย กับพวก ได้มีหนังสือร้องเรียนการปฏิบัติหน้าที่ในการให้คำแนะนำปรึกษาการสืบสวนสอบสวนของพนักงานอัยการ แต่หนังสือร้องเรียนดังกล่าวกลับแนบภาพถ่ายของนายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการ และนายสุริยน ประภาสะวัต อัยการพิเศษฝ่ายการสืบสวน 1 ที่เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว ในลักษณะที่มีผู้เฝ้าติดตาม และแอบถ่ายขณะที่เดินทางมาปฏิบัติหน้าที่
หนังสือจากสำนักงานอัยการสูงสุด ส่งถึงหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนของตำรวจระบุชัดเจนว่า “การที่ผู้ต้องหา ผู้ร้องเรียนทั้ง 8 ใช้ภาพถ่ายดังกล่าว เป็นพฤติการณ์ให้เห็นว่าต้องการให้พนักงานอัยการที่ปฏิบัติหน้าที่ได้พบเห็น และรู้ว่าถูกกลุ่มผู้ต้องหาเฝ้าติดตามการปฏิบัติหน้าที่รวมถึงการใช้ชีวิตประจำวันโดยตลอด เป็นการกระทำโดยมิชอบ ในเชิงการคุกคามข่มขู่ให้เกิดความกลัวว่าจะเกิดภยันตรายต่อชีวิตร่างกายของพนักงานอัยการผู้ปฏิบัติหน้าที่และบุคคลภายในครอบครัว ...”
สรุปง่าย ๆ ก็คือ ลูกน้อง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พอถูกดำเนินคดีเรื่องมินนี่ ก็ดำเนินการข่มขู่คุกคาม “อัยการ” ที่มาร่วมทำคดี ด้วยการส่งคนออกสะกดรอยตาม พร้อมกับแอบถ่ายภาพ ระหว่างที่อัยการเป้าหมายเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ เสร็จแล้วก็ส่งรูปอัยการไปให้กลุ่มผู้ต้องหา ให้ตามไปข่มขู่อัยการ นอกจากนี้ ยังมีการปั้นเรื่องเท็จ ขู่จะร้องเรียนอัยการคนดังกล่าวด้วย
ทั้ง ๆ ที่ “อัยการ” ที่ถูกสะกดรอยเหล่านี้ ต้องเข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวน เพราะเป็นไปตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี ที่สั่งการให้มีคณะกรรมการสอบสวนคดีหลายฝ่าย มาช่วยกันทำคดี เนื่องจากนายกรัฐมนตรีเห็นว่า “คดีส่วยและเว็บพนันมินนี่” พัวพันตำรวจหลายระดับชั้น โดยการมีอัยการเข้าร่วมด้วย ก็เพื่อจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่ใช่เรื่องตำรวจจัดการกันเอง
“จริง ๆ ผมมีข้อมูลของนายตำรวจที่ไปสะกดรอย ตามแอบถ่าย อธิบดีอัยการ และอัยการพิเศษ ด้วยนะครับว่า เป็นใคร
“คนๆ นี้ คือ พ.ต.ท.กวีพัฒน์ ไกรเพิ่ม รองผู้กำกับ (สอบสวน) กองกำกับการ 3 กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2
“พฤติกรรมของ พ.ต.ท.กวีพัฒน์ก็คือ ติดตามแอบถ่ายภาพอัยการระดับผู้ใหญ่ที่ปรึกษาคดีมินนี่ แล้วนำภาพแอบถ่ายดังกล่าวไปให้ 1 ใน 8 ตำรวจชุดลูกน้องของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เพื่อนำไปคุกคามและข่มขู่อัยการต่อ” นายสนธิกล่าว
นายสนธิ กล่าวต่อว่า การสะกดรอย แอบถ่าย และคุกคามอัยการอย่างนี้ เป็นวิชาพื้นฐานของการแบล็กเมล และเป็นวิธีที่ทางทีมงานของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ชอบใช้ ตั้งแต่กรณีถูกร้องเรียนเรื่องส่วยคาราโอเกะภาคอีสานเมื่อหลายปีมาแล้ว
วิธีการเดินเกมใต้ดินอย่างนี้ อาการย่ามใจอย่างนี้ เป็นเรื่องประสาคนที่เคยทำเรื่องดำมืดมาอย่างโชกโชน โดยไม่เคยมีใครแตะต้อง
แต่มาถึงวันนี้ พอเรื่องแดงขึ้น เลยเกิดเป็นคำถามจากองค์กรอัยการ ถามไปที่องค์กรตำรวจ โดยเฉพาะ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. คิดจะเอาแต่ภาพลักษณ์ “เฟรนด์ลี่” เดินสายสร้างภาพทำบุญ สร้างพระ โดยไม่ได้ทำงานจริง ๆ จัง ๆ แบบนี้ จริงๆ หรือ?
เพราะท่านขึ้นมาเป็น ผบ.ตร.แล้วก็หลายเดือน เหลืออีกไม่กี่เดือนก็จะเกษียณอายุราชการแล้ว ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ขนาดนายตำรวจ โดนข้อหาหนัก รับส่วยพนันออนไลน์ เป็นข่าวอื้อฉาวสนั่นเมือง บางนายโดนหมายจับรับส่วยซ้ำ 2 รอบเข้าไปแล้ว ก็ยังคงรับราชการอยู่ได้ แถมทุกนาย ก็ยังชิล ๆ อยู่ในตำแหน่งหน้าที่การงานของตัวต่อไป ต่างจากตำรวจรายอื่นๆ ที่ถูกคดีอาญา จะต้องโดนเชือดกระเด็นกระดอนจากตำแหน่งเดิมทันที
ยกตัวอย่างเช่น พันตำรวจโท คริษฐ์ ปริยะเกตุ คนใกล้ชิด “บิ๊กโจ๊ก” ถูกออกหมายจับสองครั้ง ความผิดชัดเจนก็ยังชิล ๆ
ตำรวจแปดคนก็มีความผิดชัดเจนมาก ถูก ป.ป.ง.ยึดทรัพย์ไปแล้วด้วยก็ยังชิล ๆ
แถมตำรวจ 8 นาย ยังย่ามใจ ไปสะกดรอย คุกคาม แบล็กเมลอัยการชั้นผู้ใหญ่อีกหลายคนที่เกี่ยวข้องกับคดี
แต่มาถึงวันนี้ ผบ.ตร.กลับยังไม่ดำเนินการใดๆ ทางวินัย ทั้ง ๆ ที่ควรจะให้ถูกออกไว้ก่อน พอเป็นอย่างนี้ ในแวดวงตำรวจรวมถึงอัยการ ก็เลยตั้งคำถามกับการทำงานแบบ “สองมาตรฐาน” ของ ผบ.ตร.
ซึ่ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ต้องระมัดระวังว่าจะลามไปถึงพี่ชาย ก็คือ พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ราชเลขาฯ ไปด้วย สรุปจะให้ตำรวจและอัยการอยู่กันอย่างนี้จริง ๆ หรือ?
“ผมเลยอยากรบกวนกรายเรียนท่านราชเลขาฯ ช่วยสะกิดเตือนน้องชายท่านด้วยว่า ทำอะไรให้ถูกร้อง เรียบร้อย โปร่งใส เสียที เพราะข้าราชการตำรวจที่ภาพลักษณ์เน่าเฟะอยู่แล้ว พอมาเจอเรื่องอย่างนี้ แถมไปคุกคามถึงบุคลากรของหน่วยงานอื่นอย่างอัยการเขาอีก มันก็ยิ่งเน่าเหม็นคลุ้งเข้าไปอีก
“ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่จะต้องสกัดไฟลามทุ่ง อย่าปล่อยให้ใครเกิดความย่ามใจ ว่าตัวเองมี แบ็กดี มีคนคุ้มกะลาหัว คิดจะทำอะไรก็ทำได้ไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องเห็นหัวใครทั้งสิ้น”
“ท่านผู้ชมครับ น่าเสียใจไหม ความจริงเรื่องที่อัยการร้องเรียนนี้ ตั้งคณะกรรมการสอบสวนแล้วดำเนินคดีได้เลย แล้วพันตำรวจโทที่ไปถ่ายรูป ควรจะให้ออกจากราชการซะ แล้วตำรวจ 8 คนที่เป็นจำเลย พวกคุณมีส่วนรู้เห็นมั้ย อย่างน้อยก็ 1 คน ที่เป็นคนส่งเรื่องร้องขอความเป็นธรรม พร้อมแนบรูปไปด้วย
“พวกคุณ 8 คนนี่เป็นตำรวจนะ อายบ้างหรือเปล่า อาชีพคุณ ผมนี่อายชิบหายเลย คุณอย่าลืมว่า เรื่องนี้่เอามือปิดฟ้าไม่มิดหรอก คุณไม่จำเป็นต้องติดตามใครอีกแล้ว คุณต้องมุ่งมั่นที่จะสู้คดีอย่างเต็มที่ ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่ผิด” นายสนธิกล่าว