“บิ๊กโจ๊ก” กำลังโดนย้อนศร หลังเล่นบท “โปลิสจับตำรวจ” จนเคยตัว เจอ “พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ” อดีตรองผู้การชลบุรี ฟ้องกลับฐานหมิ่นประมาท ใส่ร้ายยัดข้อกล่าวหาว่าเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาคดียิงกันในพูลวิลลาพัทยา จนถูกเด้งเข้ากรุ แต่ต่อมาผลสอบสวนทางวินัยเป็นเอกฉันท์ 8-0 ไม่ผิด แต่เรื่องยังค้างอยู่ ป.ป.ช. งานนี้พร้อมสู้จนสุดทุกศาลให้ความจริงปรากฏ
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงความขัดแย้งภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กรณีนายตำรวจอีกคนหนึ่งที่ถูกกลั่นแกล้งโดยนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่อย่าง “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยคราวนี้คู่ปรับที่ออกมาเปิดตัวชนโดยตรงนั้นเป็น นายตำรวจยศ พลตำรวจตรี อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี ที่ชื่อ พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ธนนันท์ทวีสิน
พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ธนนันท์ทวีสิน ชื่อเล่น “สันต์” ตามชื่อเดิม “สุขสันต์ ส่งประเสริฐ” เกิดเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2516 เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 49ส่วนบิ๊กโจ๊กนั้น นรต.47
พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ เคยเป็น รอง ผบก.ภ.จ.ตรัง ก่อนย้ายเป็นรอง ผบก.น.2 ช่วยราชการสำนักงานประธานสภาผู้แทนราษฎร นายชวน หลีกภัย แล้วขยับเป็น รอง ผบก.อก.บช.น. แล้วขึ้น ผบก.ภ.จว.ชลบุรี เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2565
ปลายปี 2565 ชื่อของ พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ตกเป็นข่าวโด่งดัง กรณีตกเป็นข่าวว่า มีการสับเปลี่ยนผู้ต้องหาในคดีเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2565 ชายฉกรรจ์ 6 คน บุกทวงหนี้ภายในพูลวิลล่าแห่งหนึ่งในเมืองพัทยา จ.ชลบุรี โดยผู้ต้องหากระทำความผิด ใช้อาวุธปืนยิงยางรถยนต์ของคู่อริ รวมทั้งทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บ แต่พบว่าตัวผู้ต้องหาที่มามอบตัว 2 คน เป็นตัวปลอม
ซึ่งจากการสอบสวนซักปากคำสุดท้ายเจ้าตัวรับสารภาพว่า ได้รับค่าจ้างให้มาเป็นผู้ต้องหาแทน โดยเวลานั้นมีการให้ข่าวมีการเรียกรับเงินสินบนจำนวน 1 ล้านบาท ทำให้ในเวลาต่อมา “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รอง ผบ.ตร. ชงเรื่องให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ออกคำสั่ง ตร.ที่ 543/2565 ลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2565 โยกย้ายให้ พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.)
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาล่วงเลยไป เมื่อความจริงปรากฏ การทำงานให้โครมครามในแนวทาง“โปลิศจับตำรวจ”ของ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กำลังกลับกลายมาเป็นหอกทิ่มแทงตัวเอง และ กลายเป็นกรรมที่กำลังตามไล่ล่าตัว “บิ๊กโจ๊ก” เอง
ประเด็นก็คือ เมื่อ วันจันทร์ที่ 29 มกราคม ที่ผ่านมา พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ธนนันท์ทวีสิน อดีต ผบก.ชลบุรี เพิ่งขึ้นศาล เพื่อไต่สวนมูลฟ้อง คดีที่ยื่นฟ้อง “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาจากการให้สัมภาษณ์ออกสื่อ เมื่อปี 2565
โดยเวลานั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวหาว่า พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ มีพฤติกรรมเปลี่ยนตัวผู้ต้องหา คดีคนร้าย 6 คน ยกพวกบุกยิงรถคู่อริ ที่พูลวิลล่าแห่งหนึ่ง ย่านจอมเทียน แล้วจัดการดำเนินคดีกับ พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ
พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ต้องเผชิญวิบากกรรมมาจนทุกวันนี้ ต้องกระเด็นหลุดจากเก้าอี้สำคัญอย่างผู้การชลบุรี มาอยู่ในกรุ เป็น ผบก.ประจำ บช.สันติบาล ทั้งยังต้องคดีอาญา ข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ คาอยู่ในชั้น ป.ป.ช.
ด้วยเหตุนี้ พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ จึงไม่งอมืองอเท้า จัดการแจ้งความดำเนินคดีอาญากับ “บิ๊กโจ๊ก” ที่ สภ.เมืองชลบุรี เช่นกัน เป็นคดีคาอยู่ใน ป.ป.ช.เหมือนกัน
ความจริงปรากฏ “กิตติ์ธเนศ” ไม่ผิด
คดีอาญาที่ทั้งสองฝ่าย แจ้งจับกันไปมา ยังไม่รู้จะจบวันใด แต่ที่จบลงเรียบร้อยแล้ว คือการสอบสวนทางวินัย
คณะกรรมการสอบสวนมีมติ 8 ต่อ 0 เมื่อเดือนกันยายน 2566 ว่า พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ไม่ได้กระทำผิดตามที่ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ตั้งเรื่องขึ้นมากล่าวหา
ทั้งนี้ เหตุการณ์ยิงกันที่พูลวิลล่าครั้งนั้น พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ชี้แจงว่า ทางตำรวจชลบุรี ไม่ได้มีพฤติกรรมเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาใดๆ ทั้งสิ้น แต่ความวุ่นวายเกิดขึ้น เพราะฝ่ายผู้ต้องหา ดันส่งผู้ต้องหาตัวปลอม 2 คน มาแสดงตัว รับสมอ้างว่าเป็นคนลงมือ แต่พนักงานสอบสวนก็พิสูจน์เบื้องต้น ด้วยการตรวจสอบใบหน้าคนร้าย เทียบกับกล้องวงจรปิดแล้ว พบว่าเป็นคนละคนกัน
จากนั้น มีการเรียกตัวเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน มาตรวจลายมือ เขม่าดินปืน เก็บดีเอ็นเอ เอาไปเปรียบเทียบกับในที่เกิดเหตุ
แล้ววันเดียวกันนั้นเอง ผู้ต้องหาอีก 2 คน ก็โผล่มามอบตัวอีก ซึ่งตอนนั้น ยังไม่มีการออกหมายจับใคร จึงไม่สามารถจับกุมใครได้
จนพิสูจน์ได้แน่ชัดในเวลาต่อมา ว่าผู้ต้องหา 2 คนแรก เป็นตัวปลอม ส่วน 2 คนหลังเป็นตัวจริง
ปัญหาเกิดขึ้น เพราะในขั้นตอนตรวจสอบ ใครเป็นคนร้ายตัวจริงตัวปลอมนั้นเอง นายตำรวจมือขวาคนดังของ “บิ๊กโจ๊ก” คือ พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิสมัย หรือ “ผกก.เปียก” ถูกส่งมาสังเกตการณ์การสอบสวนด้วย
แล้วไปๆ มาๆ ข้อเท็จจริงก็ถูกพลิกไปอีกทาง กลายเป็นว่า “ผู้การชลบุรี พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ” เปลี่ยนตัวผู้ต้องหา ซะอย่างนั้น !?!
“ผกก.เปียก” พ.ต.อ.เขมรินทร์ ณ เวลานั้น ก็ยังไม่ค่อยมีคนรู้จัก แต่ปัจจุบัน ถือว่าเป็นตำรวจที่ดังกระหึ่มเมืองไปแล้ว ในฐานะหวานใจของเจ้าแม่เว็บพนัน “มินนี่” อายุน้อยร้อยเว็บ และ พ.ต.อ.เขมรินทร์ ก็โดนข้อหารับเงินส่วยจากเว็บพนัน รวมถึง ป.ป.ง. ก็เพิ่งออกคำสั่งให้มีการยึดทรัพย์แก๊งมินนี่ ซึ่งรวมถึงทรัพย์สินของ ผกก.เปียกไปแล้ว มากมายคิดเป็นตัวเงินถึง 41 ล้านบาท เมื่อ วันที่ 11 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา
จากเหตุดังกล่าว พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ จึงแจ้งความจับ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พร้อม พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.ภาค 2 ขณะนั้น ในข้อหาว่า สมคบกัน ช่วยเหลือ หรือสนับสนุน ให้ พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิศมัย กับพวก เข้าทำคดี โดยไม่มีอำนาจหน้าที่ เป็นความผิดกฎหมาย พรป.ป.ป.ช. 2561, ม.171 ประกอบ ป.อาญา ม.83 และ 86
นอกจากนี้ยังกลั่นแกล้งให้ พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ให้ได้รับความเสียหาย ต้องรับโทษทางอาญาและวินัย เป็นความผิดกฎหมาย ป.อาญา ม.200 , ม.267 , ม.157 ประกอบ ม.83 และ 86
ส่วนเรื่องเงินสินบน 1 ล้านบาทนั้น พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ระบุชัดเจนว่าสำหรับคดีโด่งดังขนาดนี้ เพียงใช้สามัญสำนึกก็รู้แล้วว่า ไม่มีทางเป็นไปได้
“ผมถามว่าเงินหนึ่งล้านบาท ที่เขาตั้งเป็นประเด็น ลองไปเช็คฐานะ รอง ผบก.ชลบุรี คนที่ถูกกล่าวหา ลองไปเช็คดูว่าฐานะทางบ้านเขา ครอบครัวเขา เป็นอย่างไรเงินหนึ่งล้าน มันกระจอกมาก สำหรับตำรวจระดับยศ พ.ต.อ.ขึ้นไป หรืออย่างผม มันกระจอกมาก แล้วยิ่งเป็นคดีโด่งดังขนาดนี้ มีผู้บังคับบัญชาลงมาด้วยขนาดนี้ ผมถามว่าใครจะกล้า อันนี้แค่สามัญสำนึก”
พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ กล่าวให้สัมภาษณ์ด้วยว่า“ผมต่อสู้คดี ไม่ได้ต่อสู้ว่าผมไม่ได้ผิดนะ แต่ผมสู้ว่าผมไม่ได้ทำ ผมบริสุทธิ์ ผมสู้เพื่อพิสูจน์ความจริง เพราะฉะนั้น ถึงจะเป็นรองโจ๊ก ผมก็จะใช้สิทธิ์ในทางกฎหมาย ในทุกกรณี” และย้ำว่า “ความจริงมีหนึ่งเดียว”
ทั้งนี้ แม้ พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ จะพ้นข้อครหาเกี่ยวกับความผิดทางวินัยไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังมีเรื่องค้างคาอยู่ใน ป.ป.ช. ซึ่งตัวเขาเองก็พร้อมจะสู้ไม่ถอย แม้ว่าจะมีคลิปเสียงของ “นายตำรวจใหญ่” ที่อ้างว่าสนิทสนมกับ “คณะกรรมการ ป.ป.ช.” หลุดออกมาก็ตาม !
พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ พูดอย่างเปิดอกทีมงาน “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ว่า“ถ้า ป.ป.ช. ชี้ว่าผมผิด ผมก็ยอม ผมวัดเลย ไม่มีเสมอเกมนี้ เพราะมันจะถูกทั้งคู่ ผิดทั้งคู่ไม่ได้ ความจริงมันมีหนึ่งเดียว ถ้าตัดสินว่าผมแพ้ ก็ยอม สู้แบบหัวก้อยไปเลย หากว่าผมแพ้ ผมก็ไปสู้ต่อในชั้นศาล สู้จนสุด ผมต้องการทำความจริงให้ปรากฏ !”
“พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ครับ พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ไม่เหมือนกับตำรวจหลายคนที่โชคร้ายโดนคุณเล่นงานไป ตั้งแต่อดีตรองผู้กำกับสอบสวนที่จังหวัดนครพนม ที่ทำเรื่องคดีค้ามนุษย์ แล้วไม่ยอมทำตามคำสั่งคุณ แล้วคุณย้ายเขาไปที่เชียงใหม่ ทั้งๆ ที่เขามีลูก 2 คน เป็นออทิสติก แล้วเขาก็ออกจากราชการที่จังหวัดเชียงใหม่ทันทีที่ถูกย้าย และตอนนี้กลับมาปิ้งไก่ย่างขาย
“รองผู้กำกับสอบสวนนครพนม ซึ่งผมให้คนของผมไปพูดคุยมาเรียบร้อยแล้ว มีเรื่องราวที่น่าสะเทือนใจอย่างยิ่้ง คิดไม่ถึงว่าตำรวจอีกหลายต่อหลายคนจะเจอชะตากรรมจากที่มีเจ้านายที่เฮงซวยและอำมหิตแบบนี้” นายสนธิกล่าว