1.แก๊งลูกตำรวจอรัญฯ ก่อเหตุอุ้มฆ่า "ป้าบัวผัน" ขณะที่ตำรวจฉาวซ้ำ ข่มขู่บังคับให้ "ลุงเปี๊ยก" สามีผู้ตายเป็นคนฆ่า ผลสอบ ตำรวจผิดอาญา 1 นาย ผิดวินัย 2 นาย!
จากกรณีพบศพลอยอยู่ในสระน้ำหลังปั๊มน้ำมันเก่าข้างโรงเรียนแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ทราบชื่อคือ นางบัวผัน ตันสุ หรือป้าบัวผัน หรือป้ากบ อายุ 47 ปี ชาว อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว หญิงสติไม่สมประกอบ แต่ไม่ได้มีพิษภัยกับใคร โดยสภาพศพ ใบหน้าและศีรษะมีบาดแผลคล้ายถูกทำร้ายด้วยของแข็ง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 11 ม.ค. ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมตัวนายปัญญา คงแสนคำ หรือเปี๊ยก อายุ 56 ปี สามีของป้าบัวผัน มาดำเนินคดี โดยอ้างว่านายปัญญารับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือฆ่าภรรยาตนเอง
อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา มีภาพจากกล้องวงจรปิดหน้าสำนักงานเทศบาลเมืองอรัญประเทศ และหน้าร้านสะดวกซื้อสี่แยกวัดหลวงอรัญ สามารถบันทึกภาพเหตุการณ์เมื่อเวลา 02.00 น.วันที่ 11 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งพบว่า คนร้ายตัวจริง คือกลุ่มวัยรุ่นอายุประมาณ 13-16 ปี จำนวน 5 คน ที่รุมทำร้ายร่างกายป้าบัวผัน ก่อนนำไปทิ้งสระน้ำข้างโรงเรียน จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง เนื่องจากหนึ่งในผู้ก่อเหตุเป็นลูกชายของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อรัญประเทศ ท่ามกลางข้อกังขาของสังคมว่า ตำรวจจับแพะ เพื่อรีบปิดคดีและช่วยกลุ่มผู้ก่อเหตุตัวจริง เพราะมีพ่อเป็นตำรวจหรือไม่
สำหรับผู้ต้องหา ประกอบด้วย ด.ช.แบงค์ อายุ 13 ปี, ด.ช.กั๊ด อายุ 13 ปี, ด.ช.โก๊ะ อายุ 14 ปี, นายบิ๊ก อายุ 16 ปี และ ด.ช.เชน อายุ 14 ปี ซึ่งเป็นลูกชายของข้าราชการตำรวจยศร้อยตำรวจโท ตำแหน่งรองสารวัตรสืบสวน สภ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
ทั้งนี้ เฟซบุ๊กเพจ "อีจัน" ได้โพสต์ข้อความแชตจากรุ่นพี่ที่คุยกับกลุ่มวัยรุ่นผู้ก่อเหตุ โดยพบว่า กลุ่มวัยรุ่นดังกล่าวสารภาพกับรุ่นพี่ว่าเป็นคนลงมือฆ่าป้าบัวผัน โดยมี ด.ช.เชน อายุ 14 ปี ซึ่งเป็นลูกตำรวจเป็นคนเริ่ม อ้างว่าที่ทำกับป้าบัวผันเพราะป้าบัวผันทำเพาเวอร์แบงก์หาย แต่ ด.ช.เชนทำตัวเอง วิ่งไล่ป้าบัวผันแล้วตกหาย ส่วนที่นำร่างป้าบัวผันลงน้ำ กลุ่มวัยรุ่นทำหมดเลย แต่ ด.ช.เชนก็อ้างว่า สั่งแค่โยนป้าบัวผันลงน้ำ และพยายามจะนำมีดแทง แต่ไม่ได้แทง
เมื่อรุ่นพี่ถามว่า ทำไมไม่นำส่งโรงพยาบาล เรื่องจะไม่ใหญ่โตแบบนี้ กลุ่มวัยรุ่นก็อ้างว่า ด.ช.โก๊ะ อายุ 14 ปี เป็นคนบอก ด.ช.เชน ซึ่งเป็นลูกตำรวจให้เตะหน้า จากนั้น ด.ช.เชนบีบคอแล้วจับป้าบัวผันกดน้ำ แล้ว ด.ช.โก๊ะก็เอาเหล็กตีศีรษะถึงแก่ความตาย อย่างไรก็ตาม เมื่อรุ่นพี่กล่าวว่า น้องพลาดไปแล้ว ทำอะไรไม่ได้แล้ว ด.ช.กั๊ด อายุ 13 ปี หนึ่งในแก๊งวัยรุ่นก็กล่าวว่า ถึงไม่ได้เข้าไป ก็อยู่อรัญประเทศไม่ได้แล้ว
นอกจากนี้รุ่นพี่ยังกล่าวอีกว่า ไปด้วยกัน แค่ทำเขาก็พอแล้ว ทำไม ด.ช.แบงก์ อายุ 13 ปี และ ด.ช.กั๊ด ถึงไม่ห้าม ด.ช.กั๊ดก็กล่าวว่า ห้ามไงวะพี่ ห้ามมันก็ด่าบ่น รุ่นพี่จึงถามว่า แล้วทีนี้จะทำยังไงกัน แต่บทสนทนาไม่ต่อเนื่อง
นอกจากแชตของรุ่นพี่ที่คุยกับกลุ่มวัยรุ่นผู้ก่อเหตุฆ่าป้าบัวผันแล้ว ยังปรากฏคลิปเสียงเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.อรัญประเทศ มีการบังคับขู่เข็ญให้นายปัญญา หรือลุงเปี๊ยก สามีป้าบัวผัน รับสารภาพว่าเป็นคนฆ่าภรรยาตนเองอีกด้วย จนมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว โดยมีรายงานว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นปรากฏว่า คลิปดังกล่าวเป็นเสียงของ พ.ต.ท.พิชิต วัฒโน รองผู้กำกับการสืบสวน สภ.อรัญประเทศ ส่งผลให้ พล.ต.ต.ออมสิน บุญญานุสนธิ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว มีคำสั่งให้ พ.ต.ท.พิชิต ไปช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว เป็นเวลา 30 วัน โดยขาดจากต้นสังกัด ตั้งแต่วันที่ 18 ม.ค.2567 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง
ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.กล่าวถึงคดีฆาตกรรมป้าบัวผันว่า ได้รับรายงานว่า มีหลักฐานคลิปวิดีโอและพยานให้ข้อมูลมายังตนเองว่า ลุงเปี๊ยกถูกกลุ่มคนใช้ถุงดำคลุมศีรษะ ซ้อม ล่ามโซ่ และบีบบังคับให้รับสารภาพว่าเป็นคนลงมือฆ่าภรรยา “หากพบว่าใช้วิธีการสอบสวนดังกล่าวจริง ถือเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายอย่างแน่นอน เพราะเข้าข่ายเป็นการอุ้ม ต้องมีการดำเนินคดีอาญา และว่า ต้องมีการสอบปากคำลุงเปี๊ยกใหม่อีกครั้ง โดยเฉพาะไทม์ไลน์ที่มีการตรวจสอบจากกล้องวงจรปิด พบว่า จุดที่ลุงเปี๊ยกถูกควบคุมตัวเพื่อนำตัวไปที่ สภ.อรัญประเทศ หายไป 2 ชั่วโมง ทั้งที่ระยะทางไม่ไกล”
รอง ผบ.ตร. ยืนยันด้วยว่า คดีนี้ไม่มีการช่วยเหลือลูกตำรวจอย่างแน่นอน เพราะพ่อเด็กที่เป็นตำรวจ สภ.อรัญประเทศ เป็นคนนำตัวผู้ก่อเหตุ 1 ใน 5 คน เข้ามอบตัวด้วยตนเอง และให้ข้อมูลผู้ก่อเหตุอีก 4 คนที่เหลือ จนตำรวจสามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้ทั้งหมด และนำตัวส่งสถานพินิจ
ทั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เผยอีกครั้งเมื่อวันที่ 18 ม.ค.ว่า คณะตำรวจสอบสวนจากจังหวัดสระแก้ว ได้สอบปากคำลุงเปี๊ยก ซึ่งจากการสอบปากคำ ทางลุงเปี๊ยกได้ยืนยันชัดเจนว่า ขณะที่อยู่ในห้องนั้น ทางลุงเปี๊ยกก็อยู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งที่ขาขาด กระทำโดยการให้ถอดเสื้อผ้าให้หนาวเย็นอยู่ในห้องแอร์ บังคับให้รับสารภาพว่าเป็นคนฆ่าป้าบัวผัน และก็คลุมถุงดำ ส่วนการล่ามโซ่นั้นไม่มี
ซึ่งทางลุงเปี๊ยกได้ชี้ตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจหนึ่งคนที่ขาขาดแล้ว และในวันนี้ก็จะมีผู้กระทำผิด คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจ 1 นาย ซึ่งก็ต้องไปสอบต่อว่า รอง ผกก.นั้นรู้ตอนไหน ถ้ารู้ขณะกระทำ ก็ต้องร่วมกัน หรือถ้ารู้ทีหลัง ว่ามีการกระทำแบบนี้เกิดขึ้นแล้วไม่ทำอะไรเลย ก็เป็นเรื่องการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
ส่วนตำรวจที่ขาขาดกระทำเองหรือมีใครสั่งให้ทำ ก็ต้องไปสอบกันอีก ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจคนนี้ใช้วิธีการควบคุมตัวโดยมิชอบถึง 9 ชั่วโมง ส่วนความผิดนั้น มีอยู่ 2 ส่วน 1. พ.ร.บ.เกี่ยวกับการทรมานและการอุ้มหาย และความผิดฐาน 157 ส่วนเรื่องวินัยก็คงต้องให้ออก โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจนายนี้ เป็นชั้นประทวน ส่วนคลิปเสียงนั้น ต้องไปสอบดูว่า รอง ผกก.คนนี้เป็นใคร และผู้บังคับบัญชารู้เห็นด้วยไหม คนไหนทำผิด เนื้อไหนร้ายต้องตัดทิ้ง ส่วน ผกก.นั้นต้องทราบเรื่องทั้งหมด เพราะได้แต่งตั้งให้มากำกับโรงพักแล้ว ซึ่งที่อยู่ในห้องนั้นมีตำรวจกับลุงเปี๊ยก ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจคนนี้อยู่ในชุดสืบสวน
ทั้งนี้ วันเดียวกัน (18 ม.ค.) พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ได้เปิดแถลงข่าวว่า ได้มีคำสั่งมายัง พล.ต.ต.ออมสิณ บุญญานุสนธิ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว ให้ พ.ต.อ.พิเชษฐ์ ศรีจันตรา ผกก.สภ.อรัญประเทศ ไปช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้วแล้ว จนกว่าการสืบสวนกรณีตำรวจมีการข่มขู่บังคับให้ลุงเปี๊ยกรับสารภาพว่าเป็นคนฆ่าป้าบัวผัน ภรรยาตนเอง จะเสร็จสิ้น โดยยังไม่ขาดจากตำแหน่งเดิม
พล.ต.ท.สมประสงค์ กล่าวว่า "ส่วนที่มีผู้เสียหายซึ่งเคยถูกกลุ่มผู้ก่อเหตุทำร้ายร่างกาย เผารถจักรยานยนต์ ล่วงละเมิดทางเพศ ร่วมถึงกระทำการอนาจารนั้น ขณะนี้มีบุคคลเข้ามาแจ้งความไว้ที่ สภ.อรัญประเทศ แล้ว 4 คน ซึ่งได้กำชับให้พนักงานสอบสวนดูพยานหลักฐานทั้งหมด เพื่อดำเนินคดีผู้กระทำความผิดแล้ว"
ด้าน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.กล่าวถึงกรณีปรากฏคลิปเสียงเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.อรัญประเทศ บังคับขู่เข็ญให้ลุงเปี๊ยกรับสารภาพว่าฆ่าภรรยาตนเองว่า ตร. มีระเบียบทางปกครองอยู่แล้ว ตร.เป็นหน่วยงานที่มีมาตรการเข้มกับตำรวจนอกรีต ยิ่งในยุคตนเป็น ผบ.ตร. จะสนับสนุนตำรวจที่ดีให้มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ แต่ตำรวจชั่วต้องหมดไป
ส่วนที่มีการเสนอให้แก้กฎหมายเกี่ยวกับเยาวชนที่กระทำความผิด ให้มีจำนวนอายุที่น้อยลง ผบ.ตร. กล่าวว่า ได้นำเสนอไป แต่ขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) นำฝ่ายกฎหมาย และคดี มาดูในข้อกฎหมายว่ามีสนธิสัญญาเกี่ยวกับสิทธิเด็ก ที่ประเทศไทยไปทำไว้กับสหประชาชาติว่าจะเป็นอุปสรรคหรือไม่ และต้องดูข้อศึกษาของประเทศญี่ปุ่น และประเทศเยอรมนี เขาทำได้อย่างไร ซึ่งต้องนำไปเปรียบเทียบกัน ตอนนี้ทีมงานทั้งหมดจะสรุปมาให้ตนเองภายในสิ้นเดือนนี้ เพื่อนำเรียนนายกรัฐมนตรี และให้กระทรวงยุติธรรม ได้สานต่อจากหลายหน่วยงาน
ล่าสุด (20 ม.ค.) ตำรวจภูธรภาค 2 ได้ออกเอกสารประชาสัมพันธ์เรื่องการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่มีคลิปเสียงเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.อรัญประเทศ มีการบังคับขู่เข็ญให้ลุงเปี๊ยกรับสารภาพว่าฆ่าป้าบัวผัน ภรรยาตนเองว่า ขณะนี้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ดำเนินงานเสร็จสิ้นแล้ว โดยพบว่า มีข้าราชการตำรวจ สภ.อรัญประเทศ จำนวน 2 นาย เข้าข่ายกระทำความผิดวินัยตำรวจ ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 และมีเพียง 1 นายที่กระทำผิดอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ส่วนความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 พยานหลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะแจ้งข้อกล่าวหาได้
ทั้งนี้ ตำรวจภูธรภาค 2 จะส่งสำนวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้พนักงานสอบสวนของตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว สืบสวนสอบสวน รวบรวบพยานหลักฐานเพิ่มเติมต่อไป และหากพบว่า มีการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 หรือกฏหมายอื่นใด จะได้กล่าวโทษดำเนินคดีกับตำรวจผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาด
2.ศาลยกฟ้อง "พันธมิตรฯ" ข้อหาก่อการร้าย คดีชุมนุมสนามบินดอนเมือง แต่ปรับแกนนำ 13 ราย คนละ 2 หมื่น ข้อหาบุกรุก-ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ!
เมื่อวันที่ 17 ม.ค.ศาลอาญาได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมที่สนามบินดอนเมือง ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ กับพวกรวม 31 คน ร่วมกันเป็นจำเลยในความผิด ฐานเป็นกบฏ ก่อการร้ายฯ
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 24 พ.ย.–3 ธ.ค.2551 พวกจำเลยได้ร่วมกันโฆษณาชักชวนให้ประชาชนมาร่วมกันชุมนุมใหญ่โดยกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ และปิดล้อมอาคารวีไอพี.ท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งอยู่ในความครอบครองของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นของบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.ผู้เสียหายที่ 2 และทำลายทรัพย์สินเสียหายเป็นเงิน 627,080 บาท แล้วนำจานรับสัญญาณของพวกจำเลยไปติดตั้งใกล้เครื่องรับสัญญาณเรดาร์ ของบริษัท วิทยุการบินฯ ผู้เสียหายที่ 3 และทำการปิดกั้นสะพานกลับรถของกรมทางหลวงผู้เสียหายที่ 4 ตรวจค้นตัวเจ้าหน้าที่ของบริษัท การบินไทยฯ ผู้เสียหายที่ 5 ปิดกั้นการบริการสื่อสารบริษัท ไปรษณีย์ไทยฯ ผู้เสียหายที่ 6 และร่วมกันขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้ายบุคคลและทรัพย์สิน เพื่อกดดันให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ขณะนั้นลาออก เหตุเกิดที่แขวง-เขตดอนเมือง กทม. โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษพวกจำเลยตามความผิดด้วย โดยจำเลยให้การปฏิเสธ
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1-5 7-13 และ 31 ประกอบด้วย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง จำเลยที่ 1, นายสนธิ ลิ้มทองกุล จำเลยที่ 2, นายพิภพ ธงไชย จำเลยที่ 3, นายสมศักดิ์ โกศัยสุข จำเลยที่ 4, นายสุริยะใส กตะศิลา จำเลยที่ 5, นายศิริชัย ไม้งาม จำเลยที่ 7, นายสำราญ รอดเพชร จำเลยที่ 8, นางมาลีรัตน์ แก้วก่า จำเลยที่ 9,นายสาวิทย์ แก้วหวาน จำเลยที่ 10, นายสันธนะ ประยูรรัตน์ จำเลยที่ 11, นายชนะ ผาสุกสกุล จำเลยที่ 12, นายรัชต์ชยุตม์ หรืออมรเทพ หรืออมร ศิริโยธินภักดี หรืออมรรัตนานนท์ จำเลยที่ 13 และ บ.เอเอสทีวี (ประเทศไทย) จำกัด จำเลยที่ 31 มีความผิดฐานบุกรุกฯ และข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ที่เป็นบทหนักสุด ให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 1-5 7-13 และ 31 คนละ 20,000 บาท ยกฟ้องข้อหาก่อการร้าย,ข้อหาทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานฯ และข้อหาอื่น
นายประพันธุ์ คูณมี สมาชิกวุฒิสภา ให้สัมภาษณ์หลังฟังคำพิพากษาว่า คดีนี้ตั้งแต่ปี 2551 จนวันนี้มีคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งคดีนี้อัยการฟ้องมาร่วม 20 ข้อกล่าวหา เช่น บุกรุก, พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ,ข้อหาก่อการร้าย,ซ่องโจร ชุมนุมโดยก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง,ทำร้ายเจ้าพนักงาน,ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน,กักขังหน่วงเหนี่ยว แต่สาระสำคัญคือ การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ นั้น เป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ และไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือไม่
ซึ่งในประเด็นนี้ ศาลพิเคราะห์ว่า การชุมนุมของพันธมิตรฯ นั้น เป็นการชุมนุมที่สืบเนื่องเรื่อยมาโดยมีเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์เดียวกัน คือคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลนายสมัคร อดีตนายกรัฐมนตรี ประเด็นที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดของนักการเมือง ที่เป็นประเด็นใหญ่ ประเด็นที่ 2 กลุ่มพันธมิตรเห็นว่าการขึ้นมานั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าวเป็นนอมินี ซึ่งศาลพิเคราะห์ว่า การที่ประชาชนออกมาชุมนุมในการคัดค้านรัฐบาลทักษิณ ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลนายสมัครและนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี มาจากที่ไม่เห็นด้วยกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลทักษิณ
โดยผู้ชุมนุมได้พิสูจน์การนำสืบพยานหลักฐาน ข้อเท็จจริงที่คณะกรรมการ คตส.ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและจากศาลฎีกาได้พิพากษาหลายคดีเกี่ยวกับคดีคอรัปชั่น จึงเห็นว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯนั้น เป็นการชุมนุมที่มีเหตุผลและมีเจตนารมณ์เพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง ส่วนการชุมนุมตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จนกระทั่งมาชุมนุมที่สนามบินก็ยังเป็นการชุมนุมโดยสงบ แม้ว่าจะเป็นการไปชุมนุมที่สนามบินดอนเมือง แต่ว่าพื้นที่ของสนามบินดอนเมืองแบ่งเป็น 2 พื้นที่ พื้นที่แรกเรียกว่า พื้นที่แลนด์ไซด์ (Landside) ไม่เกี่ยวกับพื้นที่การบิน หมายถึงพื้นที่ด้านนอก เช่น หน้าอาคาร ห้องโถง ห้องเช็คอิน ร้านกาแฟ ร้านอาหารที่ประชาชนทั่วไปเข้าไปใช้บริการได้ ซึ่งตาม พ.ร.บ.การบินฯ จึงเรียกว่าพื้นที่เขตนอกการบิน หรือ แลนด์ไซด์ (Landside) เป็นพื้นที่สาธารณะ
ส่วนพื้นที่แอร์ไซด์ (Airside) เป็นพื้นที่ด้านใน เริ่มตั้งแต่จุดตรวจทางเข้า ไปจนถึงบริเวณขึ้นเครื่องบิน ซึ่งพื้นที่ตรงนั้นห้ามเด็ดขาดไม่ให้ประชาชนเดินเข้าไป ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ชุมนุมอยู่ที่พื้นที่ด้านนอก ไม่ได้เข้าไปชุมนุมในพื้นที่แอร์ไซด์ และไม่ได้ไปทำร้ายผู้โดยสารหรือเจ้าพนักงาน ชุมนุมโดยสงบ มีเวทีปราศรัยอยู่ด้านนอก ไม่มีผู้ใดพกพาอาวุธเข้าไปในที่ชุมนุม ไม่ได้ก่อความจลาจลวุ่นวายให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง แม้ว่าจะเกิดความไม่สะดวกแก่ผู้โดยสารหรือการจราจรบ้างก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาของการชุมนุมที่มีคนจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้ ศาลจึงเห็นว่า การชุมนุมโดยรวมของจำเลยทั้ง 31 คน เป็นไปโดยสงบปราศจากอาวุธและเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
การกระทำของจำเลยทั้ง 31 คน จึงไม่เป็นความผิดฐานชุมนุมโดยก่อความชุลมุนวุ่นวาย หรือก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่ประชาชนแต่อย่างใด รวมทั้งไม่เป็นอั้งยี่ซ่องโจร ไม่สมคบกันเพื่อกระทำความผิดทางอาญาร้ายแรง ส่วนความผิดฐานก่อการร้ายก็ไม่ได้เป็นการชุมนุมกันโดยมีอาวุธ ไม่ได้ทำร้ายเจ้าหน้าที่เจ้าพนักงาน ไม่ได้ไปทำลายการคมนาคมขนส่ง ไม่ได้ทำลายอากาศยานหรือทำลายสนามบิน จึงไม่เข้าข่ายความผิดฐานก่อการร้ายด้วย
ส่วนความผิดประเด็นอื่นที่ว่า การไปชุมนุมที่สนามบินเป็นการบุกรุกหรือไม่ ศาลท่านวินิจฉัยว่า เนื่องจากสนามบินดอนเมืองเป็นพื้นที่ซึ่งรัฐบาลสมัยนายสมชายนั้น ได้ใช้จัดประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. (เป็นการชั่วคราว) ซึ่งกลุ่มพันธมิตรฯ เคลื่อนขบวนเข้าไป มีผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งขอเข้าไปดูห้องประชุมของคณะรัฐมนตรีดังกล่าวและอาจจะมีมวลชนเข้าไปในอาคารนั้น แต่ไม่ได้เข้าไปในพื้นที่แอร์ไซด์ แม้ว่าจะได้ขออนุญาตแล้วก็ตาม แต่ศาลมองว่า เป็นพื้นที่ปฏิบัติการของ ครม.ที่ใช้เป็นที่ทำงาน และการเข้าไปพักนอนบริเวณนั้น อาจเป็นการรบกวนผู้โดยสาร ศาลมองว่า เป็นความผิดฐานรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของท่าอากาศยาน จึงลงโทษความผิดฐานบุกรุก เฉพาะจำเลยที่ 1-5 ที่เป็นแกนนำ จำเลยที่ 7-13 และจำเลยที่ 31 ส่วนจำเลยอื่นที่เป็นผู้ไปปราศรัยก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่จะเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าว จึงไม่เป็นความผิด
ขณะเดียวกัน ระหว่างการชุมนุมก็มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยมีการออกข้อกำหนดห้ามเข้าพื้นที่ ห้ามไปชุมนุม ศาลมองว่า การที่จำเลยที่ 1-5 ซึ่งเป็นแกนนำ จำเลยที่ 7-13 และจำเลยที่ 31 เหล่านี้มารวมตัวกันระหว่างที่มีประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ก็เป็นความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ด้วย เป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ดังนั้นจึงลงโทษปรับจำเลยดังกล่าวข้างต้นรายละ 2 หมื่นบาท ส่วนจำเลยอื่นให้ยกฟ้อง
3. ศาล รธน.ฟัน "ศักดิ์สยาม" ซุกหุ้น ต้องพ้น รมต. ด้านเจ้าตัวไขก๊อกเลขาฯ พรรค ภท.-สส. ขณะที่ "น้องเพลง" สละสิทธิไม่รับ สส. ส่งผล "นันทนา สงฆ์ประชา" ขึ้นแทน!
เมื่อวันที่ 17 ม.ค.ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ประชุมเพื่อลงมติ และอ่านคำวินิจฉัยกรณีที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งคำร้องขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ว่า สมาชิกภาพนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา 187 หรือไม่ จากกรณียังคงไว้ซึ่งหุ้นส่วน และเป็นผู้ถือหุ้นและเจ้าของห้างหุ้นส่วน จำกัดบุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น ทำให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหุ้น หรือกิจการของห้างหุ้นส่วน เป็นการกระทำต้องห้าม ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 187 ประกอบ พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี มาตรา 4 (1)
ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า จากข้อพิรุธหลายประการ ประกอบพฤติการณ์แวดล้อมทั้งปวงแห่งคดี ฟังได้ว่า นายศักดิ์สยาม และนายศุภวัฒน์ เกษมสุข (ผู้รับโอนหุ้น หจก.บุรีเจริญฯ) ตกลงนำเงินของนายศักดิ์สยามทำธุรกรรมต่างๆ ในนามนายศุภวัฒน์ ขั้นตอนสุดท้ายนำเงินนั้นซื้อกองทุนต่างๆ ในชื่อนายศุภวัฒน์ แล้วขายกองทุนดังกล่าวชำระค่าหุ้นแก่นายศักดิ์สยาม เช่นนี้เงิน 119.5 ล้านบาท ยังเป็นของนายศักดิ์สยาม จึงยังคงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นใน หจก.บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น โดยมีนายศุภวัฒน์ครอบครองหุ้นของ หจก.บุรีเจริญฯ และดูแล หจก.บุรีเจริญฯ แทนนายศักดิ์สยามมาโดยตลอด
อันเป็นการถือหุ้นของรัฐมนตรีอยู่ในความครอบครอง หรือดูแลของบุคคลอื่น ไม่ว่าโดยทางใดๆ เป็นการกระทำอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ดังนั้น ความเป็นรัฐมนตรีของนายศักดิ์สยามจึงสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา 187 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 1 วินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีนายศักดิ์สยามสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา 82 นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ วันที่ 3 มี.ค.2566
ด้านนายศักดิ์สยามให้สัมภาษณ์หลังฟังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า รอคัดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญฉบับเต็มภายใน 15 วัน ดูว่าศาลจะให้ปฏิบัติอย่างไร เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไร นายศักดิ์สยามตอบว่า ไม่ได้รู้สึกอะไร เราเคารพคำวินิจฉัย เมื่อถามว่า มีผลต่ออนาคตทางการเมืองหรือไม่ เพราะเป็นการถูกตัดสินว่าตั้งนอมินีมาถือหุ้นแทน นายศักดิ์สยามตอบว่า ขอคัดคำวินิจฉัยก่อน
ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวว่า ต้องน้อมรับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ หลังจากนี้จะมีขั้นตอนกระบวนการต่อไป ทั้งเรื่องของการดำรงตำแหน่ง แต่ขอสอบถามรายละเอียดก่อนว่าจะทำอย่างไรต่อไป หากมีผลกระทบ นายศักดิ์สยามคงดำรงตำแหน่งใดๆ ทางการเมืองไม่ได้ และคงไม่กระทบพรรค เพราะเป็นเรื่องบุคคล
เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่าจะส่งผลไปถึงขั้นยุบพรรค นายอนุทินตอบว่า เป็นเรื่องจัดการทรัพย์สินส่วนบุคคล แต่ละคนมีหน้าที่รับผิดชอบแจกแจงทรัพย์สิน หากแจ้งไม่ถูก มีคนมาตรวจสอบก็ต้องแก้ไขให้ได้ หากแก้ไขไม่ได้ก็นำไปสู่การดำเนินคดี การร้องเรียนเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่พรรคยังเป็นพรรคดำเนินกิจกรรมทางการเมืองต่อไป
อย่างไรก็ตาม นายอนุทินให้สัมภาษณ์อีกครั้งในเวลาต่อมาว่า ได้รับหนังสือลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคภูมิใจไทยจากนายศักดิ์สยาม มีผลตั้งแต่วันที่ 17 ม.ค.2567 เป็นต้นไป ซึ่งพรรคจะแจ้งต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายทะเบียนพรรคการเมืองต่อไป และได้รับแจ้งจากนายศักดิ์สยามว่า ได้ทำหนังสือลาออกจากการเป็น สส. ต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่วันที่ 17 ม.ค.2567 เช่นกัน การลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค ภท. และ สส. เป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ แม้ว่าคำพิพากษาจะไม่มีผลต่อตำแหน่งเลขาธิการพรรค และ สส. แต่ยินดีที่จะลาออก
ด้านนายชาดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ได้โทรศัพท์ไปคุยกับนายศักดิ์สยาม ยังสนุกสนานเฮฮา ยืนยันไม่ได้ผิดอะไร แต่เมื่อศาลตัดสินแล้วต้องยอมรับ มีกำลังใจดี เป็นกติกาการเมืองรับได้หรือไม่ก็ต้องรับ แต่ที่สำคัญนายศักดิ์สยามไม่ได้ทุจริต เป็นเรื่องของบริษัทไม่มีอะไรเสียหาย ในอนาคตจะเห็นนายศักดิ์สยามกลับมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีแน่นอน แต่อยู่ที่ตัวท่าน ไปตอบแทนไม่ได้ แต่สมาชิกพรรคทุกคนยังยึดมั่นในตัวนายศักดิ์สยาม มั่นใจไม่มีผลกระทบต่อพรรค เพราะไม่ใช่เรื่องทุจริต ไม่ได้โกง
เมื่อถามว่าจะมีผลต่อการเซ็นรับรองผู้สมัคร สส.ลงเลือกตั้งหรือไม่ นายชาดาตอบว่า ไม่เกี่ยวกัน เพราะเป็นการพิจารณาตำแหน่งรัฐมนตรี คนละเรื่องกฎหมายคนละฉบับ และว่า นายศักดิ์สยามยังเป็นเลขาธิการพรรคได้ พ้น 2 ปี ก็กลับมาเป็นรัฐมนตรีได้ ศาลเริ่มตัดสินตั้งแต่วันที่ 3 มี.ค.2565 เหลืออีกปีกว่าก็กลับมาเป็นรัฐมนตรีได้
ทั้งนี้ หลังจากนายศักดิ์สยาม ลาออก สส.บัญชีรายชื่อ ส่งผลให้ น.ส.ชนม์ทิดา อัศวเหม ผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 5 ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็น สส.บัญชีรายชื่อคนใหม่ อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 19 ม.ค. นายศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนสมาชิกพรรคภูมิใจไทย เผยว่า น.ส.ชนม์ทิดา ได้ส่งหนังสือขอลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ซึ่งพรรคได้แจ้งต่อเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ทำให้ น.ส.ชนม์ทิดา ขาดคุณสมบัติในการเป็น สส.
ด้าน น.ส.ชนม์ทิดา ได้โพสต์ผ่านอินสตาแกรม เผยถึงเหตุผลในการลาออกจากสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ว่า “เพลงขอขอบพระคุณผู้ใหญ่ทุกท่านที่ให้โอกาสเพลงเสมอมา และขอบคุณทุกท่านที่ร่วมแสดงความยินดีล่วงหน้ากับเพลงมา ณ ที่นี้ การตัดสินใจในครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งการตัดสินใจที่สำคัญในชีวิตของเพลง...จากประสบการณ์ที่ เพลงได้มีโอกาสมาทำงานท้องถิ่น เพลงมีความผูกพันกับผู้คน และมีความรักในความเป็นสมุทรปราการ เพลงมีความตั้งใจอยากที่จะเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองในการทำงานดูแลและช่วยแก้ปัญหาให้กับสมุทรปราการจากที่เขียนไว้ในเบื้องต้น
“เพลงจึงตัดสินใจลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย เพื่อไม่รับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ (ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์) เนื่องด้วยข้อจำกัดทางด้านกฎหมายระหว่างการทำงานในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการทำงานการเมืองท้องถิ่น และด้วยหัวใจที่มุ่งมั่นของคุณพ่อ ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม หัวหน้ากลุ่มสมุทรปราการก้าวหน้า เพลงจึงขอเรียนว่า ในวันนี้เพลงเลือกเดินหน้าเคียงข้างคุณแม่ ในฐานะ #กลุ่มสมุทรปราการก้าวหน้า เพื่อทำงานด้วยวิสัยทัศน์ของคนรุ่นใหม่ให้ชาวสมุทรปราการอย่างเต็มที่ต่อไป เพราะสมุทรปราการคือบ้าน”
ทั้งนี้ การลาออกจากสมาชิกพรรคภูมิใจไทยของ น.ส.ชนม์ทิดา ส่งผลให้นางนันทนา สงฆ์ประชา ผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 6 จะได้เลื่อนขึ้นมาเป็น สส.บัญชีรายชื่อแทนนายศักดิ์สยามที่ลาออก
4. สลด! โรงงานผลิตพลุที่สุพรรณฯ ระเบิด ดับทันที 23 ศพ พบเคยระเบิดมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อ พ.ย.65!
เมื่อวันที่ 17 ม.ค. เวลาประมาณ 15.30 น. ได้เกิดเหตุพลุระเบิดในโรงงานผลิตพลุ ซึ่งอยู่ที่หมู่ 3 ต.ศาลาขาว อ.เมืองสุพรรณบุรี สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง เบื้องต้นพบผู้เสียชีวิต 20 ราย ก่อนจะพบเพิ่มเติมเป็น 23 ราย โดยหนึ่งในผู้เสียชีวิต คือ นางแสงเดือน ปรางค์จันทร์ เจ้าของโรงงาน โดยโรงงานแห่งนี้มีคนงานทำงานทั้งหมดประมาณ 30 คน
สำหรับผู้เสียชีวิต ประกอบด้วย 1.นายสมควร แจ้งวีธี อายุ 52 ปี ทำหน้าที่พันลูกบอล 2.นายทวีศักดิ์ ทองสัมฤทธิ์ อายุ อายุ 47 ปี ทำหน้าที่อัดดินปืน 3.นางบุญเกื้อ ทองสัมฤทธิ์ อายุ 45 ปี ทำหน้าที่อัดดินปืน 4.นางพเยาว์ บุญกล่อม อายุ 65 ปี ทำหน้าที่พันลูกบอล 5.นายรุ่งโรจน์ อุ่มน้อย อายุ 49 ปี ทำหน้าที่อัดดินปืน
6.น.ส.พรทิพย์ พันธุ์แดง อายุ 40 ปี ทำหน้าที่พันลูกบอน 7.น.ส.เตือนใจ ยิ้มแย้ม อายุ 55 ปี ทำหน้าที่กรอกดินปืน 8.นายโสพล สวยค้าข้าว อายุ 44 ปี ทำหน้าที่พันลูกบอล 9.นายธงชัย กำเนิดนนท์ อายุ 56 ปี ทำหน้าที่อัดดินปืน 10.นายสมปอง นาคพิทักษ์ อายุ 54 ปี ทำหน้าที่อัดดินปืน 11.นางแสงเดือน ปานจันทร์ อายุ 51 ปี เจ้าของโรงงาน 12.นางมานพ จาดพันธุ์อินทร อายุ 59 ปี ทำหน้าที่อัดดินปืน 13.นางนึก บุญกล่อม อายุ 57 ปี ทำหน้าที่อัดดินปืน 14.น.ส.รัชนี พันธุ์ตัน อายุ 34 ปี ทำหน้าที่อัดดินระเบิด 15.นางสำราญ สายทอง อายุ 52 ปี ทำหน้าที่อัดดินระเบิด
16.น.ส.สุชาดา พันธุ์เผือก อายุ 35 ปี ทำหน้าที่อัดดินปืน 17.นายวิชาญ บุญศรีวงษ์ อายุ 40 ปี ทำหน้าที่พันลูกบอล 18.นางสุณี ขวัญอ่อน อายุ 53 ปี ทำหน้าที่กรอกดินปืน 19.นางรำไพ สวยค้าข้าว อายุ 38 ปี ทำหน้าที่พันลูกบอล
20.น.ส.ภัสสร เล็กพอใจ อายุ 38 ปี ทำหน้าที่อัดดินปืน 21.นายธนกร วัชระพิมลมิตร อายุ 31 ปี ลูกเจ้าของโรงงาน 22.น.ส.น้ำฝน เกิดนอก อายุ 28 ปี ทำหน้าที่อัดดินปืน 23.น.ส.วรัญญา ศรีเหรา อายุ 18 ปี ทำหน้าที่อัดดินปืน
ด้านนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ได้ลงพื้นที่จุดเกิดเหตุพลุระเบิดเมื่อวันที่ 18 ม.ค.ก่อนให้สัมภาษณ์ว่า นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ตนลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบในทุกด้าน โดยเบื้องต้นครอบครัวผู้เสียชีวิต จะได้รับเงินเยียวยาประมาณรายละ 300,000 บาท และว่า วันที่ 19 ม.ค.ตนมีประชุมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือเกี่ยวกับเหตุที่เกิดขึ้นทุกประเด็น รวมถึงการบูรณาการในการแก้ปัญหาไม่ให้เกิดเหตุระเบิดซ้ำอีก พร้อมทั้งจะหารือถึงการแก้ไขกฎระเบียบต่างๆ โดยข้อสรุปจากที่ประชุม จะนำเสนอนายกรัฐมนตรี ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันอังคารที่ 23 ม.ค. เพราะเรื่องนี้นายกฯ ได้มีความห่วงใยเป็นพิเศษ
ส่วนสาเหตุที่เกิดครั้งนี้ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ได้รับรายงานว่าโรงงานพลุมีวัตถุระเบิด คือดินปืน ที่เป็นตัวจุดระเบิด แต่สิ่งที่ทำให้ประชาชนบาดเจ็บ เสียชีวิต เป็นเพราะตัวเร่ง คือ โพรเทสเซียมคลอเลต (KClo3) ที่เป็นสารแคตตาไลท์ ซึ่งเมื่อมีดินปืนระเบิด ทำให้เกิดการสันดาป จึงเกิดแรงระเบิดและแรงอัด ที่ทำให้ผู้อยู่ในบริเวณเสียชีวิตอย่างกะทันหัน เป็นความสูญเสียที่เกิดขึ้นทุกปี ดังนั้นจากนี้ต้องมีการแก้ปัญหา
นายสมศักดิ์ กล่าวด้วยว่า จากการตรวจสอบพบว่า โรงงานมีการขอใบอนุญาตการให้ทำและค้าดอกไม้เพลิงถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงกระทรวงกลาโหม ได้ตรวจสอบการสั่งซื้อสารเคมีประกอบวัตถุระเบิด พบว่า ปฏิบัติตามกฎหมายถูกต้อง ส่วนกระทรวงอุตสาหกรรม ตรวจสอบพบว่า สถานที่เก็บพลุแห่งนี้ ไม่ได้ขออนุญาตเป็นโรงงาน จึงทำให้ไม่มีการตรวจสอบวัตถุอันตราย ตนจึงมองว่า ตรงนี้เป็นจุดอ่อน เพราะทำให้ไม่มีการตรวจสอบ ส่วนผลกระทบจากนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบบริเวณที่อาจเกิดสารเคมีแล้ว
ขณะที่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ลงพื้นที่เช่นกัน พร้อมกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งให้เร่งคลี่คลายสถานการณ์ ช่วยเหลือประชาชนบริเวณที่เกิดเหตุและโดยรอบ ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ตรวจสอบโรงงานดังกล่าวว่า ดำเนินการถูกกฎหมายหรือไม่ และเหตุระเบิดเกิดจากความประมาทหรือไม่ ต้องดำเนินการตามกฎหมายถึงที่สุด
ทั้งนี้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ได้แสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต พร้อมสั่งการให้ตำรวจภูธรจังหวัดสุพรรณบุรี และตำรวจพื้นที่ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ และเร่งตรวจสอบกรณีดังกล่าวโดยด่วนในทุกมิติ เพราะทราบว่า โรงงานแห่งนี้เคยเกิดระเบิดไฟลุกไหม้มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อเดือน พ.ย. 2565 มีคนงานถูกไฟคลอกเสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บสาหัส 3 ราย ก่อนจะกลับมาเปิดทำการผลิตพลุอีกและเกิดเหตุระเบิดขึ้นในครั้งนี้ ซึ่งหากพบมีการกระทำผิด จะดำเนินคดีตามกฎหมายทุกราย
5. กกต.แจกใบแดง "เกศกานดา" ผู้สมัคร สส.ปชป.ซื้อเสียงแลกคะแนนเพิ่ม พร้อมแจกใบแดง "สมชาย" ผู้สมัคร สส.ภท.ปราศรัยสัญญาได้เป็น สส. มีงบพา อสม.เที่ยวกาญจน์!
เมื่อวันที่ 17 ม.ค. เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้เผยแพร่คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่มีมติให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง พร้อมดำเนินคดีอาญา น.ส.เกศกานดา อินช่วย ผู้สมัคร สส.กทม.เขต 16 พรรคประชาธิปัตย์ เพิ่มเติมอีกหนึ่งคดี โดยเป็นกรณีที่ กกต.ได้ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนว่า ก่อนประกาศผลการเลือกตั้ง สส. วันที่ 2 พ.ค.2566 เวลากลางวัน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งแจ้งให้ผู้ร้องทราบว่า นายสถาพร ไกรถวิล ผู้ถูกร้องที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ช่วยหาเสียงของ น.ส.เกศกานดา ผู้ถูกร้องที่ 1 โทรศัพท์ติดต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนดังกล่าวนัดหมายให้ น.ส.เกศกานดา มาพบที่บ้านพักของผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนดังกล่าวในช่วงเวลาค่ำของวันเดียวกัน เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้ง
ต่อมาเวลาประมาณ 18.10 น.ของวันเดียวกัน นายสถาพรไปที่บ้านของผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนดังกล่าว ขอให้ช่วยหาเสียงเลือกตั้งให้แก่ น.ส.เกศกานดา เนื่องจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนดังกล่าวเป็นประธานหมู่บ้านวงศกร 5 และเป็นตัวแทนหรือหัวคะแนนของผู้สมัครรับเลือกตั้งคนอื่นในพื้นที่
จากนั้นเวลาประมาณ 18.30 น. น.ส.เกศกานดา, นายฐนวัฒน์ ภูมี ผู้ถูกร้องที่ 3 และพยานผู้ถูกร้อง เดินทางมาถึงบ้านผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนดังกล่าว ผู้ถูกร้องทั้งสามพูดคุยกับผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนดังกล่าว ในทำนองขอให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนดังกล่าวแบ่งคะแนนเสียงของหมู่บ้านวงศกร 5 ให้แก่ น.ส.เกศกานดา
ซึ่งบทสนทนาช่วงหนึ่ง น.ส.เกศกานดา พูดว่า “เกศก็พอรู้ว่าพี่สถาพรโทร.มาคุยกับพี่เรื่อยๆ วันนี้เลยอยากมาหาพี่ เกศอยากจะขอโอกาส เพราะว่าแนวโน้มที่โพลออกมา เกศก็มีโอกาส แต่เกศตามอยู่นิดหนึ่ง แต่ของคุณบอนคะแนน มันไม่ขึ้นเลย ไม่ติด 1 ใน 3 หรือ 1 ใน 4 เลยด้วยซ้ำ เกศเลยว่าในเมื่อเกศเป็นคนแพ้ เกศหาคะแนนเพิ่มอยู่แล้ว ดังนั้น เกศอยากจะขอคะแนนที่ไปให้คุณบอน ขอถ่ายมาเป็นฝั่งเกศ เพราะว่าเกศมีโอกาสมากกว่า ไม่อย่างนั้น ก็เสียของ เกศก็ไม่อยากให้คะแนนมันหายไปเลย เกศแพ้มาก่อน เกศหาคะแนนเพิ่มอย่างเดียว เอาทุกวิถีทาง อย่างที่พี่โตบอก เอาทุกวิถีทาง” โดยคำว่าพี่โต หมายถึง นายฐนวัฒน์ และบอนหมายถึงผู้สมัครรับเลือกตั้งคนหนึ่ง ซึ่งนายฐนวัฒน์ พูดว่า “ตอนนี้โพลติด 1 ใน 3 มีเบอร์ 4 เบอร์ 14 เบอร์ 11 แต่เบอร์ 5 มีประปราย ไม่ติด 1 ใน 4 ถ้ามันพอพลิกเกมได้ก็อยากจะพลิก เพราะว่าพี่ดันทางพี่บอนใช่ไหมมันก็ไม่ขึ้นอยู่ดี เพราะเปอร์เซ็นต์มันไม่ขึ้นเลยนะ เผื่อว่าพี่มาช่วยเกศ...”
ประกอบกับจากการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด ปรากฏภาพ น.ส.เกศกานดา นำธนบัตรจำนวนหนึ่งวางบนโต๊ะ แล้วนำโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนดังกล่าววางทับเอาไว้ พร้อมกับพูดว่า “อันนี้เกศฝาก ฝากวางไว้ก่อน เกศไม่สร้างความลำบากใจ เกศเข้าใจ แต่ถ้าทอนตรงไหนมาได้ก็ทอนมาให้เกศหน่อย ด้วยของตัวพรรค บอนเองอ่ะคนในพื้นที่เขาก็ไม่ได้ชอบเยอะ เกศก็เลยหนีไปอยู่ประชาธิปัตย์ไง ยังไงให้เกศมีคะแนนบ้างล่ะ”
ขณะผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนดังกล่าวหยิบวัตถุดังกล่าวขึ้นมาจากโต๊ะนำมาใส่กระเป๋ากางเกง และล้วงออกจากกระเป๋ากางเกงนำมาใส่ถุงพลาสติกใสและเก็บวัตถุดังกล่าวไว้ในตู้ น่าเชื่อได้ว่า วัตถุดังกล่าวเป็นธนบัตรที่อยู่ในลักษณะพับครึ่งจำนวนหนึ่ง ไม่ใช่เอกสารหาเสียงเลือกตั้งตามที่ผู้ถูกร้องทั้งสามกล่าวอ้าง อีกทั้งจากการตรวจสอบการสนทนาทางแอปพลิเคชันไลน์ ระหว่างผู้ร้องกับผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนดังกล่าว เมื่อวันที่ 5 วันที่ 7 และวันที่ 12 พ.ค. 66 หลังจากที่ น.ส.เกศกานดา ให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนดังกล่าวแล้ว ผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนดังกล่าวประสงค์จะขอคืนเงินบางส่วนให้นายสถาพร เนื่องจากเพิ่งแจกเงินไปหนึ่งหมื่นกว่าบาท
กรณีจึงปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า น.ส.เกศกานดา กระทำการและก่อการสนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้นายสถาพร และนายฐนวัฒน์ ให้เงินดังกล่าวแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเอง ซึ่งเป็นการทุจริตการเลือกตั้ง อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 มาตรา 73(1) ประกอบมาตรา 138 วรรคหนึ่ง เป็นเหตุให้ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร เขตเลือกตั้งที่ 16 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ น.ส.เกศกานดา มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
จึงมีคำสั่งให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของ น.ส.เกศกานดา อินช่วย ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 มาตรา 73(1) ประกอบมาตรา 138 วรรคหนึ่ง และให้ดำเนินคดีอาญา แก่ น.ส.เกศกานดา นายสถาพร และนายฐนวัฒน์ ตามกฎหมายเดียวกัน รวมทั้งให้กันผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนดังกล่าวไว้เป็นพยานโดยไม่ดำเนินคดีตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง 2560 มาตรา 46 ประกอบระเบียบ กกต.ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการกันบุคคลไว้เป็นพยานโดยไม่ดำเนินคดี พ.ศ. 2563 ข้อ 5 และข้อ 6
นอกจากให้ใบแดง น.ส.เกศกานดา ผู้สมัคร สส.พรรคประชาธิปัตย์แล้ว กกต.ยังมีมติส่งเรื่องให้ศาลฎีกาสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายสมชาย ภิญโญ ผู้สมัคร สส.นครราชสีมา เขต 6 พรรคภูมิใจไทย ด้วย ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่งประกอบมาตรา 138 วรรคหนึ่ง และให้ดำเนินคดีอาญา ตาม 141 ประกอบมาตรา 158 ของกฎหมายเดียวกัน
เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวนฟังได้ว่า วันที่ 7 เม.ย.66 เวลากลางวัน นายสมชาย ผู้ถูกร้อง ได้จัดเวทีปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งที่ศาลาประชาคม บ้านหนองตาด หมู่ที่ 2 ต.หนองตาดใหญ่ อ.สีดา จ.นครราชสีมา โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ ซึ่งนายสมชายได้ปราศรัยด้วยถ้อยคำว่า “เดี๋ยวผมได้เป็น สส. มีงบไปเพิ่มงาน จะพา อสม.ไปล่องแพกาญ ร้องเพลง” ตามที่ปรากฏในคลิปบันทึกเสียงประกอบคำร้อง ซึ่งเห็นว่า ถ้อยคำดังกล่าวมีความหมายทำนองว่า เมื่อนายสมชายได้เป็น สส. จะมีงบประมาณศึกษาดูงาน จะพาอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านไปล่องแพและร้องเพลงที่ จ.กาญจนบุรี
แม้นายสมชายจะอ้างว่า ถ้อยคำดังกล่าวหมายถึงหากมีงบประมาณจากกองทุนพัฒนาการท่องเที่ยวที่เป็นนโยบายของพรรคภูมิใจไทย และเป็นงบประมาณจากทางรัฐบาล จะนำงบประมาณดังกล่าวมาช่วยส่งเสริมสนับสนุนให้คนในชุมชนได้ไปเพิ่มพูนความรู้ และพัฒนาศักยภาพ โดยนำความรู้ที่ได้กลับมาพัฒนาชุมชนของตนเอง แต่เหตุผลดังกล่าวไม่สอดคล้องกับนโยบายของพรรคภูมิใจไทยที่ว่า ชุมชนดี แหล่งท่องเที่ยวดีและผู้ประกอบการดีด้วยกองทุนพัฒนาการท่องเที่ยว ซึ่งนโยบายดังกล่าวของพรรคภูมิใจไทยมีลักษณะเป็นการสนับสนุนชุมชน โดยให้แต่ละจังหวัดปรับปรุงและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว รวมทั้งการพัฒนาศักยภาพชุมชนในจังหวัดของตนเอง มิใช่การนำงบประมาณดังกล่าวมาใช้เพื่อนำอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านและประชาชนในชุมชนไปศึกษาดูงานที่จังหวัดอื่น อีกทั้งถ้อยคำว่า “จะพา อสม. ไปล่องแพกาญ ร้องเพลง" มิใช่การส่งเสริมศักยภาพงานในหน้าที่ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน
แสดงให้เห็นถึงเจตนาที่ไม่สุจริตของนายสมชายในการปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งดังกล่าว กรณีจึงปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า การปราศรัยหาเสียงของนายสมชายดังกล่าว ซึ่งเป็นการสัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเอง ซึ่งเป็นการทุจริตการเลือกตั้ง อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.2561 มาตรา 73 (1) ประกอบ มาตรา 138 วรรคหนึ่ง เป็นเหตุให้ผลการเลือกตั้ง สส.นครราชสีมา เขตเลือกตั้งที่ 6 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนายสมชายมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม