xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 31 ธ.ค.2566-6 ม.ค.2567

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1."ทวี" ชู "ทักษิณ" นักสร้างสันติภาพ แม้ไม่เห็นด้วยยึดอำนาจ ยังกลับมาเพื่อบ้านเมืองสันติสุข ชี้ การอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมไปไหนไม่ได้ ก็เสียอิสรภาพแล้ว!

เมื่อวันที่ 3 ม.ค. พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวาระการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 หลังนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายงบประมาณของกรมราชทัณฑ์ โดยตั้งคำถามถึงการเข้าคุกทิพย์กว่า 120 วันของนักโทษบางคนว่า ต้องเข้าใจตรงกันว่า การเป็นรัฐบาลต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและหลักนิติธรรม และรัฐธรรมนูญยังเขียนไว้ในมาตรา 53 ว่า รัฐต้องปฏิบัติตามและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ปี 2560 เกิดขึ้นก่อนจะมีรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งมีเนื้อหาสาระสำคัญที่ต่างไปจากเดิมคือ กฎหมายเดิมไม่สามารถจัดการหรือบริหารนักโทษ ผู้ต้องขังเฉพาะรายหรือเฉพาะคดีได้อย่างเหมาะสม เนื่องจากไม่มีบทบัญญัติให้ดำเนินการ และไม่สามารถที่จะใช้สถานที่ควบคุมหรือที่คุมขังประเภทอื่น รวมถึงยังไม่สามารถนำระบบพัฒนาพฤตินิสัยมาบริหารกับนักโทษหรือผู้ต้องขังหรือผู้ต้องราชทัณฑ์ได้ จึงต้องแก้กฎหมายฉบับนี้

“เราถูกตราหน้าว่า เราสอบตกหลักนิติธรรมทางอาญา ราชทัณฑ์ไทยจากคะแนนเต็ม 1 เราได้ 0.25 ในจำนวนทั้งหมด 44 รายการ เพราะมีจำนวนผู้ต้องขังล้นเรือนจำและไม่สามารถฟื้นฟูหรือแยกการขังได้ การที่นายจุรินทร์ (ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ปชป.) บอกไม่เห็นด้วย ผมไม่ทราบว่าเราอยู่ประเทศเดียวกันหรือไม่ เพราะถ้าเราอยู่ในรัฐธรรมนูญเดียวกัน เราต้องธำรงไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด และรัฐต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด”

พ.ต.อ.ทวี ยืนยันว่า การออกระเบียบกรมราชทัณฑ์ใหม่ไม่เกี่ยวกับนายกรัฐมนตรีเลย เพราะกฎหมายฉบับนี้ให้ความสำคัญกับคณะกรรมการราชทัณฑ์ ซึ่งมี 17 คน โดยใน 17 คนมีเพียง 3 คนที่เป็นคนของกระทรวงยุติธรรม และตนเป็น 1 ในคณะกรรมการชุดดังกล่าว และว่า กฎกระทรวงออกมาตั้งแต่ปี 63 แต่ระเบียบยังไม่ออก วันนี้เมื่อนายกฯ และ ครม. ประกาศว่า รัฐบาลจะสร้างความชอบธรรมในการบริหารราชการแผ่นดินด้วยการฟื้นฟูหลักนิติธรรม ให้มีความโปร่งใส เป็นที่ยอมรับของนานาชาติ แต่หากเราไม่แก้ปัญหาราชทัณฑ์ หรือกลัว โดยไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ตนคิดว่า เราเป็นผู้ทำลายหลักนิติธรรม

ส่วนที่บอกว่าราชทัณฑ์เลือกปฏิบัติกับบางคนหรือไม่นั้น พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ในกฎหมายฉบับนี้ระบุว่า ราชทัณฑ์ไม่ใช่สถานที่ฆ่าหรือทรมานคน หากใครเจ็บป่วยก็ต้องไปรักษา และการไปรักษาก็ไม่ใช่เพียงแค่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพียงคนเดียว แต่มีคนจำนวนมากไปรักษา และท่านก็เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

”ผมมองว่า ท่านทักษิณเป็นนักสร้างสันติภาพ แม้ก่อนหน้านี้ท่านจะมองว่าไม่เห็นด้วยกับการยึดอำนาจ แต่วันนี้หากอยากให้บ้านเมืองมีสันติภาพ สันติสุข มีความปรองดอง ท่านก็กลับเข้ามาสู่กระบวนการยุติธรรม การป่วยของท่านก็เกิดก่อนที่รัฐบาลชุดนี้จะเข้ามาและไปรักษา เมื่อมีผู้ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลซึ่งเกี่ยวข้องกับเรือนจำ กฎหมายฉบับนี้ซึ่งให้ความสำคัญกับแพทย์สูงสุดก็เขียนไว้ว่า ที่นั่นคือเรือนจำ การอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่ไปไหนไม่ได้ ก็คือ การเสียอิสรภาพแล้ว”

ส่วนที่มีหลายคนสงสัยว่านายทักษิณป่วยจริงหรือไม่ ตนเป็นรัฐมนตรี แม้ไม่เคยไปเยี่ยม แต่ก็ถามแพทย์อยู่ตลอด เพราะต้องรับผิดชอบ ซึ่งแพทย์ยืนยันว่าป่วยจริง มีอาการเยอะ ส่วนการพักรักษาตัวเกินกว่า 120 วัน ก็ต้องให้อธิบดีกรมราชทัณฑ์เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบกับแพทย์ผู้รักษา และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สังคมตรวจสอบ ซึ่งอธิบดีกรมราชทัณฑ์ก็ได้ตรวจสอบและกำลังจะส่งเรื่องมาที่ตนเพื่อให้สังคมได้รับรู้

พ.ต.อ.ทวี กล่าวอีกว่า สำหรับนายทักษิณนั้น คนอาจจะมีความรู้สึกที่แตกต่างกัน แต่ถ้าเรายึดกฎหมายเป็นหลัก ในทางการแพทย์ก็มีแพทย์หลายคนบอกว่าท่านป่วยจริง ซึ่งไม่ได้มีการตรวจสอบแค่สมาชิกในสภาเท่านั้น แต่มีการตรวจสอบจากองค์กรตามรัฐธรรมนูญอีกด้วย ทั้งนี้ ตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่นายกรัฐมนตรีอยากให้ยกระดับความเข้มแข็งของหลักนิติธรรม ตนจะไม่ทำอะไรที่นอกกฎหมาย และจะเข้มแข็ง แม้ใครจะเป็นผู้ทรงอิทธิพลหากมาทำการฝ่าฝืนกฎหมาย ทำผิด จะต้องถูกดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา

วันต่อมา (4 ม.ค.67) นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.)ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีที่ พ.ต.อ.ทวี ชูนายทักษิณ เป็นผู้สร้างสันติภาพว่า “สันติภาพหรือสงคราม ความวุ่นวายทางการเมืองครั้งใหญ่ๆ มาจากการคอรัปชั่นของ ทักษิณ ชินวัตร และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทำให้คนออกมาต้านและคนออกมาหนุน ทักษิณคือตัวทำให้เกิดความแตกแยกไม่ใช่ผู้สร้างสันติภาพ

"นช.ทักษิณ ชินวัตร ยอมรับโทษ สำนึกโทษ ต่อพระมหากษัตริย์ในการขออภัยโทษไปแล้ว การที่ รมต.ทวี สอดส่ง บอกว่า นช.ทักษิณ ชินวัตร คือผู้สร้างสันติภาพ มันเท่ากับการันตีนักโทษและยอมรับว่า รัฐบาลไทยอุ้มนักโทษและมอบอภิสิทธิ์ให้ นช.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งที่ นช.ทักษิณ ยอมรับผิดแล้ว

"การนอนในห้องสี่เหลี่ยมก็เท่ากับเสียอิสรภาพแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมไม่พา นช.ทักษิณ ชินวัตร กลับเรือนจำไปเลย เพราะที่นั่นก็ห้องสี่เหลี่ยมควบคุมเช่นกัน ที่สำคัญกลับเรือนจำ ความยุติธรรม จะได้คืนมาเสียที จะมานอนห้องสี่เหลี่ยม รพ.ตำรวจ เพื่อทำลายกระบวนการยุติธรรมอยู่ทำไม

"จากอดีตสร้างความวุ่นวาย วันนี้ นช.ทักษิณ ขนาดเป็นผู้ต้องขังเด็ดขาด ก็ยังสร้างปมขัดแย้งในประเทศไทยขึ้นมาอีกครั้ง สันติภาพตรงไหนครับ ทวี สอดส่อง สันติภาพเพราะคุณได้อำนาจใช่ไหม อำนาจทำให้ความจริงเปลี่ยน และเปลี่ยนความจริงได้ การเอาอำนาจรัฐไปอุ้ม คนที่โดนคดี คอรัปชั่น ระวังอนาคตมันจะไม่เกิดเสรีภาพอย่างที่ต้องการ”

ขณะเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก วรงค์ เดชกิจวิกรม-Warong Dechgitvigrom ของ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า “#ไม่เห็นด้วยกับคำตอบรัฐมนตรียุติธรรม ผมได้ฟังคำแถลงเรื่องนักโทษชาย ของนายทวี รัฐมนตรียุติธรรม ในการประชุมสภาเรื่องงบประมาณ มีแง่มุมที่ไม่เห็นด้วยคือ

1.นายทวี รัฐมนตรียุติธรรม พยายามอ้างว่า พ.ร.บ.กรมราชทัณฑ์ออกมาตั้งแต่ปี 2560 กฎกระทรวงก็ออกมาก่อนคือปี2563 ฉะนั้น การที่เราออกระเบียบกรมราชทัณฑ์ใหม่ไม่เกี่ยวกับนายกเศรษฐาเลย สิ่งที่ต้องถามกลับนั่นคือ การที่ท่านปล่อยให้กรมราชทัณฑ์ ออกระเบียบแล้วมีอำนาจเหนือคำพิพากษา โดยอ้างอิงกฎกระทรวงและพ.ร.บ.ราชทัณฑ์ โดยสามารถเปลี่ยนคำพิพากษาจากจำคุกให้ไปอยู่บ้านได้ ท่านคิดว่านี่คือหลักนิติธรรมตามรัฐธรรมนูญหรือ หรือพวกท่านกำลังเล่นแร่แปรธาตุกฎหมาย

2.แม้นายทวีจะมองว่า นายทักษิณเป็นนักสร้างสันติภาพ โดยอ้างว่า ก่อนหน้านี้นายทักษิณ จะมองว่า ไม่เห็นด้วยกับการยึดอำนาจ อยากให้บ้านเมืองมีสันติภาพ แต่นายทวีต้องไม่ลืมว่า นายทักษิณคือนักการเมืองโกง ถูกศาลตัดสินจำคุกในหลายคดี ที่สำคัญ ในราชกิจจาฯ ที่มีการพระราชทานอภัยลดโทษ นายทักษิณก็เคารพในกระบวนการยุติธรรม ยอมรับผิดในการกระทำ มีความสำนึกในความผิด จึงขอรับโทษตามคำพิพากษา ดังนั้นเขาจึงเป็นนักโทษคดีโกง ไม่ใช่นักสร้างสันติภาพ

3.รมว.ยุติธรรมกล่าวด้วยว่า ที่มีหลายคนสงสัยว่านายทักษิณป่วยจริงหรือไม่ ซึ่งแพทย์ยืนยันว่าป่วยจริง ไม่ได้มีการตรวจสอบแค่สมาชิกในสภาเท่านั้น แต่มีการตรวจสอบจากองค์กรตามรัฐธรรมนูญอีก ปัญหาของนักโทษชาย ไม่ใช่แค่อ้างว่าป่วยจริง แต่ต้องยืนยันว่าป่วยหนัก จน รพ.ราชทัณฑ์รักษาไม่ได้ และมีน้ำหนักทางการแพทย์ว่าต้องรักษาต่อเนื่อง อาการปางตาย

ในเมื่อวันนี้ประชาชนไม่เชื่อถือในคำพูดของพวกท่าน เพราะสิ่งที่ชี้แจงมาตลอดในช่วง 4 เดือนกว่า มันขัดความรู้สึกประชาชน อย่ามองว่าประชาชนไม่รู้หรือโง่ พวกท่านต้องแถลงพร้อมเอาหลักฐาน เช่น ใบรับรองความเห็นแพทย์ หรือหลักฐานที่ประชาชนสนใจ แค่นี้ก็จบ อย่าลืมว่า ประเทศนี้เป็นของประชาชน เงินที่ใช้ก็ของประชาชน”

ล่าสุด (6 ม.ค.) พ.ต.อ.ทวี เผยอีกครั้งถึงกรณีที่นายทักษิณพักรักษาตัวอยู่ที่ รพ.ตำรวจเกินกว่า 120 วันว่า แพทย์ได้รายงานผลการรักษามาให้อธิบดีกรมราชทัณฑ์แล้ว และอยู่ในกระบวนการของอธิบดีกรมราชทัณฑ์เรียกประชุมคณะทำงานที่เป็นแพทย์ของกรมราชทัณฑ์ร่วมด้วย เพื่อร่วมกันยืนยันผลการรักษา และจากนั้นจึงจะรายงานมาให้ตัวเองทราบอีกครั้งในวันทำการ ส่วนผลการรักษาหรือรายละเอียดอาการป่วยของนายทักษิณ ไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะมีกฎหมายคุ้มครองอยู่ แต่สามารถให้ข้อมูลเป็นภาพกว้างได้ เนื่องจากเป็นกรณีที่ประชาชนให้ความสนใจ

ส่วนในวันที่ 13 ม.ค.นี้ ที่นายชัยชนะ เดชเดโช ประธานกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร เตรียมจะเดินทางเข้าเยี่ยมนายทักษิณที่ รพ.ตำรวจนั้น พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการยื่นหนังสือเข้ามาแต่อย่างใด แต่เรื่องการขอเข้าเยี่ยมนักโทษ ทางกรมราชทัณฑ์มีกฎระเบียบที่ชัดเจนอยู่แล้ว


2.งบ 67 ผ่านสภาฉลุยด้วยมติ 311 : 177 "จุรินทร์" ให้ฉายา "งบเป็ดง่อย" ออกล่าช้า มัวแต่ตั้ง รบ.เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด ด้านพรรคร่วมฝ่ายค้านรับไม่ได้ ชี้ งบไม่ตรงปก-สอดไส้!


เมื่อวันที่ 3-5 ม.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท โดยวันแรก นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า งบประมาณฉบับนี้ ถือเป็นงบประมาณฉบับแรกของรัฐบาลชุดนี้ เกิดจากการเอางบประมาณ ปี 66 ซึ่งเป็นของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ มารื้อทำใหม่หมด ส่งผลให้ปฏิทินงบปีนี้ล่าช้าไปกว่า 9 เดือน เนื่องจากใช้เวลาไปตั้งรัฐบาล “เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด” อยู่หลายเดือน แต่หลัง ครม.มีมติให้รื้องบประมาณดังกล่าว ก็ใช้เวลาอีกหลายเดือนเช่นเดียวกันกว่าจะกลับเข้าสู่สภาได้

ทำให้งบประมาณฉบับนี้ต้องไปบังคับใช้ประมาณเดือน พ.ค.จึงส่งผลให้งบประมาณฉบับนี้ เป็นงบฯ ฉบับ “เป็ดง่อย” เพราะงบประมาณทั้งสิ้น 3.48 ล้านล้านบาท รัฐบาลมีเวลาใช้เงินแค่ 5 เดือน จากปกติ 12 เดือน เท่ากับว่า มีเวลาใช้เงินแค่ 40 เปอร์เซ็นต์ และที่สำคัญ คือ ประสิทธิภาพของการใช้เงิน เรื่องของใช้เงินงบลงทุนที่เป็นหัวใจสำคัญของการกระตุ้นเศรษฐกิจ มีเพียง 70 เปอร์เซ็นต์ แต่มีเวลาใช้เพียง 5 เดือน สุดท้ายก็จะเป็นงบ “เป็ดง่อย” ไม่สามารถนำไปใช้กระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้เต็มร้อย

นายจุรินทร์ กล่าวด้วยว่า งบประมาณฉบับนี้ กลายเป็น เรื่องคิดใหญ่ ทำเป็น แล้วก็กลับมาเป็น คิดกู้ ทำกู้ เพราะว่า งบประมาณ ปี 67 ของรัฐบาลที่แล้วทำไปผ่าน ครม. แล้วด้วยซ้ำ กู้ 5.93 แสนล้าน แต่พอมารัฐบาลนี้เอาไปรื้อกลับมาใหม่ กลายเป็นกู้เพิ่มอีกแสนล้านบาท เป็น 6.93 แสนล้าน

“พวกท่านเคยวิจารณ์รัฐบาลที่แล้วว่าเป็นนักกู้แห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา เที่ยวนี้ผมว่ากลายเป็น “นักกู้ถุงเท้าสีชมพู” ท่านกู้เพิ่มขึ้นแสนล้าน ขอถามว่าเอาไปทำอะไรครับ ไปแบ่งเค้กกันยังไง เสียเวลาไปทำ 3-4 เดือน เฉพาะช่วงปี 67 รัฐบาลมีแผนกู้เงินไม่น้อยกว่า 1.35 ล้านล้านบาท ปรากฏที่อยู่ในงบประมาณ กู้ชดเชยขาดดุลงบ 67 และอื่นๆ 7.93 แสนล้าน แล้วก็จะกู้ดิจิทัล วอลเล็ต อีก 5 แสนล้าน โดยจะทำในเดือน พ.ค. มันต้องอยู่ในแผนนี้แน่นอน ถ้าสำเร็จ และต้องให้ ธกส. สำรองจ่ายเงินไปก่อนแล้วรัฐบาลตามมาใช้หนี้ทีหลัง...

"รัฐบาลนี้จะกู้ 1,347,753 ล้านบาท ก็คือ 1.35 ล้านล้าน นี่ยังไม่รวมดอก คือดอกเบี้ย ปัญหาที่จะตามมาคือรัฐบาลจะต้องใช้ตั้งงบประมาณใช้หนี้นี้ในปีต่อ ๆ ไป ทำให้ศักยภาพในการที่จะมีพื้นที่การคลังเหลือในการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศมันก็จะลดน้อยลง แล้วศักยภาพในการใช้หนี้ของรัฐบาลนี้ไปดูใน พ.ร.บ.งบประมาณเล่มนี้ ตั้งงบใช้หนี้เฉพาะเงินต้นอย่างเดียว ไม่พูดถึงดอกเบี้ย 1.18 แสนล้าน หรือเกือบ 1.2 แสนล้านบาท แต่หนี้ที่จะก่อ 1.35 ล้านล้านบาท ถ้ารัฐบาลใช้หนี้ตามศักยภาพนี้ เงินกู้ 1.35 ล้านล้านบาท หารด้วย 1.2 แสนล้านบาทต่อปี ต้องใช้เวลา 11 ปี ถึงจะแก้ปัญหาหนี้ที่ก่อขึ้นได้ สุดท้ายมันคือการสร้างหนี้ไว้ให้กับคนไทยทั้งประเทศ

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ถามนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ในวันต่อมาถึงการอภิปรายงบประมาณที่มีการใช้วาทกรรมตั้งฉายาให้เป็นงบฯ เป็ดง่อย รู้สึกอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนดูเป็นสองมิติ ซึ่งมิติแรกเรื่องของวาทกรรมกับเรื่องของเจตนารมณ์ ตนเชื่อว่า เจตนารมณ์ของผู้อภิปราย อยากให้เราไปปรับปรุงแก้ไขในวาระ 2 และวาระ 3

“ส่วนเรื่อง(ฉายางบ)เป็ดง่อย ก็ไม่แน่ใจว่ากลอนพาไปหรือเปล่า แต่ผมมั่นใจว่าถ้าท่าน(นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์) พูดถึงกระทรวงพาณิชย์ที่ท่านเคยดูแลอยู่ ผมมั่นใจว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ในระยะเวลา 1 ปี ทำได้มากกว่าท่านทำมา 4 ปี..."

ด้านนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.พรรคก้าวไกล ซึ่งรับหน้าที่อภิปรายสรุปวาระพิจารณาร่างงบ
ประมาณ 2657 ในวันสุดท้าย ระบุว่า การจัดทำงบประมาณครั้งนี้เป็น “วิกฤตงบไม่ตรงปก ไม่ว่าจิ้มไปตรงไหนก็เจอแต่งบไม่ตรงปกทุกเรื่อง” พร้อมเสนอทางออก “5 ก้าว” เพื่อให้รัฐบาลนำไปปรับใช้

ได้แก่ ปฏิรูปจัดทำงบประมาณให้โปร่งใสให้ประชาชนมีส่วนร่วม, ปฏิรูปกระบวนการอนุมัติงบประมาณในสภา ให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ มากกว่าจัดตามผู้รับเหมาที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับโครงการต่างๆ, งบปี 68 เน้นมาตรการเชิงนโยบาย เพื่อเป็นกลไกให้นายกฯ สามารถขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ได้ตามปกติ, งบประมาณฐานศูนย์ สามารถทำได้เมื่อผ่านไปครึ่งเทอมของรัฐบาล รื้อระบบจัดทำงบประมาณใหม่ จัดงบประมาณด้วยการเทกระเป๋าใหม่ทุกปี เพื่อให้งบประมาณตรงตามวิกฤตและสถานการณ์ของประเทศมากที่สุด และจัดสรรงบประมาณเพื่อมุ่งการเอาภารกิจนำ สามารถทำได้ภายใน 4 ปี เพื่อตอบโจทย์วิกฤต และความท้าทายต่างๆ ของประเทศ แต่นายกฯ จะทำข้อสุดท้ายนี้ไม่ได้ถ้าไม่ทำตามทั้ง 4 ข้อก่อน

นายณัฐพงษ์ กล่าวด้วยว่า “เวทีครั้งนี้ไม่ใช่เวทีที่พวกผมจะทำลายล้างรัฐบาล แต่เป็นเวทีซ้อมมือเพื่อเอาชนะท่าน พวกเราจะเอาชนะท่านด้วยการทำงานที่เต็มเปี่ยม และข้อเสนอการบริหารประเทศที่ดีกว่า ...วันนี้อำนาจอยู่ในมือท่าน บริหารให้ดี เพราะเชื่อว่าผู้แพ้จากการทำงาน 4 ปีข้างหน้านี้จะโดนบดขยี้ด้วยฉันทามติประชาชน”

ด้านนายเศรษฐา ได้กล่าวยืนยันว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น ผ่านนโยบายทั้งระยะสั้นและยาวที่ครอบคลุมทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง และว่า ร่างงบประมาณนี้มีไฮไลท์สำคัญอยู่ที่ “4 เพิ่ม 1 ลด” โดย 4 เพิ่ม ได้แก่ จัดงบประมาณในจำนวนที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน, เพิ่มงบสำหรับการลงทุนยกระดับชีวิตประชาชน, เงินคงคลังที่เพิ่มขึ้นจากการจ่ายเงินคืนเพื่อรักษาวินัยการเงินการคลัง และรายได้เพิ่มขึ้น ส่วน 1 ลด คือ การขาดดุลที่ลดลง ซึ่งถือเป็นการลงทุนทางการเงินที่คุ้มค่า

“รัฐบาลจะใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ ใช้อย่างรู้คุณค่า ใช้อย่างมีเป้าหมาย ให้คุ้มกับเงินภาษีของประชาชนทุกบาท ทุกสตางค์ สำหรับความเห็นและข้อเสนอแนะต่างๆ ที่ทุกท่านอภิปรายไว้ ผมขอฝากให้กรรมาธิการวิสามัญที่สภาจะแต่งตั้งขึ้น นำไปใช้ประกอบการพิจารณาตรวจสอบรายละเอียดของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ให้เป็นไปโดยรอบคอบยิ่งขึ้น”

ทั้งนี้ ช่วงบ่ายวันเดียวกัน พรรคร่วมฝ่ายค้าน ประกอบด้วย พรรคก้าวไกล พรรคประชาธิปัตย์ พรรคไทยสร้างไทย พรรคเป็นธรรม พรรคครูไทยเพื่อประชาชน และพรรคใหม่ ได้ร่วมกันแถลงข่าวถึงจุดยืนของพรรคร่วมฝ่ายค้านว่า ไม่รับหลักการร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท วาระแรก โดยนายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า “พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว ไม่ได้สะท้อนว่ารัฐบาลกำลังแก้ปัญหาที่ประเทศกำลังเผชิญ ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตสิ่งแวดล้อม PM 2.5 วิกฤตการศึกษา วิกฤตเด็กเกิดน้อย วิกฤตสังคมผู้สูงวัย รัฐบาลจัดทำงบประมาณที่ไม่แตกต่างจากรัฐบาลเก่า ตั้งงบไม่ได้สัดส่วนกับความรุนแรงของปัญหา ยังพบการสอดไส้งบไม่ตรงปกไม่ตรงแผน การบรรจุงบที่ไม่ควรจะมี การจัดสรรงบที่ไม่เพียงพอต่อความจำเป็น ประมาณการรายได้ที่เกินจริง มุ่งใช้งบประมาณโดยไม่มองถึงอนาคต”

อย่างไรก็ตาม หลังการอภิปรายในสภาได้ยุติลงเมื่อเวลาประมาณ 20.10 น. นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานการประชุมได้เปิดให้มีการลงมติ ผลปรากฏว่า มี สส.เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2567 จำนวน 311 คน ไม่เห็นด้วย 177 คน งดออกเสียง 4 คน เท่ากับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2567 ผ่านการรับหลักการในวาระแรก หลังจากนั้นได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฯ จำนวน 72 คน โดยนัดวันประชุมครั้งแรกวันที่ 8 ม.ค.


3. "เศรษฐา" เผยคณะกรรมการ สมช. ไฟเขียวตั้ง "บิ๊กรอย" รอง ผบ.ตร.เป็นเลขาฯ สมช. ด้าน "สมชัย" ชี้ หนังสือขอรับโอน "บิ๊กรอย" สุดประหลาด!


เมื่อวันที่ 2 ม.ค. มีการเผยแพร่หนังสือจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่ทำหนังสือด่วนที่สุด ถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เรื่องการขอรับโอนข้าราชการตำรวจ โดยระบุเนื้อหาว่า "ด้วยสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ พิจารณาเห็นว่า พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ ตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ข้าราชการตำรวจสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ ทักษะและประสบการณ์ที่เหมาะสม จึงมีความประสงค์จะขอรับโอน พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ ตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (ข้าราชการพลเรือนประเภทบริหาร ระดับสูง เงินประจำตำแหน่ง 21,000 บาท) เพื่อประโยชน์ของทางราชการ

โดยนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้บังคับบัญชา ซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 (1) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 ได้เห็นชอบให้ดำเนินการขอรับโอนแล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง เป็นต้นไป จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณายินยอมการโอนข้าราชการตำรวจรายดังกล่าว เพื่อจะได้ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ขอแสดงความนับถือ นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี"

หลังหนังสือดังกล่าวหลุดออกสู่สาธารณะ วันต่อมา (3 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวได้สัมภาษณ์ นพ.พรหมินทร์ ถึงการขอรับโอนย้าย พล.ต.อ.รอย มาเป็นเลขาธิการ สมช. ว่า ในทางปฏิบัติ ทาง สมช.สามารถคัดค้านการขอรับโอนย้ายได้หรือไม่ ว่า ได้มีการพูดคุยกันเรียบร้อยแล้วก่อนที่จะมีการทาบทาม เราเข้าใจทุกฝ่ายและได้มีการหารือกับทุกส่วนที่เกี่ยวข้องแล้ว เมื่อถามย้ำว่า ในฝั่ง สมช. ไม่มีใครคัดค้านใช่หรือไม่ เลขาธิการนายกฯ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวเป็นการจัดการและดำเนินการอย่างถูกต้อง ย้ำว่าไม่มีคนค้าน ส่วนจะประชุม สมช. เมื่อไหร่ เลขาธิการนายกฯ กล่าวว่า เมื่อพร้อม

อย่างไรก็ตาม วันต่อมา (4 ม.ค.) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. ได้โพสต์ถึงการที่ น.พ.พรหมินทร์ ทำหนังสือด่วนถึง ผบ.ตร. ขอรับโอน พล.ต.อ.รอย มาเป็นเลขาฯ สมช. ว่า เป็นหนังสือราชการสุดประหลาด การมีหนังสือจากเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ไปยัง ผบ.ตร. เรื่องขอรับโอน รอง ผบ.ตร. มาเป็น เลขาธิการ สมช. ด้วยการอ้างสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ พิจารณาเห็นว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถ ทักษะ และประสบการณ์ที่เหมาะสม จึงขอรับโอนมาเป็นเลขาธิการ สมช. เริ่มต้นเรื่องแบบนี้ได้หรือ สำนักงาน คือ ข้าราชการประจำ ต่ำกว่า เลขา สมช. ที่เป็นผู้บังคับบัญชา ต่อไปจะมีหนังสือแบบว่าด้วยสำนักงานปลัดกระทรวง พิจารณาเห็นว่า นายโน้น นายนี้ เหมาะสมเป็นปลัดกระทรวง อย่างนั้นหรือ

นายสมชัย ระบุว่า หากจะเป็นมติสภาความมั่นคงฯ ที่มีนายกฯ เป็นประธาน เห็นชอบการโอนย้าย หรือนายกรัฐมนตรีมีบัญชา ให้รับโอนข้าราชการมาดำรงตำแหน่ง เลขา สมช. ดูจะเป็นการเขียนที่มีตรรกะมากกว่า การลงนามหนังสือ โดยเลขาธิการนายกฯ ยิ่งแปลก ที่ตอนต้นไปอ้างสำนักงานสภาความมั่นคงฯ นายพรหมินทร์ ไปเป็นตัวแทนสำนักงานได้อย่างไร หากจะอ้างนายกฯ บัญชา ก็อ้างแบบนั้นดีกว่า หรือกลัวนายกฯ ถูกปลดแบบกรณีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เลยหาทางเลี่ยงสุดประหลาด ทีมงานทำเนียบฯ อาจต้องไปเรียนระเบียบงานสารบรรณ และ พ.ร.บ.ระเบียบราชการพลเรือนใหม่ “ให้ติวให้ไหมครับ”

ทั้งนี้ วันเดียวกัน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงการขอรับโอนย้ายพล.ต.อ.รอย มาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สมช.ว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนอยู่ ถือว่าเป็นบุคคลที่มีความเหมาะสม

เมื่อถามว่า จะนำเข้าสู่การพิจารณาในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 9 ม.ค.เลยใช่หรือไม่
นายกฯ กล่าวว่า ไม่ใช่ เรื่องนี้ต้องขอไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ก่อน จากนั้นก็จะไปอีกหลายๆ ที่ ซึ่งก็ต้องเป็นไปตามขั้นตอน คงไม่ใช่การประชุม ครม.ในคราวหน้านี้ และไม่แน่ใจว่าจะเป็นการประชุม ครม. ครั้งถัดไปหรือไม่

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ได้มีการพูดคุยใน สมช. เรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ใช่ ได้มีการพูดคุยกันเรียบร้อยแล้ว เมื่อถามย้ำว่า ไม่ได้มีการต่อต้านจากลูกหม้อใน สมช.ใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า “ไม่มีครับ มีการพูดคุยกันรู้เรื่องแล้วครับ“

ล่าสุด (5 ม.ค.) มีรายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งมีนายกฯ เป็นประธาน ได้มีการขอความเห็นชอบการเสนอชื่อ พล.ต.อ.รอย เพื่อดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สมช. คนใหม่ ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบ โดยขั้นตอนหลังจากนี้จะดำเนินการไปตามขั้นตอน คาดว่าจะนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม.ในวันที่ 16 ม.ค.นี้

ด้านนายเศรษฐา นายกฯ ได้ทวีตข้อความผ่าน X ในวันเดียวกันว่า "วันนี้มีการพิจารณาเสนอชื่อผู้ซึ่งสมควรดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สมช. ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญ ทางคณะกรรมการได้พิจารณาบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสม โดยที่ประชุมได้เห็นชอบการแต่งตั้ง พล.ต.อ.รอย ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สมช.ครับ แต่ยังมีกระบวนการอีกหลายขั้นตอน ตามกฎหมายที่จะต้องดำเนินการ ก่อนนำเรื่องเสนอให้ ครม.พิจารณาต่อไปครับ"

4. ดีเอสไอแจ้งข้อกล่าวหา "สุนทร วิลาวัลย์" อดีต รมช.สธ.กับพวก รุกป่าเขาใหญ่ รออัยการสูงสุดชี้ชะตา สั่งฟ้องหรือไม่!


เมื่อวันที่ 4 ม.ค. คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้มีหมายเรียกนายสุนทร วิลาวัลย์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กับพวกรวม 11 คน มารับทราบข้อกล่าวหาฐานร่วมกันบุกรุกเข้ายึดถือ ครอบครอง ก่อสร้าง แผ้วถาง ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ หมู่ที่ 13 ต.โพธิ์งาม อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี ตามคำสั่งของอัยการสูงสุด โดยผู้ต้องหาทั้งหมดได้รับทราบข้อกล่าวหาแล้ว หลังจากนี้จะได้มีหนังสือส่งบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาดังกล่าว รวมทั้งผลการประเมินมูลค่าความเสียหายเป็นรายบุคคล ไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อมีคำสั่งทางคดีต่อไป

คดีนี้ สืบเนื่องจากคณะกรรมการคดีพิเศษได้มีมติในการประชุมเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2555 ให้รับกรณีบุคคล/กลุ่มบุคคลกระทำการบุกรุกและออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ หมู่ที่ 13 ต.โพธิ์งาม อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี จำนวน 22 แปลง เนื้อที่ประมาณ 251-3-52 ไร่ มูลค่าความเสียหายกว่า 21.1 ล้านบาท ซึ่งทางการสอบสวนปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวข้องในการออกโฉนดที่ดินโดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ จึงส่งสำนวนการสอบสวนคดีพิเศษไปดำเนินการตามกฎหมาย

ในส่วนของการกระทำความผิดฐานบุกรุกของราษฎร กรมสอบสวนคดีพิเศษได้สืบสวนขยายผลและแยกสำนวนการสอบสวนเป็นคดีพิเศษ มีการดำเนินคดีกับนายสุนทรกับพวกรวม 13 คน ในความผิดฐานยึดถือครอบครองพื้นที่อุทยานแห่งชาติ อันเป็นการสมคบกับเจ้าหน้าที่ของรัฐในการออกโฉนดที่ดินโดยมิชอบด้วยกฎหมายและนำเอาโฉนดที่ดินไปใช้เพื่อยึดถือครอบครองที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติ ซึ่งภายหลังมีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 บังคับใช้ กำหนดให้คดีที่มีการกระทำความผิดเกี่ยวข้องกันกับคดีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ดำเนินการอยู่ ให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช.

ดีเอสไอจึงส่งสำนวนการสอบสวนคดีพิเศษดังกล่าวไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อรวมดำเนินการกับคดีพิเศษที่ส่งไปก่อนหน้านี้ ต่อมา คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ส่งสำนวนคืนมาให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษทำการสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาต่อไป

พนักงานสอบสวนคดีพิเศษจึงรับเป็นคดีพิเศษและทำการสอบสวนจนเสร็จสิ้น เสนอสำนวนการสอบ
สวนพร้อมความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหา 12 คน และเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง 1 คน เนื่องจากถึงแก่ความตาย ไปยังพนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด

ล่าสุด อัยการสูงสุดได้พิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินการประเมินมูลค่า
ความเสียหายเป็นรายบุคคล ซึ่งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้มีหนังสือแจ้งให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ประเมินมูลค่าความเสียหายและได้รับผลการประเมินเรียบร้อยแล้ว และให้แจ้งข้อกล่าวหาแก่นายสุนทรกับพวก ตามบทกฎหมายที่แก้ไขใหม่ ส่วนผู้ต้องหาอีก 1 คน ถึงแก่ความตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตามกฎหมาย

5. "ในหลวง" พระราชพรปีใหม่ ทรงขอให้ทุกคนร่วมแรงร่วมใจ ใช้ความรู้ความสามารถอย่างถูกต้อง เพื่อประเทศเจริญ-สงบร่มเย็น!


เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พระราชทานบัตรอวยพรปีใหม่ ประจำปีพุทธศักราช 2567 แก่ปวงชนชาวไทย ด้านหน้าของบัตรพระราชทานพรปีใหม่ มีตราประจำพระราชวงศ์จักรีอยู่กึ่งกลาง ด้านล่างเป็นตราพระปรมาภิไธย ว.ป.ร. และตราพระนามาภิไธย ส.ท. เมื่อเปิดบัตรพระราชทานพร ด้านขวา มีพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงฉายกับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ใต้พระบรมฉายาลักษณ์ระบุพระปรมาภิไธย “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” และพระนามาภิไธย “สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี” ส่วนด้านซ้าย มีข้อความว่า “พระราชทานพรปีใหม่ พ.ศ.๒๕๖๗” พร้อมทั้งทรงลงพระปรมาภิไธย และพระนามาภิไธย

ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสพระราชทานพรปีใหม่แก่ประชาชนชาวไทย ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ความว่า “ข้าพเจ้าขอส่งความสุขและความปรารถนาดีมายังท่านทั้งหลายโดยทั่วกัน ...การที่บ้านเมืองเราดำรงมั่นคงและมีเกียรติยศศักดิ์ศรีเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศชาติจวบจนทุกวันนี้ ก็ด้วยเราทุกคนต่างร่วมแรงร่วมใจกันบำเพ็ญความดีและมุ่งประโยชน์ของส่วนรวมมาโดยตลอด ดั่งเช่น โครงการต่างๆ ที่จัดตั้งขึ้น เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนก็เป็นการทำงานร่วมกันของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ทำให้ประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ

"นอกจากนี้ ทุกคนยังช่วยกันสืบสาน รักษา ต่อยอด วัฒนธรรมอันดีงามของไทย โดยเต็มกำลังความสามารถ ด้วยเห็นได้ชัดเจนจากการจัดแสดงโขนของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างดงาม

"ในปีใหม่นี้ ข้าพเจ้าจึงใคร่ขอให้ทุกท่านร่วมมือร่วมใจกันอย่างมั่นคงแน่วแน่ และหากมีอุปสรรคปัญหาใดๆ เกิดขึ้น ก็เผชิญปัญหาอย่างผู้มีสติมีปัญญา และร่วมกันคิดอ่านปฏิบัติแก้ไขด้วยเหตุผล ด้วยหลักวิชา และด้ายความบริสุทธิ์จริงใจ รวมกำลังความรู้ความสามารถของทุกคนทุกฝ่าย มาใช้ให้ถูกต้องและเหมาะสม ทันต่อเหตุการณ์ ถ้าทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันได้ดังนี้ ประเทศชาติของเราก็จะเจริญวัฒนาเป็นที่อยู่ที่อาศัยอันสงบร่มเย็นของเราทั้งหลายได้สืบไป

"ขออานุภาพแห่งพระรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านเคารพนับถือ พร้อมด้วยพระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จงคุ้มครองรักษาทุกท่าน ให้ปราศจากทุกข์โศก โรคภัย ทุกๆ ประการ บันดาลให้มีกำลังกาย กำลังใจ กำลังปัญญา ประสบแต่สิ่งที่พึงปรารถนาตลอดศกหน้านี้และตลอดไป”


กำลังโหลดความคิดเห็น