สมาคมนักข่าวฯ รายงานสถานการณ์สื่อมวลชนในรอบปี 2566 ชี้สื่อปรับตัวหันมาทำข่าวเชิงสร้างสรรค์ แต่ข่าวเจาะมีน้อย พบรัฐบาลส่งสัญญาณแทรกแซงสื่อ ห้ามจ้อเรื่องเงินดิจิทัลและนักโทษชายทักษิณ พบนักข่าวถูกม็อบรุม ถูกกักขัง ถูกแหล่งข่าวเหยียดหยาม ถูกปาระเบิด ถูกทำร้ายสารพัด ส่วนเรื่องนายตำรวจให้ตังค์ไม่นิ่งนอนใจ ตั้งกรรมการสอบแล้ว
วันนี้ (30 ธ.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยรายงานสถานการณ์สื่อมวลชนในรอบปี 2566 หัวข้อ "ปีแห่งการปรับตัวของสื่อ" เนื่องจากการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองและความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี โดยปี 2566 เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในรอบ 9 ปี จากรัฐบาล พล.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็นรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ทำให้สื่อมวลชนหลายสำนักค่อยๆ ปรับตัว เน้นเนื้อหาเชิงสร้างสรรค์และเฉพาะเจาะจง เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ทั้งสื่อหลักของตัวเองและโซเชียลมีเดียต่างๆ เพื่อรายได้และความอยู่รอด แต่ยังถูกตั้งข้อสังเกตว่า สื่อกระแสหลักยังมีจำนวนน้อยที่รายงานข่าวเชิงสืบสวน เพราะแรงกดดันด้านกำลังคนและการอยู่รอดทางธุรกิจ ผ่านเรตติ้งและจำนวนยอดคนดูและชมผ่านช่องทางต่างๆ
ขณะเดียวกัน แม้ว่ารัฐบาลชุดที่แล้วจะนำเสนอร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชนเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา แต่สุดท้ายร่างกฎหมายฉบับนี้ก็ตกไป เพราะมีองค์ประชุมและเสียงที่ไม่เห็นด้วย ทั้งจาก ส.ส.และองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนบางส่วนที่เห็นว่ากฎหมายนี้ยังไม่ใช่หนทางแก้ไขปัญหา อีกทั้งยังไม่ไว้วางใจที่กฎหมายฉบับนี้ถูกนำเสนอโดยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ อาจมีการแฝงความพยายามเข้ามาควบคุมสื่อมวลชนหรือไม่ ทำให้ปัญหาการกำกับดูแลกันเองของสื่อมวลชน จึงจำเป็นที่จะต้องมีการระดมความเห็นหาแนวทางที่เหมาะสมจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปในอนาคต
ส่วนบรรยากาศการเริ่มต้นหลังรัฐบาลใหม่ได้เข้ามาบริหารประเทศกว่า 3 เดือน ก็มีสัญญาณการแทรกแซงสื่อมวลชน พยายามห้ามผู้มีความเห็นต่างใช้พื้นที่สื่อรัฐวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาล เช่น กรณีนายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการเลือกตั้ง ที่ระบุว่า มีบุคคลโทรศัพท์มานัดหมายขอสัมภาษณ์เรื่องการแจกเงินดิจิทัลผ่านสื่อของรัฐ จากนั้นก็มีโทรศัพท์มาขอยกเลิก โดยให้เหตุผลว่าผู้ใหญ่ในช่องเห็นว่ารัฐบาลถูกวิจารณ์เรื่องนี้มากแล้ว เกรงว่าจะทำให้เกิดความสับสน หรือกรณีที่ รศ.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ อดีต รมต.ประจำสำนักนายกฯ ระบุว่า ที่จะออกรายการในประเด็นนายทักษิณ ชินวัตร กับระเบิดเวลารัฐบาล แต่กลับไม่มีการออกอากาศ เพราะได้รับแจ้งผู้บริหารช่องพิจารณาแล้วว่าสุ่มเสี่ยงทำให้รัฐบาลไม่พึงพอใจ จึงสั่งงดออกอากาศ ดังนั้นทั้งสองกรณีจึงหมิ่นเหม่ต่อการที่รัฐบาลอาจใช้อำนาจแทรกแซงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนได้
ส่วนการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะในช่วงการจับขั้วรัฐบาล ทำให้สื่อมวลชนต้องทำงานภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้ง บางครั้งผู้ชุมนุมคุกคามทำร้ายร่างกายสื่อมวลชนต่อเนื่อง ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่นักข่าวถูกกักตัวในสำนักสงฆ์แห่งหนึ่งในจังหวัดนนทบุรีระหว่างลงพื้นที่รายงานข่าว หรือกรณีที่แหล่งข่าวเปิดโต๊ะแถลงข่าว ถูกตั้งคำถามแล้วไม่พอใจ แสดงกิริยาและคำพูดเหยียดหยามนักข่าว ทั้งที่นักข่าวรายนั้นเพียงทำหน้าที่แสวงหาข้อเท็จจริงให้ถูกต้องและรอบด้าน ขณะที่ผู้แถลงข่าวก็มีสิทธิในการตอบคำถามหรือไม่ก็ได้ ถือเป็นสิทธิอันชอบธรรมของแต่ละฝ่าย แต่การคุกคามทางวาจาที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ย่อมกระทบต่อเสรีภาพในการแสวงหาข่าวสารและข้อเท็จจริงของสื่อมวลชน
นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์บรรณาธิการข่าว และบรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์รายวันทันหุ้น ถูกคนร้ายคุกคามข่มขู่ด้วยการส่งพัสดุมาที่บริษัท ภายในกล่องพบภาพของครอบครัวบรรณาธิการข่าว พร้อมกระสุนปืนไม่ทราบขนาด ระบุข้อความข่มขู่ และวันถัดมาคนร้ายก็บุกปาวัตถุคล้ายระเบิด 3 ลูกใส่ภายในบ้าน และยังมีเหตุการณ์ผู้สื่อข่าวภูมิภาค ประจำจังหวัดเพชรบุรี ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ทำร้ายร่างกาย ยึดเอากล้อง และโทรศัพท์ไปลบข้อมูลทิ้งทั้งหมด พร้อมข่มขู่จะเอาชีวิตถึงบ้าน และขับไล่ให้ออกจากพื้นที่ ระหว่างทำข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุบ่อดินถล่มทับคนงานเสียชีวิต หรือเหตุการณ์นักข่าวจังหวัดเพชรบูรณ์ ถูกตีศีรษะบาดเจ็บสาหัสชนวนเหตุจากลงพื้นที่ตรวจสอบทำข่าวบ่อนพนัน รวมกรณีนายตำรวจยศ พ.ต.อ. ขู่ยิงนักข่าว หลังโทรศัพท์สัมภาษณ์ตำรวจนายนี้เกี่ยวกับคดีตำรวจทางหลวงถูกยิงเสียชีวิตในงานเลี้ยงสังสรรค์บ้านกำนันนก
"ตัวอย่างเหตุการณ์ทั้งหมดนี้มีลักษณะการลิดรอนสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน และประชาชน จากการข่มขู่คุกคามด้วยวิธีนอกกฎหมาย และจงใจกดดันข่มขู่อันเนื่องมาจากการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน อันเป็นการคุกคามทำให้สื่อมวลชนรู้สึกไม่ปลอดภัยในการนำเสนอข่าวสารโดยตรง แทนที่จะใช้วิธีการทางกฎหมายซึ่ง “สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย” ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลมีมาตรการปกป้องคุ้มครองประชาชน และการใช้สิทธิเสรีภาพสื่อมวลชนเพราะการคุกคามเสรีภาพของสื่อมวลชนเท่ากับเป็นการคุกคามเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารข้อเท็จจริงของประชาชนและกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตานานาชาติ พร้อมเรียกร้องต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเร่งติดตามจับกุมคนร้ายมาลงโทษตามกฎหมายโดยเร็ว เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างในการคุกคามสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน และประชาชน"
แถลงการณ์ดังกล่าวยังกล่าวถึงกรณีที่สื่อมวลชนต้องทำงานอยู่บนความเสี่ยงถูกทำร้าย ก็ยังปรากฏพบว่า “การฟ้องปิดปากสื่อมวลชน” ยังเป็นอีกวิธีที่ถูกนำมาใช้คุกคามการทำงานของสื่อมวลชนโดยเฉพาะในประเด็นความขัดแย้งบนฐานทรัพยากร โครงการพัฒนา และสิทธิแรงงาน โดยมาในรูปแบบการดำเนินคดีจากการเผยแพร่ข่าวเป็นส่วนใหญ่ เช่น สื่อมวลชนถูกฟ้องหมิ่นประมาท พร้อมเรียกร้องค่าเสียหายเป็นจำนวนมาก แม้ว่าล่าสุดศาลจะยกฟ้อง แต่ก็ถือเป็นความพยายามในการใช้กระบวนการทางกฎหมายเข้ามาแทรกแซงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ด้วยการฟ้องร้องคดี และขอให้สื่อมวลชนยุติการเสนอข่าว
อีกทั้งกรณีนายตำรวจท่านหนึ่งระบุว่า “ให้เงินกับนักข่าว 4 คน” ที่ถูกกล่าวอ้างเมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2566 ทำให้เกิดผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ของสื่อมวลชนไทย สภาวิชาชีพสื่อมวลชนตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยมี ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความฯ เป็นประธาน ดำเนินการตามผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงเสนอยังองค์กร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และต่อสาธารณะเพื่อเป็นแนวทางการทำงานของสื่อมวลชนให้เป็นไปด้วยความถูกต้อง เหมาะสม ตามกรอบจริยธรรมวิชาชีพ โดยตั้งเป้าจะดำเนินการตรวจสอบให้แล้วเสร็จทั้งหมดภายในเวลา 90 วัน นับแต่แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ที่มีการนัดประชุมนัดแรกวันที่ 7 ธ.ค. 2566 โดยเชิญผู้เกี่ยวข้องหลายคนมาให้ข้อมูล ก่อนที่คณะกรรมการฯ จะนำข้อมูลทั้งหมดมาพิจารณาและสรุปผล พร้อมข้อเสนอต่อ 3 สภาวิชาชีพต่อไป
แม้ว่าในสถานการณ์ปัจจุบัน สื่อมวลชนจะทำหน้าที่ภายใต้ภาวะแห่งความยากลำบาก แต่สื่อมวลชนส่วนใหญ่ยังคงทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชนและสังคมต่อไป เพื่อเป็นกลไกในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน โดยสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยทำหน้าที่ดูแลปกป้องสิทธิและเสรีภาพของสื่อมวลชน ในการนำเสนอข่าวและภาพข่าวได้อย่างเสรีภายใต้กรอบของกฎหมายและไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้ตกเป็นข่าว ด้วยหลักการทำหน้าที่ที่ต้องพึงตระหนักว่า “สื่อมวลชน” มีความรับผิดชอบต่อสังคม และมีมาตรฐานทางวิชาชีพในการให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนด้วยความถูกต้อง ครบถ้วน รอบด้าน และมีความสมดุลบนพื้นฐานของความเป็นจริง ด้วยความรับผิดชอบต่อสิทธิส่วนบุคคล ตามกรอบจริยธรรมแห่งวิชาชีพสื่อมวลชนและประโยชน์สาธารณะตามที่ระบุในกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งสมาคมฯ ขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนร่วมวิชาชีพยืนหยัดต่อสู้กับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อรักษาไว้ซึ่งอุดมการณ์ของความเป็นสื่อมวลชนมืออาชีพที่มีหน้าที่นำเสนอข่าวสาร ข้อมูลเพื่อประชาชนส่วนรวม เพื่อประโยชน์สาธารณะ มีความรับผิดชอบ เคารพกฎหมาย และจริยธรรมแห่งวิชาชีพอย่างมั่นคงแน่วแน่ต่อไป