1."อภิสิทธิ์" ถอนตัวชิงหัวหน้า ปชป. พร้อมลาออกจากพรรค ด้าน "มาดามเดียร์" ไม่มีสิทธิ์ลงสมัคร ส่งผล "เฉลิมชัย" ไร้คู่แข่ง นั่งหัวหน้าพรรคคนที่ 9!
เช้าวันนี้ (9 ธ.ค.) พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้นัดประชุมใหญ่วิสามัญที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์คอนเวนชั่น กทม. เพื่อเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ เนื่องจากเมื่อวันที่ 9 ก.ค. และวันที่ 6 ส.ค. ไม่สามารถคัดเลือกได้ เพราะองค์ประชุมไม่ครบ 250 เสียงตามที่กฎหมายกำหนด
ทั้งนี้ บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก แกนนำของพรรคทุกฝ่ายมาร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง อาทิ นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อและอดีตหัวหน้าพรรค นายบัญญัติ บรรทัดฐาน สส.บัญชีรายชื่อและอดีตหัวหน้าพรรค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ อดีตหัวหน้าพรรค นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รักษาการหัวหน้าพรรคและรักษาการเลขาธิการพรรค เป็นต้น
หลังจากองค์ประชุมครบ 260 คน ที่ประชุมได้เข้าสู่การเสนอชื่อหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายชวน กล่าวตอนหนึ่งว่า ...ตนไม่เคยคิดให้พรรคเป็นพรรคอะไหล่ หรือพรรคประกอบ ไม่อยากให้ใครมองว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคสุดท้ายที่จะพิจารณา ดังนั้น ในครั้งนี้ขอเสนอนายอภิสิทธิ์ เพราะเห็นว่าสถานการณ์การเมือง คนที่จะเลือกมา ต้องไม่ด้อยกว่าพรรคอื่น และเชื่อว่าจะนำพรรคไปสู่แนวทางประชาธิปไตย และฟื้นฟูพรรคได้ ทั้งนี้ มีผู้รับรองชื่อนายอภิสิทธิ์ครบ 169 เสียง
ต่อมา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถามตนวันนี้มีเหตุผลอะไรที่ต้องกลับมาเป็นหัวหน้าพรรค ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ และตนไม่มีตำแหน่งทางการเมือง ต้องตอบว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องตอบรับ แต่ตนคิดเช่นเดียวกับนายชวน ว่าตนเป็นหนี้บุญคุณพรรค และมีคนคาดหวัง ไม่น่าเชื่อบางคนถึงกับโทรศัพท์หาตน แล้วบอกว่าตนเห็นแก่ตัวที่ไม่เข้ามากอบกู้พรรค ตนก็ต้องอธิบายว่าพรรคมีกระบวนการ ไม่ใช่ว่าใครนึกอย่างนั้นอย่างนี้แล้วมากำหนดได้ คนภายนอกส่วนหนึ่งไม่เข้าใจ หลายเดือนที่ผ่านมาสิ่งที่ทำให้ตนประหลาดใจและสะเทือนใจ คือ เราที่อยู่ในห้องนี้ตระหนักเพียงใดว่าพรรคอยู่ในภาวะยิ่งกว่าวิกฤต ตนอาจประสบการณ์น้อยกว่านายชวน หลายคนบอกมีขึ้นมีลง ตนก็บอกว่ามีขึ้นมีลงแน่นอน แต่มีลงไม่ได้แปลว่าจะมีขึ้น ถ้าไม่เรียนรู้สรุปบทเรียนให้ชัดเจน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า อุดมการณ์ของพรรคที่เราเคยพูดว่าเราเป็นพรรคที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ เราต่อสู้มายาวนาน ที่เราต่อสู้กับพรรคเพื่อไทย หรือนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ไม่ใช่เรื่องความแค้น แต่เป็นเรื่องการต่อสู้ทางความคิด ในสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นเรื่องความถูกต้องของบ้านเมือง แต่ระยะหลังมีการประเมินว่า ประชาธิปัตย์ไม่ใช่พรรคประชาธิปไตยแล้ว ดังนั้นเราต้องฟื้นฟูพรรค ถ้าเราคิดจะกลับมา เพราะเรามีความต่างจากพรรคการเมืองอื่นคือ เราไม่เคยกลัวเป็นฝ่ายค้าน ทั้งที่หลายพรรคเป็นได้แค่พรรครัฐบาล กับพรรครอร่วมรัฐบาล แต่เราไม่ใช่ ถ้าเรารักษาแนวทางแบบนี้เราก็มีโอกาสกลับมา
"ผมได้ข้อสรุปว่าวันนี้ไม่ใช่เรื่องใครแพ้หรือชนะ แต่วันนี้พรรคเดินต่อไม่ได้ ไม่มีความเป็นเอกภาพแท้จริง ผมลงแพ้ก็น่าจะมีปัญหา ผมชนะก็ยิ่งมีปัญหาเข้าไปใหญ่ เพราะกระบวนการที่เกิดขึ้นหลายเดือนที่ผ่านมา เพื่อนในห้องนี้มามาถามผมว่าทำไมไม่คุยกัน ต่อมาก็พาดพิงว่าผมไม่ยอมคุย ผมขอยืนยันว่าถ้าใครไปพูดอย่างนั้น ไม่จริง หลายคนพยายามพูดว่าให้คุยกัน แต่ได้รับการปฏิเสธ ผมก็ไม่กล้าสอบถามเหตุผลถึงการปฏิเสธไม่พูดคุย แต่คำตอบชัดคือไม่คุย ฉะนั้นวันนี้เมื่อนายชวนเสนอชื่อผม ผมถามท่านรักษาการหัวหน้าพรรค พักการประชุมแล้วคุยกับผมหรือไม่”
ต่อมา นายเฉลิมชัย รักษาการหัวหน้าพรรคและรักษาการเลขาธิการพรรค กล่าวว่า คนที่นายอภิสิทธิ์กล่าวถึง คือตน ก่อนหน้านี้เคยบอกไปว่าไม่มีอะไรจะคุย เพราะเคยประกาศว่าจะหยุดการเมือง นี่คือเหตุผล และขอกราบเรียนตรงนี้ คนเราอยู่ดีๆ ไม่มีใครพูดส่งเดช มีที่มาที่ไปทั้งหมด และที่มาที่ไปตนก็ไม่เคยพยายามที่จะไม่พูดตรงนั้น เพราะเป็นความรับผิดชอบของตน ตนอาจจะไม่ได้บอกว่ารักประชาธิปัตย์มากที่สุด แต่ก็ผูกพันมาตั้งแต่ปี 2518 ครอบครัวตนเป็นหัวคะแนนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ มันคือสายเลือด และก็ยึดมั่นในหลักการอุดมการณ์มาจนถึงทุกวันนี้เรื่องซื่อสัตย์สุจริต 100% เพราะฉะนั้นอะไรที่จะทำให้พรรคเดินไปได้ตนจะทำ...ตนเรียนท่านหัวหน้าว่าพร้อมที่จะคุยกับท่านได้ จะได้คุยกันว่ามีปัญหาอะไรบ้าง เราก็คุยกันตรงๆ แต่จะคุยกับตน 2 คนใช่หรือไม่ ขอให้ท่านเชื่อมั่นหลักการอุดมการณ์เต็มร้อย ไม่ต้องกังวล และตั้งแต่เข้ามาอยู่พรรคประชาธิปัตย์ 22 ปี ยืนยันประชาธิปัตย์ไม่เคยเป็นพรรคอะไหล่ใคร และจะไม่มีวันยอม เชื่อตนได้...
จากนั้น นายเฉลิมชัยได้สั่งพักการประชุม 10 นาที เพื่อคุยกับนายอภิสิทธิ์ เมื่อกลับมาเปิดประชุมอีกครั้ง นายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวต่อที่ประชุมว่า ตนได้อธิบายว่ามีความคิดอย่างไร ตนได้เรียนรักษาการหัวหน้าพรรคว่าตนจะขอถอนตัวจากการเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ด้วยเหตุผลที่แจ้งให้ท่านทราบ และด้วยเหตุผลเดียวกันตนขอลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์
“แต่ยืนยันว่าผมไม่มีพรรคอื่น ไม่ไปพรรคอื่น กรีดเลือดผมมาก็เป็นสีฟ้าจนวันตาย เป็นลูกพระแม่ธรณี ที่จะเอาอุดมการณ์พรรครับใช้บ้านเมืองต่อไป วันข้างหน้า ถ้าในพรรคคิดว่าผมจะเป็นประโยชน์มาช่วยได้ ผมก็คงไม่ปฏิเสธ แต่วันนนี้เพื่อให้คนที่มีสถานะ และมีอำนาจบริหารต่อไป ทำงานด้วยความสบายใจ ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่ต้องหวาดระแวงเรื่องผมเรื่องใครใดๆ ทั้งสิ้น ก็ขออนุญาตที่จะลาออกและถือโอกาสขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนที่อยู่ห้องนี้ และไม่ได้อยู่ห้องนี้และเจ้าหน้าที่ของพรรคทุกคนทึ่ได้ทำงานและสนับสนุนผมตลอดมา ผมมีแต่ความปรารถนาดีต่อพรรค และหวังว่าผู้บริหารชุดใหม่จะทำงานได้สำเร็จตามที่รักษาการหัวหน้าแจ้งไว้กับผม”
หลังกล่าวต่อที่ประชุม นายอภิสิทธิ์ได้ยกมือไหว้สมาชิกทั่วห้อง ก่อนที่จะเดินออกจากห้องประชุมไป ผู้สื่อข่าวถามว่า ในระหว่างการคุยกัน นายเฉลิมชัยบอกว่า จะไปร่วมรัฐบาลหรือไม่ จึงทำให้ตัดสินใจลาออกจากสมาชิกพรรค นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เดี๋ยวท่านก็พูดเอง
ด้านนายขยัน วิพรหมชัย อดีต สส.ลำพูน ได้เสนอชื่อ น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง กทม. เป็นหัวหน้าพรรค แต่เสียงสนับสนุนให้ยกเว้นข้อบังคับพรรคไม่ถึง 3 ใน 4 ตามเกณฑ์ที่กำหนด จึงหมดสิทธิลงสมัคร เพราะ น.ส.วทัญญา เพิ่งเป็นสมาชิกพรรคแค่ปีกว่า แต่ข้อบังคับพรรคระบุ ต้องเป็นสมาชิกพรรค 5 ปีขึ้นไป ทั้งนี้ น.ส.วทันยา กล่าวว่า วันนี้พรรคกำลังยืนอยู่บนทางแพร่ง 2 ทางคือ เราจะเข้าสู่อำนาจเพื่อใช้ระบบอุปถัมภ์ เมื่อวันหนึ่งไม่มีจะให้หรือให้เท่าไรก็ไม่พอ แล้วก็ทำได้แค่เพียงหวังว่าประชาชนจะให้โอกาสเราอีกครั้ง หรือการใช้อุดมการณ์ จิตวิญญาณของพรรคประชาธิปัตย์ในการที่ทำงานซื่อตรงกับประชาชน ในการที่จะยึดหลักของความถูกต้องเพื่อประชาชน
“เดียร์หวังว่าการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้น และได้แต่หวังว่าเพื่อนๆ สมาชิกพรรคทุกท่านจะเห็นเหมือนกัน มันทำให้เห็นแล้วว่า สิ่งที่เราหวังว่าจะทำให้ประชาชนจะกลับมาศรัทธาในพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้งหนึ่ง วันนี้แสงแห่งความหวัง แสงแห่งความเปลี่ยนแปลงมันไม่เกิดขึ้น แล้วเราจะคาดหวังแสงแห่งศรัทธาจากประชาชนคืนมาได้อย่างไร”
เมื่อถามว่า จะลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ น.ส.วทันยา ตอบว่า ต้องขอประเมิน ทบทวน และรอดูทิศทางของพรรค เราต้องเลือกที่จะทำการเมืองกับพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ตรงกัน
เมื่อนายอภิสิทธิ์ถอนตัว น.ส.วทัญญา ก็ไม่มีสิทธิสมัคร ทำให้เหลือผู้สมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพียงคนเดียวคือ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จากการเสนอชื่อโดยนายเดชอิศม์ ขาวทอง รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีเสียงรับรอง 219 เสียง จากนั้น ที่ประชุมได้ให้นายเฉลิมชัย แสดงวิสัยทัศน์ ก่อนเข้าสู่กระบวนการลงคะแนน ผลคะแนนปรากฎว่า นายเฉลิมชัย ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนที่ 9 ด้วยคะแนน 88.5%
สำหรับผลการคัดเลือกคณะกรรมการพรรคชุดใหม่ ปรากฏว่า รองหัวหน้าพรรคประจำภาค 5 คน ประกอบด้วย นายสมบัติ ยะสินธุ์ เป็นรองหัวหน้าพรรคภาคเหนือ นายไชยยศ จิรเมธากร เป็นรองหัวหน้าพรรคภาคอีสาน นายประมวล พงศ์ถารวาเดช เป็นรองหัวหน้าพรรคภาคกลาง นายชัยชนะ เดชเดโช เป็นรองหัวหน้าพรรคภาคใต้ นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ เป็นรองหัวหน้าพรรคภาค กทม.
ส่วนรองหัวหน้าพรรคตามภารกิจ 8 คน เสนอโดยนายเฉลิมชัย คือ 1.นายนริศ ขำนุรักษ์ 2.น.ส.จิตภัสร์ กฤดากร 3.พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาราเล่ 4.นายนราพัฒน์ แก้วทอง 5.นายธารา ปิตุเตชะ 6.นต.สุธรรม ระหงษ์ 7. นายมนตรี ปาน้อยนนท์ และ 8. นายอภิชาติ ศักดิเศรษฐ ส่วนเลขาธิการพรรค เสนอโดยนายเฉลิมชัย ให้นายเดชอิศม์ ขาวทอง สส.สงขลา เป็นเลขาธิการพรรค
เป็นที่น่าสังเกตว่า นายสาธิต ปิตุเตชะ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้แถลงลาออกจากสมาชิกพรรค ปชป.เช่นกัน หลังรู้ผลหัวหน้าพรรคคนใหม่ โดยนายสาธิตให้เหตุผลที่ลาออก 4 ข้อ โดยเฉพาะข้อ 4 ระบุว่า คนที่จะมานำพาพรรคไม่รักษาสัจจะวาจา อย่าว่าแต่เป็นผู้บริหารพรรคเลย เป็นนักการเมืองก็เป็นไม่ได้ “ดังนั้น ถ้านักการเมืองที่มีคุณสมบัติแบบนี้มานำพาพรรคผมเห็นว่าทิศทาง ในอนาคตของพรรคประชาธิปัตย์ก็จะถูกประชาชนลงโทษ ผมจึงตัดสินใจลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ...ถ้ามีโอกาสก็พร้อมจะกลับมาร่วมงานกับเพื่อนสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ในโอกาสครั้งต่อไป”
2.คกก.ไตรภาคีเคาะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ 2-16 บาท เตรียมชง ครม.ให้มีผล 1 ม.ค.นี้ ด้าน "เศรษฐา" เล็งปรับใหม่ เหตุขึ้นน้อยเกิน 2 บาทซื้อไข่ลูกหนึ่งยังไม่ได้!
เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. ได้มีการประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง ชุดที่ 22 ประกอบด้วย กรรมการไตรภาคีเพื่อพิจารณาการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำประจำปี 2566 โดยมีนายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุม
หลังประชุม นายไพโรจน์แถลงว่า ที่ประชุมมีมติให้ปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำทั้ง 77 จังหวัด ในอัตราเพิ่มขึ้น 2-16 บาท ซึ่งค่าจ้างค่าขั้นต่ำที่เพิ่มมากที่สุด คือ จ.ภูเก็ต คือ 370 เพิ่มขึ้นจาก 354 บาท และต่ำที่สุดคือ 330 บาท ใน 3 จังหวัด คือ นราธิวาส ปัตตานี และยะลา ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 328 บาท ซึ่งจะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 12 ธ.ค.นี้ เพื่อรับรองและให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป
สำหรับค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำต่อวัน มีทั้งหมด 17 อัตรา ประกอบด้วย 1.อัตราค่าแรงขั้นต่ำ 370 บาท 1 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต (จากเดิม 354 บาท) 2.อัตราค่าแรงขั้นต่ำ 363 บาท 6 จังหวัด กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร (จากเดิม 353 บาท) 3.อัตราค่าแรงขั้นต่ำ 361 บาท 2 จังหวัด จังหวัดชลบุรี และระยอง (จากเดิม 354 บาท) 4.อัตราค่าแรงขั้นต่ำ 352 บาท จำนวน 1 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา (จากเดิม 340 บาท) 5.อัตราค่าแรงขั้นต่ำ 351 บาท จำนวน 1 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสมุทรสงคราม (จากเดิม 338 บาท)
6.อัตราค่าแรงขั้นต่ำ 350 บาท จำนวน 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (จากเดิม 343 บาท) สระบุรี (จากเดิม 340 บาท) ฉะเชิงเทรา (จากเดิม 345 บาท) ปราจีนบุรี (จากเดิม 340 บาท) ขอนแก่น (จากเดิม 340 บาท) และเชียงใหม่ (จากเดิม 340 บาท) 7.อัตราค่าแรงขั้นต่ำ 349 บาท จำนวน 1 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดลพบุรี (จากเดิม 340 บาท) 8.อัตราค่าแรงขั้นต่ำ 348 บาท จำนวน 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุพรรณบุรี (จากเดิม 340 บาท) นครนายก (จากเดิม 338 บาท) และหนองคาย (จากเดิม 340 บาท) 9.อัตราค่าแรงขั้นต่ำ 347 บาท จำนวน 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกระบี่ และตราด (จากเดิม 340 บาท)
10.อัตราค่าแรงขั้นต่ำ 345 บาท จำนวน 15 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี (จากเดิม 335 บาท) ประจวบคีรีขันธ์ (จากเดิม 335 บาท) สุราษฎร์ธานี (จากเดิม 340 บาท) สงขลา (จากเดิม 340 บาท) พังงา (จากเดิม 340 บาท) จันทบุรี (จากเดิม 338 บาท) สระแก้ว (จากเดิม 335 บาท) นครพนม (จากเดิม 335 บาท) มุกดาหาร (จากเดิม 338 บาท) สกลนคร (จากเดิม 338 บาท) บุรีรัมย์ (จากเดิม 335 บาท) อุบลราชธานี (จากเดิม 340 บาท) เชียงราย (จากเดิม 332 บาท) ตาก (จากเดิม 332 บาท) พิษณุโลก (จากเดิม 335 บาท)
11.อัตราค่าแรงขั้นต่ำ 344 บาท จำนวน 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเพชรบุรี (จากเดิม 335 บาท) ชุมพร (จากเดิม 332 บาท) สุรินทร์ (จากเดิม 335 บาท) 12.อัตราค่าแรงขั้นต่ำ 343 บาท จำนวน 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดยโสธร (จากเดิม 335 บาท) ลำพูน (จากเดิม 332 บาท) นครสวรรค์ (จากเดิม 335 บาท) 13.อัตราค่าแรงขั้นต่ำ 342 บาท จำนวน 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช (จากเดิม 332 บาท) บึงกาฬ (จากเดิม 335 บาท) กาฬสินธุ์ (จากเดิม 338 บาท) ร้อยเอ็ด (จากเดิม 335 บาท) เพชรบูรณ์ (จากเดิม 335 บาท) 14.อัตราค่าแรงขั้นต่ำ 341 บาท จำนวน 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชัยนาท (จากเดิม 335 บาท) สิงห์บุรี (จากเดิม 332 บาท) พัทลุง (จากเดิม 335 บาท) ชัยภูมิ (จากเดิม 332 บาท) และอ่างทอง (จากเดิม 335 บาท)
15.อัตราค่าแรงขั้นต่ำ 340 บาท จำนวน 16 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดระนอง (จากเดิม 332 บาท) สตูล (จากเดิม 332 บาท) เลย (จากเดิม 335 บาท) หนองบัวลำภู (จากเดิม 332 บาท) อุดรธานี (จากเดิม 328 บาท) มหาสารคาม (จากเดิม 332 บาท) ศรีสะเกษ (จากเดิม 332 บาท) อำนาจเจริญ (จากเดิม 332 บาท) แม่ฮ่องสอน (จากเดิม 332 บาท) ลำปาง (จากเดิม 332 บาท) สุโขทัย (จากเดิม 332 บาท) อุตรดิตถ์ (จากเดิม 335 บาท) กำแพงเพชร (จากเดิม 332 บาท) พิจิตร (จากเดิม 332 บาท) อุทัยธานี (จากเดิม 332 บาท) และราชบุรี (จากเดิม 332 บาท) 16.อัตราค่าแรงขั้นต่ำ 338 บาท จำนวน 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดตรัง (จากเดิม 332 บาท) น่าน (จากเดิม 328 บาท) พะเยา (จากเดิม 335 บาท) แพร่ (จากเดิม 332 บาท) 17.อัตราค่าแรงขั้นต่ำ 330 บาท จำนวน 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี และยะลา (จากเดิม 328 บาท)
นายไพโรจน์ กล่าวว่า หลังจากอัตราค่าจ้างขั้นต่ำดังกล่าวมีผลใช้บังคับในปี 2567 จะทำให้ประเทศไทยมีมีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเฉลี่ยอยู่ที่ 345 บาท/วัน โดยที่ประชุมได้พิจารณากำหนดบนพื้นฐานของความเสมอภาคและการหารือของแต่ละจังหวัด และการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในครั้งนี้ เป็นการปรับเพื่อให้แรงงานทั่วไปแรกเข้าทำงาน สามารถดำรงชีพอยู่ได้ตามสมควรแก่มาตรฐานการครองชีพ สภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน รวมทั้งเหมาะสมตามความสามารถของธุรกิจในท้องถิ่นนั้น โดยพิจารณาบนพื้นฐานของความเสมอภาค และรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย เพื่อให้นายจ้างและลูกจ้าง สามารถประกอบธุรกิจและดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างเป็นสุข
ด้านนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี คณะกรรมการไตรภาคี มีมติปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ 2-16 บาทว่า ขึ้นน้อยมาก ต้องขึ้นสูงกว่านี้ และว่า 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้น 2-3 บาท ซื้อไข่ลูกหนึ่งยังไม่ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ได้รับการปรับขึ้นมานาน แต่ขณะนี้ปรับเพียงแค่ 2 บาทจะมีการพิจารณาใหม่หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ตนก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ยอมรับว่าไม่สบายใจ ถึงอยากใช้เวทีนี้สื่อสารขอความเป็นธรรมให้กับพี่น้องแรงงาน ไม่อย่างนั้นจะติดกับรายได้ต่ำ ต้องคุยทั้งกับไตรภาคี และในครม. เพราะเรื่องค่าแรงขั้นต่ำเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล
3. ยูเนสโก ขึ้นทะเบียน “สงกรานต์ของไทย” เป็นมรดกโลกฯ ด้าน "อุ๊งอิ๊ง" เผย คกก.ซอฟท์พาวเวอร์เตรียมจัดสงกรานต์ทั้งเดือน เม.ย.ปีหน้า แต่ไม่ใช่สาดน้ำทั้งเดือน!
เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ได้พิจารณาประกาศขึ้นทะเบียน "สงกรานต์ในประเทศไทย" (Songkran in Thailand, traditional Thai New Year festival) เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Intangible Cultural Heritage-ICH) ในที่ประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 18 ที่เมืองคาเซเน สาธารณรัฐบอตสวานา
ซึ่งก่อนหน้านี้ ประเทศไทยเคยได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม มาแล้ว ได้แก่ "โขน" ขึ้นทะเบียนเมื่อปี พ.ศ.2561 "นวดไทย" ขึ้นทะเบียนเมื่อปี พ.ศ.2562 และ "โนรา" ขึ้นทะเบียนเมื่อปี พ.ศ.2564
สำหรับมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เป็นหมวดหมู่ในวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ หมายถึง การปฏิบัติ การแสดงออก ความรู้ ทักษะ ตลอดจนเครื่องมือ วัตถุ สิ่งประดิษฐ์ และพื้นที่ทางวัฒนธรรม ซึ่งมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของไทย ยังมีอีกหลายรายการเตรียมพิจารณาลงทะเบียนกับองค์การยูเนสโก
ด้านกระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ได้จัดงานใหญ่ฉลองสงกรานต์ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ ที่ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (กทม.) และวัดสุทัศนเทพวราราม เมื่อวันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา
เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ว่า “...อีกหนึ่งเรื่องใหญ่และน่าตื่นเต้น คือแผนงานใหญ่ปีหน้า วันสงกรานต์จะไม่ใช่แค่เทศกาลแบบในอดีตที่ผ่านมา แต่เราจะจัดงานใหญ่ มหาสงกรานต์ World Water Festival-The Songkran Phenomenon”
"เราจะปักหมุดให้สงกรานต์ในไทยปีหน้า เป็นเทศกาลที่คนทั้งโลกต้องบินมาเล่นที่บ้านเรา และสงกรานต์ปีหน้า เราจะไม่เล่นน้ำแค่ 3 วันนะคะ แต่จะจัดงานกันทั้งเดือน ทยอยจัดกันทั้งประเทศ 77 จังหวัด เตรียมวางแผนกันได้เลยนะคะว่าสัปดาห์ไหนของเดือนเมษายน อยากจะไปเล่นน้ำสงกรานต์กันที่จังหวัดไหนค่ะ มาร่วมกันทำให้สงกรานต์บ้านเรา เป็นเทศกาลที่ทั่วโลกต้องปักหมุดมาเล่นน้ำที่บ้านเรา และทำให้ประเทศไทยติด 1 ใน 10 ประเทศสุดยอดเฟสติวัลโลกค่ะ"
อย่างไรก็ตาม หลังจากมีบางฝ่ายออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมที่จะมีการเล่นน้ำสงกรานต์ทั้งเดือน ปรากฏว่า น.ส.แพทองธาร ได้ออกมาพูดใหม่ว่า "ส่วนตัวมองว่าก็คงจะหนาวเหมือนกัน หากสาดน้ำทั้งเดือน แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่แบบนั้น จะเป็นการจัดกิจกรรม 77 จังหวัดทั่วประเทศ โดยวันที่ 13-15 เม.ย. ที่เป็นวันสงกรานต์จะมีกิจกรรมเหมือนเช่นที่จัดขึ้นทุกปี เพียงแต่การจัดกิจกรรมที่จะจัดขึ้นตลอดทั้งเดือน เป็นการดึงนักท่องเที่ยว ให้มีจุดเที่ยวในประเทศไทยยาวนานขึ้น อยู่นานขึ้น นั่นคือจุดมุ่งหมาย การสาดน้ำ 30 วัน คงจะเป็นไปไม่ได้ มันไม่ใช่อย่างนั้น ขอให้ทุกคนไปอ่านให้ดี"
4. ศาล รธน. ให้เวลา "พิธา" แจงหุ้นไอทีวีถึง 12 ธ.ค. นี้ ก่อนไต่สวน 20 ธ.ค. ส่วนปมเสนอยกเลิก ม.112 ให้เวลาชี้แจงถึง 18 ธ.ค. ไต่สวน 25 ธ.ค.!
เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. ศาลรัฐธรรมนูญได้มีการพิจารณาคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ว่า สมาชิกภาพ สส.ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98(3) หรือไม่ จากกรณีเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ไอทีวี จำกัด มหาชน ซึ่งประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ อยู่ในวันสมัครรับเลือกตั้ง สส.แบบบัญชีรายชื่อ
ซึ่งคดีนี้ ศาลรัฐธรรมนูญได้สั่งรับคำร้องไว้พิจารณา และสั่งให้นายพิธา ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ สส. นับแต่วันที่ 19 ก.ค 66 จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย
ต่อมา นายพิธาได้ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา พร้อมบัญชีระบุพยานเอกสาร พยานบุคคล พยานวัตถุ และบัญชีระบุพยานบุคคลเพิ่มเติม ครั้งที่ 1 โดยศาลได้อนุญาตตามที่นายพิธาขอขยายระยะเวลาจัดทำบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นล่วงหน้า โดยให้จัดส่งภายในวันอังคารที่ 12 ธ.ค.นี้ เพื่อให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 64 วรรคหนึ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญต้องสำเนาแก่คู่กรณีฝ่ายอื่นเพื่อทราบ ก่อนวันนัดไต่สวนไม่น้อยกว่า 7 วัน จากนั้น อภิปรายเตรียมการไต่สวนในวันพุธที่ 20 ธ.ค.นี้ เวลา 9.30 น.
ส่วนคดีที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร อดีตทนายความของพระพุทธะอิสระ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ว่า การกระทำของนายพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกลในขณะนั้น ในฐานะผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ถูกร้องที่ 2 ที่เสนอร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้งและยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคหนึ่งหรือไม่
โดยคดีอยู่ระหว่างศาลรัฐธรรมนูญให้พยานบุคคลของผู้ถูกร้องทั้งสองและพยานผู้เชี่ยวชาญจัดทำบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วันนับแต่วันได้รับหนังสือ ซึ่งพยานบุคคลของผู้ถูกร้องทั้งสองยื่นคำร้อง ขอขยายระยะเวลายื่นบันทึกถ้อยคำข้อเท็จจริงหรือความเห็นออกไปอีก 10 วันนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญกำหนด ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้อภิปรายแล้วอนุญาตให้ขยายระยะเวลาถึงวันจันทร์ที่ 18 ธ.ค.นี้ และกำหนดนัดพิจารณาคดีต่อในวันพุธที่ 20 ธ.ค. ก่อนจะมีการไต่สวนพยานบุคคลในวันจันทร์ที่ 25 ธ.ค.
ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญแจ้งด้วยว่า การไต่สวนพยานบุคคลในทั้ง 2 คดีดังกล่าว คือวันที่ 20 ธ.ค. และ 25 ธ.ค.นี้ ศาลอนุญาตให้เฉพาะคู่กรณีและบุคคลที่เกี่ยวข้องเท่านั้นเข้าร่วมรับฟังการไต่สวน
5. ศาลแพ่ง สั่ง "อ.อ๊อด" ลบโพสต์ไลฟ์สดกล่าวหา "หนุ่ม กรรชัย" เป็นมาเฟียเจ้าพ่อ ด้าน "หนุ่ม" เตรียมฟ้องแพ่งต่อ เหตุ "อ.อ๊อด" ไม่สำนึก ยังอ้างตัวเองชนะคดี!
เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ได้นัดอ่านคำพิพากษา คดีที่นายภูดิท กำเนิดพลอย หรือหนุ่ม กรรชัย พิธีกรชื่อดัง อดีตนักแสดง เป็นโจทก์ฟ้องนายวีรชัย พุทธวงศ์ หรืออาจารย์อ๊อด นักวิชาการสาขาเคมีอินทรีย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นจำเลยฐานละเมิด
โดยโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 20-22 ม.ค.2566 และวันที่ 7 มี.ค.2566 จำเลยได้เผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จผ่านเว็บไซต์เฟซบุ๊กใช้ชื่อบัญชี Weerachai Phutdhawong ของจำเลย ซึ่งบุคคลทั่วไปสามารถอ่านแสดงความคิดเห็น แชร์หรือเผยแพร่ให้บุคคลอื่นได้ โดยจำเลยกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลาย ซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียง และทางทำมาหาได้ หรือทางเจริญของโจทก์ อันเป็นการละเมิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 423
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยไลฟ์สดและกล่าวข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กของจำเลย ซึ่งมีผู้ติดตามจำนวนมากที่มีข้อความที่ฟังแล้วเข้าใจได้ว่า โจทก์ ดารา ก.ไก่ ชื่อจริงอักษรย่อ ภ.สำเภา จัดรายการโหนๆ ที่เป็นแก๊งมาเฟีย ตัวตึงระดับเจ้าพ่อ ใช้สื่อในการแสวงหาผลประโยชน์ดันรายการให้ดังขึ้น ให้สังคมเละ ๆ เล่นกับความรู้สึกของสังคมที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ แล้วได้ค่าโฆษณา ขายของขายเซรั่ม ขายยาสระผม ยาย้อมผมขายไปกอบโกยผลประโยชน์เข้าสู่ตัวเอง ซึ่งไม่ปรากฏพยานหลักฐานได้ว่าโจทก์เป็นผู้มีพฤติการณ์ดังที่จำเลยกล่าวอ้าง พฤติการณ์และคำพูดดังกล่าว จึงแสดงถึงการไขข่าวโดยแพร่หลายซึ่งข้อความ อันฝ่าฝืนต่อความเป็นจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงและเกียรติคุณของโจทก์ จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์
จำเลยจึงต้องลบโพสต์ไลฟ์สดช่วงเวลาที่กล่าวถึงโจทก์ดังกล่าวออก และจากทางนำสืบโจทก์ จำเลยได้ไลฟ์สด และโพสต์ผ่านเว็บไซต์เฟซบุ๊ก โดยไม่ได้ลงข่าวหรือโฆษณาในหนังสือพิมพ์หรือเว็บไซต์สาธารณะอื่น จึงเห็นควรไม่กำหนดให้จำเลยประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์รายวันหรือเว็บไซต์ตามฟ้อง
สำหรับคำขอให้จำเลยโพสต์ข้อความขอโทษนั้น การกล่าวคำขอโทษ เป็นหนี้กระทำการของจำเลยโดยเฉพาะ ซึ่งมีใช่กรณีการใช้คำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาหรือการจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงาน และมิใช่กรณีที่อาจให้บุคคลอื่นดำเนินการแทนได้ ต้องเป็นการกระทำที่จำเลยดำเนินการโดยตรง คำขอในส่วนนี้จึงไม่เปิดช่องให้บังคับได้ ทั้งโจทก์มิได้มีคำขอเรียกค่าเสียหาย จึงไม่อาจกำหนดค่าเสียหายให้ได้
พิพากษาให้จำเลยลบโพสต์ที่มีข้อความพาดพิงถึงโจทก์ออกจากเฟซบุ๊ก ชื่อบัญชี WeerachaiPhutdhawong กับให้จำเลยจ่ายค่าทนายความจำนวน 5,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา นายวีรชัย ได้โพสต์ว่า คดีดังกล่าวตนชนะและพอใจในภาพรวม โดยนายวีรชัย ให้เหตุผลที่อ้างว่า ตนเป็นฝ่ายชนะคดีว่า เนื่องจากคู่กรณีฟ้องมา 4 ข้อและมีคำขอท้ายฟ้องอีก 1 ข้อ โดย 3 ข้อแรก ศาลยกฟ้อง ซึ่งทนายฝั่งตนสู้ในประเด็นว่าเป็นการฟ้องซ้ำ เมื่อศาลยกฟ้อง ตนเลยมองว่าตนเป็นฝ่ายชนะ จะมีแพ้ก็ข้อที่ 4 ที่ศาลสั่งให้ลบคลิปและจ่ายค่าทนาย 5,000 บาท แต่คลิปดังกล่าวเป็นคลิปไลฟ์ซึ่งอยู่ได้ 30 วัน ซึ่งก็ถูกลบไปแล้ว และเรื่องจ่าย 5,000 บาท ตนก็ยินดี ส่วนคำขอท้ายคำฟ้องที่คู่กรณีให้ขอขมาผ่านสำนักข่าว 7 สำนัก เป็นเวลา 7 วันนั้น ศาลก็ยกคำขอ มุมมองตนเลยมองว่าตนเป็นฝ่ายชนะ
ด้านหนุ่ม กรรชัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจ "หนุ่ม กรรชัย" ระบุว่า "ผมขออนุญาตแจ้งข่าวในคดี เพื่อเป็นการป้องกันการเข้าใจผิดจากบุคคลบางท่านนะครับ จากกรณีที่ผมได้มีการฟ้องร้องอาจารย์ท่านหนึ่งในหลายคดี ทั้งอาญาและแพ่ง และในวันนี้ในส่วนของคดีแพ่งนั้น ศาลท่านได้พิพากษาแล้วนะครับว่า ผมได้ถูกจำเลยท่านนั้นกระทำผิดโดยการละเมิดจริงในการพูดจาให้ร้ายผมต่างๆ นานา เพื่อทำให้ผมเสียหาย การฟ้องแพ่งครั้งนี้ผมไม่ได้เรียกร้องเป็นตัวเงินไป เพราะอยากให้เห็นว่าผมไม่ได้ต้องการตัวเงิน แต่ผมต้องการความเป็นธรรมจากขบวนการยุติธรรมและจากศาล เพื่อจะพิสูจน์ให้เห็นว่าบุคคลทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย และผมจะได้นำเอาคำพิพากษาศาลแพ่งนี้ แถลงเข้าไปในคดีอาญาตามกระบวนการต่อไปด้วย
"ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนนะครับว่า ถึงแม้จำเลยจะไม่ได้เอ่ยชื่อตัวโจทก์ แต่ความเชื่อมโยงที่จำเลยได้มีการพูดซ้ำๆ และโยงไปหลากหลายประเด็นก็สามารถชี้ให้เห็นได้ว่าเขาละเมิด มีเจตนาไม่สุจริต ทำให้โจทก์เสียหาย และผมกำลังหารือกับที่ปรึกษาทางกฏหมายว่าจะฟ้องแพ่งครั้งต่อไป เพราะบุคคลท่านนี้ไม่สำนึก และยังทำตัวเป็นศูนย์กลางของจักรวาลเกินไป ซึ่งในคดีต่อไป ผมจะเรียกค่าเสียหายเป็นตัวเงินด้วย เพราะผมรู้สึกว่าจำเลยไม่ได้สำนึกในการกระทำความผิดแม้แต่น้อย ถึงแม้ศาลแพ่งจะมีคำพิพากษาว่าจำเลยผิดแล้วก็ตาม"
ขณะที่นายวิรชัย ได้กล่าวถึงกรณีที่หนุ่ม กรรชัย ระบุว่าจะฟ้องแพ่งต่อว่า ไม่เข้าใจว่าจะฟ้องแพ่งต่อได้อย่างไร เพราะคดีดังกล่าวก็เป็นคดีแพ่งที่ศาลได้พิพากษาไปแล้ว และว่า ที่ศาลได้ยกฟ้อง 3 ข้อนั้น ตนกำลังให้ทนายความพิจารณาว่าจะฟ้องกลับฐานกลั่นแกล้งได้หรือไม่