ผู้โดยสารรถเมล์ไทยสมายล์บัสฝั่งธนบุรีเดือดร้อน เหตุพนักงานหยุดวิ่งสไตรก์เมื่อเช้า ไทยสมายล์บัสแจงเกิดจากการสื่อสารภายในอู่ขัดข้อง ล่าสุดกลับมาเดินรถเมื่อ 11 โมงเช้า ส่วนกรมการขนส่งทางบก ไม่อินังขังขอบใดๆ
วันนี้ (8 ธ.ค.) ฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด ส่งเอกสารชี้แจงว่า เรียนท่านผู้โดยสารที่เคารพ บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด ขอให้ข้อมูลกรณีเหตุการณ์ขัดข้องซึ่งทำให้การเดินรถเกิดความไม่สะดวกต่อผู้ใช้บริการบางส่วนในช่วงเช้าที่ผ่านมา เนื่องจากมีเหตุขัดข้องทางการสื่อสารภายในบางอู่ หลังมีการปรับใช้ระบบกำกับการเดินรถ (Fleet Management) ซึ่งจะเข้ามาช่วยควบคุมดูแลให้รถทุกคันวิ่งเลนซ้ายภายใต้ความเร็วที่กฎหมายกำหนด และเข้าป้ายรับผู้โดยสารอย่างครบถ้วน กรณีพนักงานไม่จอดรับผู้โดยสารจะมีการตัดเงินในระบบทันที แต่ด้วยความคลาดเคลื่อนจากการสื่อสาร เกิดความเข้าใจที่ไม่ตรงกันของพนักงาน และบางกลุ่มไม่อยากปรับตัวกับการยกระดับบริการขนส่งสาธารณะ ส่งผลให้การออกเดินรถบางเส้นทางเกิดความล่าช้าจนกระทบถึงผู้โดยสาร โดยทางบริษัทได้ดูแลปัญหาที่เกิดแล้ว พร้อมออกให้บริการเดินรถตามปกติได้ทุกเส้นทาง 100%
อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทขออภัยในความไม่สะดวกครั้งนี้ และขอยืนยันว่า TSB รับฟังทุกข้อร้องเรียนของผู้โดยสาร พร้อมขอสัญญาจะทำทุกวิถีทางเพื่อยกระดับการให้บริการขนส่งมวลชนแก่พี่น้องประชาชนทุกคนอย่างดีที่สุด ทั้งความปลอดภัย ความสะดวกในการเดินทาง
ทั้งนี้ หากมีผู้โดยสารท่านใดได้รับความไม่สะดวกจากการให้บริการของพนักงาน ขอให้แจ้งข้อมูลหมายเลขข้างรถ กับสายรถที่ใช้บริการ เข้ามาที่ Call Center หมายเลข 0-2405-9789 กด 1 โดยทางบริษัทจะดำเนินการลงโทษด้วยมาตรการสูงสุดในทันที
รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาพนักงานขับรถและพนักงานเก็บค่าโดยสาร สาย 75 วัดพุทธบูชา-หัวลำโพง สาย 6 พระประแดง-บางลำพู และสาย 82 พระประแดง-สนามหลวง นัดรวมตัวประท้วงและหยุดการเดินรถ ส่งผลกระทบต่อผู้โดยสารถนนพุทธบูชา ถนนประชาอุทิศ ถนนราษฎร์บูรณะ ถนนสุขสวัสดิ์ ถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน ถนนเจริญนคร และฝั่งธนบุรีที่รอรถสายดังกล่าว เมื่อรถเมล์ไม่มา ต้องเปลี่ยนไปใช้การเดินทางแบบอื่น มาทำงานสายขึ้น ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เพราะมีผู้ประกอบการเพียงรายเดียว ตามนโยบาย 1 เส้นทาง 1 ผู้ประกอบการ ของกรมการขนส่งทางบก ภายหลังกลับมาเดินรถอีกครั้งเมื่อเวลา 11.00 น.ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่องดังกล่าว กรมการขนส่งทางบกยังคงไม่มีท่าทีใดๆ