"สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม" เผยสาเหตุแยกทางท็อปนิวส์เพราะรับไม่ได้ที่ลูกน้องทักไลน์ให้หยุดจัดรายการพาดพิงสปอนเซอร์ช่อง ตอบโต้สื่อค่าย SPACEBAR มั่วโยง "คีรี กาญจนพาสน์" ลั่น "ผมฟ้องคุณได้" แต่ไม่ทำเพราะไม่ใช่ทาง อีกด้าน "ฉัตรชัย" ผู้บริหารท็อปนิวส์อัดฉีดพนักงานขึ้นเงินเดือน-จ่ายโบนัสปลุกขวัญ
วันนี้ (19 พ.ย.) นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สถานีข่าวท็อปนิวส์ ได้เปิดเผยเบื้องหลังการลาออกจากท็อปนิวส์ ผ่านเฟซบุ๊กใหม่ที่มีชื่อว่า "สนธิญาณ story" เมื่อคืนวันที่ 18 พ.ย. ความยาวประมาณ 38 นาที สาระสำคัญระบุว่า เกิดจากการจัดรายการที่ชื่อว่า ชัด ครบ จบ จริง ทางสถานีโทรทัศน์ท็อปนิวส์ เมื่อวันที่ 11 พ.ย. กล่าวถึงนักธุรกิจรายหนึ่งที่ได้รับสัมปทานจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังจากนั้นมีลูกน้องของตนที่อยู่กันมา 20-30 ปี ส่งไลน์มาว่าทำไมไปด่าอย่างนั้น ไม่นึกถึงชีวิตพนักงาน 300 คนเหรอ ขอให้หยุดจัดรายการได้ไหม หรือไม่ก็มานั่งพูดคุยประชุมกัน
ทั้งนี้ ตนทำใจไม่ได้ เพราะในแผนงานของฝ่ายบริหารเมื่อมีการประชุมที่ผ่านมา ท็อปนิวส์จะมีรายได้จากนายทุนรายดังกล่าวหลายสิบล้านบาท ทำให้สถานีอยู่รอดได้ ซึ่งตนไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ ตนต้องการเร่งเพิ่มทุน ขายหุ้นกู้ จำหน่ายสินค้า และรายได้จากโซเชียลมีเดียมากขึ้น แต่ที่ประชุมน้ำหนักไม่มาทางตน จึงกล่าวกับฝ่ายบริหารว่าจะลาออกจากท็อปนิวส์ล่วงหน้า ถ้าไม่ใช่สิ้นปีนี้ก็เดือน ก.พ. 2567 เพราะต้องเดินทางไปประเทศจีน ทริปตามรอยสามก๊ก ซึ่งได้โฆษณาไปแล้ว และเชิญชวนผู้ชมที่สนับสนุนท็อปนิวส์ไป แม้จะมีความรู้สึกอะไรภายในก็ต้องไป ตนก็พูดแบบเดียวกับที่จัดรายการ เรื่องแผนการลาออกตนได้บอกกับผู้บริหารและลูกของตน ที่ผ่านมาเคยบอกว่าจากกันด้วยดี แต่ที่พูดเช่นนี้เพราะผู้บริหารรายหนึ่งบอกให้ตนหยุดจัดรายการ เท่ากับไม่ต้องการเปิดโปงบริษัทดังกล่าว แม้ผู้บริหารจะไลน์มาเพียงคนเดียว แต่ผ่านการปรึกษาหารือกับผู้บริหารคนอื่นมาก่อน จากนั้นผู้บริหารคนอื่นๆ ก็โทรศัพท์มาบอกว่า ที่ผู้บริหารคนดังกล่าวสั่งให้หยุดจัดรายการนั้นเป็นปืนลั่น ตนก็กล่าวว่าไม่เกี่ยว อยู่ที่เจตนาต่างหาก
นอกจากนี้ นายสนธิญาณยังตอบโต้สื่อมวลชนค่ายหนึ่งที่ชื่อว่า THE SPACEBAR มาก้าวล่วงตน เนื้อหาที่ตีพิมพ์ตนสามารถฟ้องได้ แต่ไม่ฟ้องเพราะไม่ใช่นิสัยตน ไปพาดหัวใช้คำว่า อนาคตท็อปนิวส์หลังสนธิญาณแปรพักตร์ โดยใช้ภาพนายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทบีทีเอส ตนถามว่าแปรพักตร์อย่างไร ในชีวิตตนมีเจ้านาย 3 คน คือ นายสุนทร คงคาชัยพันธ์ นายประชา มาลีนนท์ และ ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา นอกนั้นถือเป็นเพื่อนร่วมงาน ใครจะมีมุมมองอย่างไรตนก็ยกเอาไว้เหนือหัวในฐานะผู้มีพระคุณ ที่กล่าวหาว่าไปคืนดีกับพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง และท็อปนิวส์เป็นของนายคีรีนั้นไม่จริง นายคีรีเคยจ้างบริษัทในฐานะที่ปรึกษาเท่านั้น อีกทั้งนายคีรีไม่ได้เป็นผู้สนับสนุนหลักของท็อปนิวส์ สิ่งที่กล่าวมานั้นบิดเบือนและจะนำพาไปสู่การฟ้องร้องได้ ส่วนเรื่องที่ตนไปเข้าหานักการเมืองรายหนึ่ง เพื่อช่วยเจรจากับกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ให้รับมอบงานสารคดีของบริษัท กรีนเน็ต 1282 จำกัด นั้นไม่จริง เพราะตนและนักการเมืองคนดังกล่าวไม่เคยพูดคุยกันเรื่องนี้ และมีการโปรดเกล้าฯ รัฐมนตรีหลังจบสัญญาแล้ว
ในตอนหนึ่ง นายสนธิญาณกล่าวว่า เพื่อนกล่าวกับตนว่าจะไปโกรธนายทุนรายนั้นทำไม ตนกล่าวว่าไม่ได้โกรธอะไรเพราะไม่มีเรื่องส่วนตัว ตนเป็นแค่เศษดินเล็กๆ เมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของเขา แต่ตนไม่คบคนแบบนี้ เมื่อกลุ่มคนเหล่านี้มาซื้อโฆษณาและยอดที่ทำให้ท็อปนิวส์อยู่ได้ จึงเป็นสิ่งที่ตนลาออก น้องๆ ในท็อปนิวส์ไม่มีใครโทร.หาตน ไม่เป็นไร นี่ไม่ใช่การทำลายท็อปนิวส์ หวังว่าการพูดวันนี้จะทำให้ท็อปนิวส์ยืนหยัดอยู่ในจุดยืนที่ควรจะเป็น น้องๆ กล่าวว่ายังไม่มีใครสั่งให้พูดอะไรเลย แต่กับตนยังกล้าสั่งให้หยุดพูด ทั้งๆ ที่ตนเป็นคนที่ทำให้บริษัทเกิดขึ้น คนที่นำพาในยามทุกข์ยากมาด้วยกัน ความสัมพันธ์ 20-30 ปีถือว่าไม่มีความหมาย ถ้าเพื่อการอยู่รอดก็ไม่เป็นไร เราก็จากกันด้วยดี ไม่มีโกรธเคือง แต่ในทางส่วนตัวเมื่อเลือกยืนอยู่คนละข้างแสดงว่าชีวิตไม่อาจบรรจบกันได้แล้ว ไม่แปลกที่รับโฆษณาเพราะทุกสื่อรับหมด แต่สำหรับตนจะให้ทำใจยังไง ฐานที่มั่นสุดท้ายของตนคือสถาบันทิศทางไทย เราก็อยู่ได้ 40-50 คน
รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า สำหรับสาเหตุที่ทำให้นายสนธิญาณตัดสินใจลาออก เพราะที่ผ่านมานายสนธิญาณกล่าวพาดพิงถึงนายทุนรายหนึ่งที่เป็นเจ้าของบริษัทซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้งการจัดรายการโทรทัศน์ และทริปโปรแกรมทัวร์ ล่องแม่น้ำแยงซีเกียงตามรอยสามก๊ก กับบริษัท อะราวด์ เดอะ เวิลด์ จำกัด ของนายเถกิง สมทรัพย์ ปรากฏว่านายสนธิญาณกล่าวพาดพิงถึงนายทุนคนดังกล่าว ทำให้มีลูกทัวร์ไม่พอใจ เข้าไปต่อว่าบริษัท อะราวด์ เดอะ เวิลด์ ปัญหาดังกล่าวทำให้มีการประชุมระหว่าง นายฉัตรชัย ภู่โคกหวาย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ท็อปนิวส์ ดิจิตัล มีเดีย จำกัด, นางลักขณา รัตน์วงศ์สกุล กรรมการบริษัท ซึ่งเป็นภรรยานายกนก รัตน์วงศ์สกุล และนายเอกชัย ชัยเชิดชูกิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ได้ข้อสรุปว่าให้นายสนธิญาณหยุดจัดรายการไว้ก่อน เพราะสถานีจำเป็นต้องรักษาสปอนเซอร์เอาไว้ เป็นชนวนเหตุให้นายสนธิญาณไม่พอใจและลาออกดังกล่าว
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 17 พ.ย. นายฉัตรชัย ภู่โคกหวาย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ท็อปนิวส์ ดิจิตัล มีเดีย จำกัด ได้กล่าวกับพนักงานระหว่างการจัดเลี้ยงเล็กๆ ภายในบริษัท ซึ่งมีนายนพดล พรหมภาสิต หรือรอยตุ๊ แกนนำกลุ่มปกป้องสถาบันฯ นำอาหารจากร้านแซ่บไบร์ท ของนายชินวัตร จันทร์กระจ่าง มาเลี้ยงแก่พนักงาน โดยนายฉัตรชัยกล่าวว่า ทางผู้บริหารมีมติเห็นสมควรปรับขึ้นเงินเดือนให้พนักงานทุกคน และมีมติให้โบนัสประจำปี เพื่อมอบเป็นของขวัญให้แก่พนักงาน ที่ผ่านมาท็อปนิวส์เปรียบเสมือนเรือลำหนึ่ง ที่กำลังแล่นอยู่กลางมหาสมุทร เป็นปกติที่เรือลำนี้ต้องฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการ แต่จะทำอย่างไรให้เรือลำนี้ล่องไปให้ถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย นั่นก็คือคนที่อยู่ในเรือลำนี้กว่า 200-300 ชีวิตต้องช่วยกัน ที่สำคัญ จงเชื่อมั่นนายเรือว่าไม่มีวันทิ้งทุกคนบนเรือให้โดดเดี่ยว แต่เราทุกคนบนเรือต้องช่วยกัน การช่วยกันที่ว่านี้ก็คือ ต้องรัก สมัครสมานสามัคคีกัน เพื่อจะเป็นพลังก้าวต่อไปด้วยกัน