1."เศรษฐา" เคาะแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่น ให้คนเงินเดือนไม่ถึง 7 หมื่น-เงินฝากต่ำกว่า 5 แสน เล็งออก พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้าน ด้าน "ไหม" เชื่อ สุดท้ายไม่ได้แจก เหตุขัด ก.ม.!
เมื่อวันที่ 10 พ.ย. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้แถลงรายละเอียดโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตให้ประชาชนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สรุปว่า รัฐบาลจะอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจรวมมูลค่า 6 แสนล้านบาท ผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 5 แสนล้านบาท ครอบคลุม 50 ล้านคน และอีก 1 แสนล้านบาท ในกองทุนเพิ่มขีดความสามารถ
โดยโครงการดิจิทัลวอลเล็ต จะแจกเงิน 1 หมื่นบาท ให้ประชาชนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ที่มีเงินเดือนน้อยกว่า 7 หมื่นบาท หรือเงินฝากทุกบัญชีรวมกันน้อยกว่า 5 แสนบาท สามารถใช้จ่ายได้ในระดับอำเภอที่มีทะเบียนบ้านอยู่ ในช่วงเวลา 6 เดือน สามารถใช้ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคได้เท่านั้น ไม่สามารถซื้อสินค้าออนไลน์ หรือสินค้าที่มีแอลกอฮอล์-ส่วนผสมของกัญชา หรือกระท่อมได้ แลกเป็นเงินสดไม่ได้
สำหรับแหล่งเงินทุนมาจากการออก พ.ร.บ.เป็นวงเงิน 5 แสนล้านบาท โดยให้กฤษฎีกาดูรายละเอียดเพื่อให้รัฐบาลกู้เงินในจำนวนดังกล่าว เพื่อเสนอต่อรัฐสภา โดยจะมีการระบุจุดประสงค์ของการกู้เงินให้ชัดเจน และคาดว่า รัฐสภาจะให้การอนุมัติ รวมทั้งจะไม่ส่งผลกระทบต่อวินัยการเงินการคลัง และจะใช้แอปฯ เป๋าตัง ในการแจกเงินดิจิทัล โดยมีระบบบล็อกเชนอยู่เบื้องหลัง
จะใช้เวลาในการให้กฤษฎีกาตีความข้อกฎหมายปลายปีนี้ หลังจากนั้น จะเข้าสู่สภาช่วงต้นปีหน้า และเปิดให้ประชาชนใช้เดือนพฤษภาคมปีหน้า
“โดยรัฐบาลจะมอบสิทธิการใช้จ่าย 10,000 บาท ให้คนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ที่มีรายได้ไม่ถึง 7 หมื่นบาทต่อเดือน และมีเงินฝากต่ำกว่า 5 แสนบาท เพื่อความชัดเจน ประโยคนี้แปลว่า ถ้ารายได้เกิน 7 หมื่นบาท แต่มีเงินฝากน้อยกว่า 5 แสนบาท ก็จะไม่ได้รับสิทธิ หรือถ้ารายได้น้อยกว่า 7 หมื่นบาท แต่มีเงินฝากมากกว่า 5 แสนบาท ก็จะไม่ได้รับสิทธิเช่นกัน”
“พร้อมๆ กันนั้น เราจะใช้เงินในการเพิ่มขีดความสามารถ ภายใต้งบ 1 แสนล้านบาท และส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ ...ผมยังยืนยันความตั้งใจที่จะให้คนไทยทุกคนมีส่วนร่วมในการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้ เพราะฉะนั้น รัฐบาลจะออกโครงการ e-Refund ให้คนไทยสามารถลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลจากการซื้อสินค้าและบริการมูลค่าไม่เกิน 50,000 บาท โดยให้ใบกำกับภาษี มาประกอบการยื่นภาษีบุคคล และรัฐจะคืนเงินภาษีให้ท่าน เพราะฉะนั้น คนที่ไม่ได้รับสิทธิดิจิทัลวอลเล็ต ก็สามารถเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการนี้ได้ และจะทำให้ร้านค้าเข้าระบบภาษีดิจิทัลมากขึ้นด้วย”
ด้าน น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์หลังนายเศรษฐาแถลงรายละเอียดโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาทว่า ท้ายที่สุดอาจไม่มีใครได้เงินจากโครงการนี้เลย เพราะเสี่ยงขัดต่อกฎหมาย ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 140 และขัดต่อ พ.ร.บ.วินัยการเงิน การคลัง มาตรา 53 ที่มีการระบุว่า หากใช้เงินที่ไม่ได้เป็นไปตามงบประมาณปกติ จะทำได้กรณีมีความจำเป็นเร่งด่วนเท่านั้น แต่วันนี้ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนอะไร
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวด้วยว่า ที่ต้องออกมาพูด เพราะการออก พ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท มีความสุ่มเสี่ยงจริงๆ เหมือนกับกรณี พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท อย่างชัดเจน ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตีตกว่าไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน ดังนั้น รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้ ตนตั้งข้อสังเกตว่า การที่รัฐบาลเลือกทางนี้ เพราะไม่ต้องการให้โครงการนี้สำเร็จ แต่ต้องการให้เข้าทางนักร้องต่างๆ เพื่อหาทางลงให้สวยงามของโครงการที่มาถึงทางตันโดยสมบูรณ์แล้ว ตนไม่ได้เห็นด้วยกับการร้องศาลรัฐธรรมนูญเรื่องนี้ แต่ขอให้รัฐบาลได้แสดงความรับผิดชอบทางการเมืองโดยการให้กฤษฎีกาตีความ
“รัฐบาลเองน่าจะเห็นแล้วว่าไม่มีทางที่จะไปได้จริงๆ ทางเลือกนี้เป็นการหาทางลงมากกว่าที่จะเดินหน้าโครงการนี้จริงๆ ถ้ากฤษฎีกาตีความเข้าข้างให้ผ่าน และ ส.ส. ในสภาก็ให้ผ่าน สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือภาระหนี้ในแต่ละปีงบประมาณที่จะเพิ่มขึ้นปีละ 5 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 15% ของงบรายจ่ายประจำปี ซึ่งจะเป็นภาระงบประมาณอย่างใหญ่หลวง สิ่งที่รัฐบาลทำวันนี้จะทำภาระดอกเบี้ยเกิน 10% ในงบประมาณปี 68 ทันที ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลไม่ได้พูดถึงทั้งเรื่องภาระหนี้ และภาระดอกเบี้ย ความเสี่ยงนี้จะไม่เกิดขึ้นหาก พ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท ถูกทำแท้งตั้งแต่ต้นโดยกฤษฎีกา”
2.กสทช.ไฟเขียว "AIS-3BB" ควบรวมกิจการ ด้าน "สภาผู้บริโภค" ผิดหวัง กสทช.สร้างภาระให้ผู้บริโภคต้องจ่ายแพงขึ้น!
เมื่อวันที่ 10 พ.ย. คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้มีมติ 4 ต่อ 1 เสียง อนุญาตให้มีการรวมธุรกิจระหว่างบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (AWN) ในเครือ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (AIS) และ บมจ.ทริปเปิลที บรอดแบนด์ (3BB)
ทั้งนี้ กรรมการ กสทช. 4 คน ได้แก่ พล.อ.ท.ดร.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ, รศ.ดร.พิรงรอง รามสูต, รศ.ดร.ศุภัช ศุภชลาศัย และ รศ.ดร.สมภพ ภูริวิกรัยพงศ์ ได้แถลงถึงมติ กสทช. ดังกล่าวว่า แม้ว่าการรวมธุรกิจครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาดอินเตอร์เน็ตประจำที่ (fixed broadband) แต่ระดับผลกระทบอยู่ในวงจำกัด และมาตรการเฉพาะสามารถชดเชยผลกระทบได้
โดย รศ.ดร.ศุภัช กล่าวว่า หลังจาก กสทช. มีมติอนุญาตให้มีการรวมธุรกิจระหว่าง AWN และ 3BB แล้ว จะทำให้ผู้ประกอบการในธุรกิจอินเตอร์เน็ตประจำที่ ลดจาก 4 รายใหญ่เหลือ 3 รายใหญ่ คือ AIS-3BB ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาด 41%, ค่าย TRUE ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาด 35% และค่าย NT (บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ) ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาด 16-17% ส่วนรายจิ๋วรายเล็ก มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 2% ซึ่งทำให้ค่า HHI (ดัชนีที่ใช้วัดการกระจุกตัว) สูงขึ้น
รศ.ดร.ศุภัช กล่าวอีกว่า จากผลการศึกษาของที่ปรึกษาฯ ทั้งในและต่างประเทศ และผลการศึกษาของสำนักงาน กสทช. เอง พบว่า การรวมธุรกิจระหว่าง AWN และ 3BB นั้น มีทั้งผลการศึกษาฯ ที่ระบุว่า จะทำให้ค่าบริการเพิ่มขึ้น และผลการศึกษาฯ ที่ระบุว่า จะทำให้ค่าบริการลดลง โดยผลการศึกษาของสำนักงาน กสทช. พบว่า หากมีการแข่งขันกัน จะทำให้ค่าบริการเพิ่มขึ้นไม่เกิน 1% จากปัจจุบัน แต่หากมีการแข่งขันระดับปานกลาง ค่าบริการจะเพิ่มขึ้น 4% และหากทั้ง 3 ราย คือ AIS-3BB , TRUE และ NT มีการฮั้วกัน จะทำให้ค่าบริการเพิ่มขึ้น 16% แต่เชื่อว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ เพราะ NT ไม่น่าจะไปร่วมฮั้วราคาด้วย
อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.ศุภัช กล่าวว่า ในเรื่องควบคุมราคาค่าบริการนั้น กสทช.ได้กำหนดมาตรการเฉพาะ ให้ AWN และ 3BB ห้ามขึ้นค่าราคาค่าบริการ ต้องรักษาคุณภาพบริการ และต้องคงแพ็คเกจที่มีราคาถูกสุดเป็นเวลาอย่างน้อย 5 ปี เป็นต้น แตกต่างจากกรณีการควบรวม TRUE และ DTAC ที่ใช้วิธีหาราคาเฉลี่ย ซึ่งแม้ว่าจะทำให้ราคาค่าบริการต่อแพ็คเกจลดลง เพราะมีการให้ปริมาณการใช้งานอินเตอร์เน็ตเพิ่มขึ้น แต่กลับพบว่าแพ็คเกจที่มีราคาถูกสุดหายไป
นอกจากนี้ กสทช.ได้กำหนดมาตรการส่งเสริม ให้ผู้ประกอบการที่ไม่มีโครงข่ายสามารถเข้ามาใช้โครงข่ายของผู้ที่ขอรวมกิจการ โดยได้รับสิทธิเงื่อนไขในการเข้าใช้โครงข่ายได้เช่นเดียวกับผู้รับใบอนุญาตที่เกิดขึ้นจากการรวมธุรกิจ ซึ่งจะทำให้มีผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตประจำที่ ในระดับพื้นที่เพิ่มขึ้น
ด้านสภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค) ได้ออกแถลงการณ์แสดงความผิดหวังต่อมติของกสทช.ที่อนุญาตให้ AWN บริษัทในเครือ AIS และ 3BB ควบรวมกิจการได้ โดยชี้ว่า การลงมติดังกล่าวเป็นมติที่ไม่รักษาผลประโยชน์ผู้บริโภค คือแทนที่ กสทช. จะป้องกันปัญหาการผูกขาด กลับสร้างภาระให้ผู้บริโภคต้องจ่ายแพงขึ้น และว่า ตลาดด้านโทรคมนาคมในประเทศกำลังเดินเข้าสู่ภาวะการผูกขาดมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเกิดจากการที่คณะกรรมการ กสทช. ชุดนี้เปิดทางให้มีการควบรวมกิจการโทรคมนาคมระดับยักษ์ใหญ่ถึง 2 ครั้ง ภายในระยะเวลา 1 ปี 1 เดือน
3. ศาลคดีทุจริตพิพากษาจำคุก 4 ตำรวจ สน.ห้วยขวาง 5 ปี คดีรีดเงินดาราสาวไต้หวัน พร้อมสั่งริบเงินที่ไถมา 2.7 หมื่น ยกฟ้องตำรวจ 2 นาย!
เมื่อวันที่ 8 พ.ย. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้นัดฟังคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ร.ต.อ.ยอดฤทธิ์ ลางคุลเสน อดีตรองสวป.สน.ห้วยขวาง กับพวกเป็นจำเลยที่ 1-6
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2566 เวลากลางคืน จำเลยทั้งหมดซึ่งเป็นตำรวจปฏิบัติหน้าที่ตั้งจุดตรวจบริเวณหน้าสถานทูตจีน จำเลยที่ 2 สังเกตเห็นรถยนต์มีลักษณะต้องสงสัยจึงส่งสัญญาณให้จอดเพื่อให้จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 6 ทำการตรวจ โดยมีจำเลยที่ 1-3 อยู่ร่วมกันในบริเวณดังกล่าว พบกลุ่มคน (น.ส.อัน หยู ฉิง ดาราสาวชาวไต้หวันและเพื่อน) โดยมีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในครอบครอง 3 อัน ซึ่งเป็นสินค้าต้องห้ามน้ำเข้ามาในราชอาณาจักร และเป็นชาวต่างชาติไม่สามารถแสดงหนังสือเดินทาง หรือหลักฐานอื่นใดว่า ได้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
จากนั้นจำเลยที่ 1-6 ได้ร่วมกันเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินเป็นเงินสดจำนวน 27,000 บาท จากนาย ป. ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มคนต่างชาติเพื่อให้ไม่ต้องถูกดำเนินคดี นาย ป. จึงจำยอมส่งมอบเงินจำนวน 27,000 บาท ให้กับจำเลยที่ 3 จากนั้นจำเลยที่ 1-2 จึงสั่งให้ปล่อยตัวนาย ป. กับพวกออกจากจุดตรวจไปโดยไม่ได้ดำเนินการตามกฎหมายกับนาย ป. กับพวกแต่อย่างใด ขอให้ลงโทษพวกจำเลยตามความผิด และขอให้สั่งริบเงินจำนวน 27,000 บาทที่จำเลยที่ 1-6 ได้มาจากการกระทำความผิดให้ตกเป็นของแผ่นดิน
ทั้งนี้ ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1-4 จึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกัน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149, 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172, 173
ส่วนที่จำเลยที่ 1 อ้างว่า ขณะเกิดเหตุปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่รถยนต์สายตรวจห่างออกไป 30 เมตร ไม่ได้เข้ามาพูดคุยหรือรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ปรากฎข้อเท็จจริงจากคำเบิกความของจำเลยที่ 3 ว่า ขณะตรวจค้นตัวนาย ป. จำเลยที่ 3 เดินไปหาจำเลยที่ 1 เพื่อรายงานให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการทราบ หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 บอกว่า ให้จำเลยที่ 2 ใช้ดุลยพินิจตัดสินใจได้ เพราะจำเลยที่ 2 เป็นหัวหน้าชุดเหมือนกัน ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ในฐานะหัวหน้าชุดปฏิบัติการย่อมต้องรับรู้และรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและไม่อาจปฏิเสธความรับผิดได้
สำหรับจำเลยที่ 5-6 ปรากฎข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนว่า ตามวันเวลาที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 5 ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ด้านหน้าสุดของจุดตรวจ มีหน้าที่คัดกรองรถต้องสงสัย เพื่อส่งต่อให้เจ้าพนักงานตำรวจที่อยู่ด้านหลังห่างกันประมาณ 35 เมตร จำเลยที่ 5 เป็นผู้เรียกให้รถยนต์คันที่ผู้เสียหายทั้งสี่นั่งมาเพื่อขอตรวจค้น เมื่อส่งสัญญาณให้รถคันดังกล่าวจอดแล้ว ดาบตำรวจ อ. ได้รับรถคันดังกล่าวไปดำเนินการต่อ โดยที่จำเลยที่ 5 ได้ปฏิบัติหน้าที่ตรงจุดที่รับผิดชอบต่อไป ไม่ได้เดินไปที่จุดตรวจที่อยู่ด้านหลังจนกระทั่งเลิกจุดตรวจ จากพยานหลักฐานที่ปรากฏ ไม่มีข้อเท็จจริงใดที่จะบ่งซี้ว่า จำเลยที่ 5 เข้าไปมีส่วนร่วมใกล้ชิดในการกระทำผิดที่เกิดขึ้น
ส่วนจำเลยที่ 6 ปรากฎข้อเท็จจริงว่า ตามวันเวลาที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 6 รับผิดชอบประจำอยู่ตรงจุดตรวจ ทำหน้าที่ตรวจค้นรถและตัวบุคคลคู่กับจำเลยที่ 4 โดยจำเลยที่ 6 เป็นคนแจ้งให้กลุ่มผู้เสียหายลงจากรถและทำการตรวจค้น ระหว่างนั้นผู้เสียหายที่เป็นผู้หญิงได้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ถ่ายภาพ จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 6 จึงห้ามไม่ให้ถ่ายภาพ และขอให้ลบข้อมูลออก จนเกิดการโต้เถียงกัน จนจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ได้เดินเข้ามาพูดคุยกับกลุ่มผู้เสียหายแทน จำเลยที่ 6 จึงแยกตัวออกมา ทำการตรวจค้นรถอยู่บริเวณฝั่งเกาะกลางถนนห่างออกไปประมาณ 30 เมตร จนถึงเวลา 03.15 นาฬิกา จึงเดินกลับมาที่เดิม ซึ่งไม่เห็นกลุ่มผู้เสียหายแล้ว เห็นว่า จากพยานหลักฐานที่ปรากฎไม่พอฟังว่า จำเลยที่ 6 มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดตามฟ้องเช่นเดียวกัน
พิพากษาว่า การกระทำของจำเลยที่ 1-4 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 5 ปี ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 5-6 ริบเงิน 27,000 บาท ที่จำเลยที่ 1-4 ได้มาจากการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการคดีนี้ให้ตกเป็นของแผ่นดิน หากจำเลยที่ 1-4 ไม่สามารถส่งมอบเงินจำนวนดังกล่าวได้ ให้จำเลยที่ 1-4 ร่วมกันชำระเงิน 27,000 บาท
สำหรับตำรวจทั้ง 6 ราย ประกอบด้วย ร.ต.อ.ยอดฤทธิ์ ลางคุลเสน อดีตรองสวป.สน.ห้วยขวาง, ร.ต.อ.ปฏิภาณ ศิริชัยวัฒนา อดีตรอง สว.ธร.สน.ห้วยขวาง, ส.ต.อ.นันทวัชร์ สุวรรณา อดีต ผบ.หมู่ ป.สน.ห้วยขวาง, ด.ต.กฤษฎา คำมะนา อดีตผบ.หมู่ ป. สน.ห้วยขวาง, ส.ต.อ.เฉลิมชัย ศิริวังโส อดีต ผบ.หมู่ ป. สน.ห้วยขวาง ส.ต.อ.วัชรนนทร์ ชาวทอง ผบ.หมู่ ป. สน.ห้วยขวาง
4. “ก้าวไกล” มีมติขับ "ปูอัด" พ้นพรรค หลังไม่รับผิดปมคุกคามทางเพศ แถมสร้างความเสียหายซ้ำ ด้านเจ้าตัวน้อมรับ แต่ไม่ลาออก สส. จนกว่ากระบวนการยุติธรรมจะตัดสิน!
ความคืบหน้ากรณีที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคและ สส.พรรคก้าวไกลมีมติขับนายวุฒิพงศ์ ทองเหลา สส.ปราจีนบุรี พ้นพรรค จากปมคุกคามทางเพศ ขณะที่มติขับนายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ สส.กทม. เขตจอมทอง-บางขุนเทียน-ท่าข้าม เสียงไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนด โดยมติขับ 106 เสียง น้อยกว่าเกณฑ์ที่ 116 เสียง จึงทำได้เพียงตัดสิทธิ์ที่พึงมีทั้งหมด และคาดโทษตลอดสมัยประชุม หากมีพฤติกรรมใดๆ ที่เข้าข่ายคุกคามทางเพศอีก จะต้องให้พ้นจากสมาชิกพรรค นอกจากนี้ ยังเห็นควรให้นายไชยามพวานต้องออกมายอมรับผิด ขอโทษต่อสังคม และขอโทษต่อผู้เสียหายทั้งหมด รวมถึงจะต้องชดเชยเยียวยาตามที่ผู้เสียหายต้องการ แต่ปรากฏว่า การแถลงของนายไชยามพวานเมื่อวันที่ 3 พ.ย.สะท้อนถึงการไม่ยอมรับผิด และยังพูดในลักษณะส่งผลกระทบต่อผู้เสียหายซ้ำอีก
ส่งผลให้เมื่อวันที่ 7 พ.ย. คณะกรรมการบริหารพรรคและ สส.พรรคก้าวไกลได้ประชุมร่วมเพื่อมีมติต่อนายไชยามพวานอีกครั้ง โดยหลังประชุม นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงว่า การแถลงข่าวของนายไชยามพวานไม่เป็นไปตามมติของคณะกรรมการบริหารพรรคแต่อย่างใด แม้จะมีการกล่าวว่า หากการกระทำของตนเป็นการคุกคามจริงก็ยอมรับ แต่มีการนำเนื้อหาบางส่วนมาสื่อสารว่า ตนมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้เสียหาย และการแถลงบางส่วนได้นำข้อมูลที่เปิดเผยตัวตนที่เชื่อมโยงไปยังผู้เสียหายได้ว่าเป็นใคร เช่น เสื้อสูทและเนคไท รับมาจากพ่อของผู้เสียหาย ทำให้ครอบครัวทราบว่าบุตรของตนเป็นผู้เสียหาย ครอบครัวรู้สึกเสียใจมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้คณะกรรมการบริหารพรรคเห็นว่า การแถลงไม่เป็นไปตามมติของคณะกรรมการบริหารพรรค จึงนำมาสู่การประชุมวันนี้
นายชัยธวัช กล่าวว่า ในการประชุมวันนี้ ที่จังหวัดระยอง มีองค์ประชุม 128 คน ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า การแถลงของนายไชยามพวานขัดต่อมติของพรรค ไม่มีการรับผิดขอโทษอย่างจริงใจ และยังสร้างความเสียหายซ้ำทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อผู้เสียหาย จึงพิจารณาให้นายไชยามพวานพ้นจากการเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หลังจากนี้จะมี สส.กทม.เขตใกล้เคียงไปทำงานแทนในพื้นที่ ได้แก่ สส.ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ และ สส.รักชนก ศรีนอก ไปทำงานแทน รวมถึงใน จ.ปราจีนบุรี ให้ สส.อภิชาติ ไปทำงานแทนในเชิงสิ่งแวดล้อม ที่ดิน บ่อขยะ
ช่วงเย็นวันเดียวกัน (7 พ.ย.) ที่ศูนย์ประสานงานพรรคก้าวไกล นายไชยามพวาน ให้สัมภาษณ์เปิดใจกรณีถูกพรรคก้าวไกลขับออกจากพรรคว่า ตนทราบคร่าวๆ แล้วในส่วนของมติที่ขับออกจากพรรค ก็ขอน้อมรับ เพราะว่าตนทำให้พรรคเสียหายมามากจริงๆ ขอน้อมรับมติครั้งนี้สุดหัวใจ
นายไชยามพวาน กล่าวต่อว่า ตนยังอยากให้ทุกคนเชื่อมั่นพรรคก้าวไกล เชื่อมั่น สส.ที่อยู่พรรคก้าวไกล และเชื่อมั่นในอนาคต นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เหมาะสมเป็นนายกฯ ครั้งนี้เป็นที่ตัวบุคคล ไม่ใช่พรรค อย่าถือโทษพรรค แต่ถือโทษที่ปูอัดทั้งหมด ตนยังอยากให้ประชาชนทุกคนคอยติดตามกฎหมายที่พรรคเคยบอกว่า ถึงแม้จะเป็นฝ่ายค้าน ก็จะเป็นฝ่ายค้านเชิงรุก โทษครั้งนี้คือตนคนเดียว ไม่ใช่พรรคก้าวไกล ยังมีอีกหลายสิ่งหลังจากนี้ เรื่องนี้ขอให้ทุกคนเลิกโฟกัส และไปโฟกัสกฎหมายที่พรรคก้าวไกลกำลังดำเนินการแทน
“ผมไม่อยากให้ทุกคนไปล่าแม่มด เพราะเป็นความผิดส่วนบุคคล เป็นที่ผมคนเดียว ท้ายที่สุดอยากให้ทุกคนหันไปโฟกัสเรื่องปากท้อง ค่าไฟ ทุนผูกขาด ผมยืนยันจะตั้งใจทำงาน ไม่ใช่แค่ลงพื้นที่ทุกวัน แต่จะทำมากกว่าเดิมหลายเท่า จะตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายที่เดินออกสภาฯ ขอโทษทุกคะแนนเสียงที่ทำให้ลำบากใจ”
นายไชยามพวาน กล่าวอีกว่า ท้ายที่สุดแล้วคนที่ผิดก็คือตน มันเป็นรอยร้าวมากมาย ดังนั้นก็เหมาะสมแล้วที่ตนจะถูกพรรคขับออกมา ขอประชาชนอย่าโกรธหรือโทษพรรค พร้อมอวยพรให้ทุกคนโชคดี
เมื่อถามว่า อนาคตจะไปอยู่พรรคไหน คิดว่าพรรคไหนจะอ้าแขนรับ นายไชยามพวาน กล่าวว่า ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น แต่สิ่งที่ต้องทำตอนนี้ ยังมีปัญหาหลายอย่างที่ต้องแก้ไข เช่น ปัญหาน้ำประปาไม่ไหล ส่วนการหาพรรคก็คงต้องถามประชาชนว่าอยากให้ยืนจุดไหน แต่ยืนยันว่า ตนยังมีอุดมการณ์ไม่ต่างจากพรรคก้าวไกล
เมื่อถามว่า จะไม่ลาออกจาก สส.ใช่หรือไม่ นายไชยามพวาน ยืนยันว่า เมื่อกระบวนการสืบสวนชั้นยุติธรรมเสร็จสิ้น หากบอกว่าตนผิด ก็พร้อมจะลาออก ส่วนคำครหาที่ว่าตนยึดติดหัวโขนนั้น ทุกคนมีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ หลายคนมาเป็นผู้แทนก็ปรับตัวไม่ทัน แต่ทุกท่านสามารถวิพากษ์วิจารณ์ตนได้ เพราะตนเป็นบุคคลสาธารณะเชิญวิพากษ์วิจารณ์ได้ ตนพร้อมน้อมรับ และคงไม่ขอโอกาสจากพรรคก้าวไกล และเพื่อน สส.พรรคก้าวไกล ขอให้ทุกคนโชคดี
ขอให้พรรคเดินหน้าต่อไปตามอุดมการณ์ เพื่อเป็นรัฐบาลต่อไปในอนาคต หากมีอะไรให้ช่วยยกมือในสภาฯ ก็จะช่วยพรรคก้าวไกลเต็มที่ เพราะยังเป็นคนหนึ่งที่เชื่อมั่นพรรคก้าวไกล อย่างไรก็ตาม ยืนยันจะไม่ฟ้องกลับผู้เสียหายทั้ง 3 คน อยากให้จบเท่านี้ และเรื่องนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบของ ป.ป.ช.
5. ตำรวจแจ้งข้อหา "เสี่ยบิ๊ก" ใช้ผู้อื่นกระทำผิดกรณีรถบรรทุกน้ำหนักเกินทำถนนทรุด-มีผู้บาดเจ็บ ด้านเจ้าตัวอ้าง ไม่รู้รถบรรทุกดินน้ำหนักเกิน!
เมื่อวันที่ 8 พ.ย. เวลา 11.45 น. ได้เกิดเหตุกับรถบรรทุก ทะเบียน 83-3241 นนทบุรี ซึ่งขนดินมาเต็มคัน เมื่อขับมาถึงบริเวณปากซอยสุขุมวิท 64/1 ขณะกำลังวิ่งผ่านแผ่นคอนกรีตฝาปิดบ่อท่อร้อยสายไฟ แผ่นคอนกรีตดังกล่าวได้เกิดทรุดตัวลง ส่งผลให้ล้อหลังของรถตกท่อคาอยู่บนแผ่นคอนกรีต นอกจากนี้ยังส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บ 2 คน เป็นแท็กซี่และไรเดอร์ที่วิ่งตามมา โดยคนขับแท็กซี่ปากแตก ขณะที่ไรเดอร์ถูกแผ่นปูนดีดกระเด็นไปตกเกาะกลางถนนศีรษะแตก ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวได้เกิดคำถามตามมาว่า รถบรรทุกดังกล่าวบรรทุกน้ำหนักเกินที่กฎหมายกำหนดหรือไม่? นอกจากนี้ยังพบว่า รถบรรทุกคันดังกล่าว มีสติกเกอร์ตัว B สีเขียว ติดอยู่หน้ารถ ทำให้หลายฝ่ายสงสัยว่า เป็นส่วยสติกเกอร์หรือไม่?
ซึ่งปรากฏว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พระโขนงได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตพระโขนง นำเครื่องชั่งน้ำหนักเคลื่อนที่จากกรมทางหลวง มาชั่งน้ำหนักรถบรรทุกดังกล่าว พบว่า น้ำหนักเมื่อรวมกันเเล้ว ทั้งดินที่บรรทุกอยู่ในรถ เเละตัวของรถ รวมน้ำหนักทั้งหมด 37.450 ตัน ซึ่งเกินจากที่กฎหมายกำหนดให้รถบรรทุกที่วิ่งใน กทม. จะต้องไม่เกิน 25 ตัน สำหรับเเผ่นคอนกรีตฝาปิดบ่อท่อร้อยสายไฟนั้น จากข้อมูลของการไฟฟ้านครหลวง สามารถรับน้ำหนักได้ 28 ตัน
ด้านนายสราวุธ อนันต์ชล สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เขตพระโขนง ระบุว่า เบื้องต้นจากน้ำหนักที่ได้ คือ การบรรทุกเกินที่กฎหมายกำหนด เพราะกฎหมายกำหนดให้รถบรรทุกสิบล้อ บรรทุกได้ 25 ตัน ขณะที่เรื่องของคดีความพนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างสอบสวนผู้เกี่ยวข้องและรวบรวมพยานหลักฐาน โดยเฉพาะน้ำหนักรวมสุทธิของรถบรรทุก ซึ่งจะมีผลต่อการดำเนินคดี นอกจากโทษปรับแล้ว โทษสูงสุดของรถบรรทุกน้ำหนักเกิน คือ การยึดรถ
วันต่อมา (10 พ.ย.) ตำรวจ สน.พระโขนง ได้แจ้งข้อกล่าวหานายวุฒิภัทร จันทรินทรากร หรือเสี่ยบิ๊ก เจ้าของรถบรรทุกคันเกิดเหตุ ข้อหาใช้บุคคลอื่นให้กระทำความผิด (ใช้คนขับรถบรรทุกน้ำหนักเกิน)
ขณะที่นายวุฒิภัทร อ้างว่า ไม่ทราบว่ารถที่บรรทุกดินมานั้น บรรทุกเกินน้ำหนักหรือไม่ เพราะตนเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งทุกครั้งที่มีการตักดินใส่รถบรรทุกไม่มีการชั่งน้ำหนัก แต่ใช้วิธีการคาดคะเนด้วยสายตาเอา และต้องใส่ให้ไม่เกินขนาดบรรทุก ซึ่งที่ผ่านๆ มา คนขับรถได้ขับรถบรรทุกผ่านเส้นทางนี้ มาสักระยะหนึ่งแล้ว ตั้งแต่ยังไม่มีการขุดบ่อพักสายไฟ พอมีการขุดเป็นบ่อพักสายไฟ ก็ทำให้รถของตนตกลงไป เกิดอุบัติเหตุดังกล่าว
นอกจากนี้นายวุฒิภัทรได้ชี้แจงเรื่องป้าย “เสี่ยอั่งเปา” ที่ติดอยู่หน้ารถบรรทุกด้วยว่า อั่งเปาเป็นชื่อลูกชายของตน ตนอยากเปลี่ยนเป็นชื่อเสี่ยบิ๊ก เพราะตนทำธุรกิจไม่ค่อยขึ้นดวงไม่ค่อยดี หมอดูจึงบอกให้เปลี่ยนชื่อจากเสี่ยอั่งเปาเป็นเสี่ยบิ๊ก กิจการจะได้เจริญรุ่งเรืองโด่งดัง
ส่วนสติ๊กเกอร์รูปดาวสีเขียวตัว B นายวุฒิภัทร ยืนยันว่า ไม่เกี่ยวกับสติ๊กเกอร์ส่วย แต่เพราะตนเองชื่อ ”บิ๊ก” จึงติดสติ๊กเกอร์ตัว B และเกิดวันพุธจึงใช้สีเขียว ส่วนที่ใช้ดาว เพราะอยากเป็นดาวรุ่งในสายอาชีพนี้ พร้อมบอกอีกว่า ตนเองไม่ได้วิ่งรถบรรทุกแค่ 4-5 เดือน แต่วิ่งมานานแล้ว ตั้งแต่ปี 2561 มีรถบรรทุกจำนวน 3 คัน และติดสติ๊กเกอร์ที่กระจกหน้ารถนี้ทุกคัน มานานแล้ว ไม่ใช่สติกเกอร์ส่วย เพื่อไปใช้เคลียร์ตามเส้นทาง
ส่วนสาเหตุที่ติดสติ๊กเกอร์นี้ เพราะเวลาไปขนดินในไซต์งานต่าง ๆ จะได้รู้เป็นรถของใคร เก็บเงินค่าขนดินกับใคร ซึ่งรถทั้ง 3 คันจะติดสติ๊กเกอร์ดาวเขียวตัว B แบบนี้ทุกคัน และยืนยันไม่กังวล เพราะมีหลักฐานในสิ่งที่พูดไป หลักฐานทุกอย่างมอบให้ตำรวจหมดแล้ว และได้ชี้แจงกับตำรวจไปแล้ว
ทั้งนี้ หลังแจ้งข้อกล่าวหา พนักงานสอบสวนได้ปล่อยตัวนายวุฒิภัทรทันที ไม่ต้องใช้วงเงินประกัน เนื่องจากนายวุฒิภัทรมาตามหมายเรียก
ล่าสุด (11 พ.ย.) พ.ต.อ.โอภาส หาญณรงค์ ผกก.สน.พระโขนง เผยความคืบหน้าคดีรถบรรทุกตกบ่อร้อยสายไฟกลางถนนบริเวณปากซอยสุขุมวิท 64/1 ว่า วันนี้ยังไม่มีการเรียกนายวุฒิภัทร หรือเสี่ยบิ๊ก เจ้าของรถ และนายศักดิ์มงคล ทาสะโก หรือบอย คนขับรถบรรทุกคันดังกล่าวมารับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติมใดๆ เพราะทางเจ้าหน้าตำรวจได้เเจ้งข้อกล่าวหาค่อนข้างครบถ้วนไปตั้งเเต่เมื่อวานเเล้ว สำหรับนายศักดิ์มงคลนั้นคือ ขับรถบรรทุกน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ส่วนทางด้านนายวุฒิภัทร นั้นโดนในข้อหาเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระความผิดฯ
พ.ต.อ.โอภาส กล่าวว่า หากจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมก็อาจเป็นการปรับเเต่งรถบรรทุกในเรื่องไฟหน้ารถหรืออุปกรณ์พ่วงติดอยู่บริเวณหน้ารถก็เป็นได้ เเต่ในเรื่องนี้จะต้องให้ทางกรมขนส่งทางบกเป็นผู้ตรวจอีกที