โฆษกกองทัพอิสราเอลปฏิเสธข้อกล่าวหาของฮิวแมนไรต์วอตช์ ที่ว่ากองทัพอิสราเอลได้ใช้ระเบิดฟอสฟอรัสขาวในปฏิบัติการทางทหารบริเวณฉนวนกาซาและชายแดนเลบานอน
ฮิวแมนไรต์วอตช์ องค์กรเอกชนระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนได้เผยแพร่รายงานเมื่อวันพุธที่ 11 ต.ค.ว่า มีหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอที่ถ่ายเมื่อวันที่ 10 ต.ค.ในเลบานอนและอีกคลิปถ่ายเมื่อวันที่ 11 ต.ค.ในฉนวนกาซา ที่แสดงให้เห็นว่ามีการระเบิดของฟอสฟอรัสขาวที่ถูกยิงด้วยปืนใหญ่หลายครั้ง บนท้องฟ้าเหนือท่าเรือเมืองกาซาซิตี้ และพื้นที่ชนบทบริเวณแนวชายแดนอิสราเอล-เลบานอน
ขณะที่ Dr. Ashraf Alquedra โฆษกกระทรวงสาธารณสุขของปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาแถลงเมื่อวันศุกร์ (13 ต.ค.) ว่า ได้อพยพผู้คนออกจากโรงพยาบาลเด็กเดอร์รา ในฉนวนกาซาด้านตะวันออก หลังจากถูกเตือนว่าจะตกเป็นเป้าหมายการใช้ระเบิดฟอสฟอรัสขาวของอิสราเอล
อย่างไรก็ตาม Lt. Col. Peter Lerner โฆษกกองทัพอิสราเอล (Israel Defense Forces) ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเมื่อวันศุกร์ (13 ต.ค.) ปฏิเสธอย่างแข็งขันต่อข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยยืนยันว่าเป็นเท็จโดยสิ้นเชิง
ฮิวแมนไรต์วอตช์ระบุว่า จากการสัมภาษณ์คน 2 คนที่มาจากเมืองอัล-มินา และกาซาซิตี้ ยืนยันว่าได้เห็นการโจมตีด้วยระเบิดฟอสฟอรัสขาวอย่างต่อเนื่อง โดยทั้งสองบรรยายให้เห็นว่ามีการยิงกระสุนขึ้นสู่อากาศก่อนจะเห็นการระเบิดบนท้องฟ้าตามมาด้วยสายควันสีขาวร่วงลงสู่พื้น
คำแถลงของฮิวแมนไรต์วอตช์บอกอีกว่า ได้ตรวจสอบภาพวิดีโออย่างละเอียดแล้ว ยืนยันว่าเป็นภาพที่ถ่ายบริเวณท่าเรือของกาซาซิตี้ โดยเป็นภาพการยิงกระสุนฟอสฟอรัสขาวจากปืนใหญ่ขนาด 155 มม. ซึ่งกลุ่มควันสีขาวหนาแน่นและกลิ่นคล้ายกระเทียมบ่งบอกว่าเป็นฟอสฟอรัสขาว ส่วนวิดีโอที่ถ่ายจากชายแดนอิสราเอล-เลบานอน ก็เป็นการยิงฟอสฟอรัสขาวจากปืนใหญ่ 155 มม.เช่นเดียวกัน เมื่อดูจากกลุ่มควันและลักษณะการยิง
ทั้งนี้ อิสราเอลเคยใช้อาวุธฟอสฟอรัสขาวระหว่างการโจมตีฉนวนกาซาช่วงปี 2551-2552 จนทำให้ถูกตั้งข้อกล่าวหาก่ออาชญากรรมสงครามจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนต่างๆ ต่อมาในปี 2556 กองทัพอิสราเอลยืนยันว่าได้ยุติการใช้อาวุธฟอสฟอรัสขาวแล้ว
สำหรับฟอสฟอรัสขาวเป็นสารพิษที่มีลักษณะคล้ายขี้ผึ้ง เผาไหม้ได้ที่อุณหภูมิมากกว่า 800 องศาเซลเซียส สามารถละลายโลหะ และจุดไฟให้ลุกลามได้อย่างรวดเร็ว
ฟอสฟอรัสขาวยังไม่ถูกกำหนดให้เป็นอาวุธเคมีภายใต้อนุสัญญาระหว่างประเทศ จึงสามารถนำมาใช้ในสนามรบเพื่อสร้างม่านควัน ส่องสว่าง กำหนดเป้าหมาย หรือเผาทำลายบังเกอร์และอาคารต่างๆ ของฝ่ายตรงข้าม แต่อาจทำให้เกิดการเผาไหม้อย่างรุนแรงและทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้
ฟอสฟอรัสขาวจึงถือเป็นอาวุธเพลิงภายใต้ข้อตกลงของอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้อาวุธธรรมดาบางประเภท ห้ามใช้ในการโจมตีเป้าหมายทางทหารที่อยู่ท่ามกลางพลเรือน เนื่องจากสามารถก่อให้เกิดการเผาไหม้อย่างรุนแรง รวดเร็ว และดับได้ยาก แต่อิสราเอลไม่ได้ลงนามผูกพันตามอนุสัญญาดังกล่าว
ส่วนผลของการใช้ฟอสฟอรัสขาวต่อมนุษย์นั้น ฟอสฟอรัสขาวสามารถไหม้ผิวหนังไปจนถึงกระดูก และดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ทำให้เกิดความผิดปกติต่ออวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ทั้งตับ ไต และหัวใจ ถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้ เพราะความผิดปกติของระบบเมตาบอลิซึมมีผลทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว