1."บิ๊กต่อ" มือปราบสายธรรมะ ผงาดขึ้น ผบ.ตร.คนที่ 14 ด้าน "บิ๊กโจ๊ก" เข้าพบแสดงความยินดี!
เมื่อวันที่ 27 ก.ย. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยหลังการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ว่า เรื่องสำคัญเป็นเรื่องการคัดเลือกแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) สืบเนื่องจาก พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย. จึงได้มีการประชุมคัดเลือกแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ ซึ่งมีการพิจารณาคัดเลือกเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างขั้นตอนธุรการเพื่อนำความขึ้นกราบบังคมทูล เพื่อทรงมีพระบรมราชโอการโปรดเกล้าฯ ต่อไป จึงยังไม่สามารถเปิดเผยได้
เมื่อถามว่า มติการคัดเลือก ผบ.ตร.คนใหม่เป็นไปตามกระแสข่าวหรือไม่ พล.ต.ท.อาชยน ย้ำว่า ไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากอยู่ในขั้นตอนธุรการที่จะเตรียมนำความกราบบังคมทูลต่อไป แต่ยืนยันว่า การพิจารณา ผบ.ตร.คนใหม่ ยึดหลักตามข้อกฎหมายตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ในเรื่องความอาวุโสและความรู้ความสามารถ ซึ่งมีประสบการณ์ในด้านการสืบสวนสอบสวนและป้องกันปราบปราม ส่วนเรื่องวาระในการพิจารณาเป็นเรื่องของที่ประชุมจะพิจารณา ตามระเบียบนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้พิจารณาเสนอรายชื่อให้ ก.ตร. มีมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ
สำหรับ รอง ผบ.ตร. ที่อยู่ในเกณฑ์มีสิทธิ์ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. ครั้งนี้ มี 4 คน ประกอบด้วย 1. “บิ๊กรอย” พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ นักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 24 และนักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) รุ่นที่ 40 เกษียณอายุราชการในปี 2567 2. “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล นักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 31 และจบปริญญาตรีโรงเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) รุ่น 47 เกษียณอายุราชการ ปี 2574 อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าการประชุมคัดเลือก ผบ.ตร.ใหม่ไม่กี่วัน บิ๊กโจ๊ก ตกเป็นข่าวใหญ่ถูกตำรวจค้นบ้านเพื่อหาหลักฐานว่าเชื่อมโยงกับเว็บพนันออนไลน์เครือข่าย “มินนี่” หรือไม่ หลังพบเส้นทางเงินโยงคนใกล้ชิด อีกทั้งปรากฏคลิป บิ๊กโจ๊กร้องเพลงกับ “มินนี่” ผู้ต้องหาเว็บพนันออนไลน์ที่ถูกจับกุมก่อนหน้านี้
3. “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ นักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 25 และปริญญาตรีจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) รุ่น 41 เกษียณอายุราชการในปี 2569 4. “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล จบระดับปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นสิงห์แดง รุ่นที่ 38 ปริญญาโท ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีปทุม ก่อนเข้ารับราชการตำรวจ เคยทำงานเป็นพนักงานในบริษัท น้ำมันคาลเท็กซ์ อยู่ได้ 7 ปี สมัครรับราชการตำรวจ โดยเข้าอบรมหลักสูตรการฝึกอบรม ผู้มีคุณวุฒิทางด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ เพื่อบรรจุแต่งตั้งเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร (กอต.) รุ่นที่ 4
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ก.ตร.มีทั้งหมด 16 ท่าน แต่รอง ผบ.ตร. 2 คนติดภารกิจไม่ได้เข้าร่วมประชุม คือ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล โดยก่อนการประชุมจะเริ่มขึ้น นายกรัฐมนตรี ได้เชิญ ก.ตร. 9 ท่าน ยกเว้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ซึ่งเป็นแคนดิเดต ผบ.ตร.คนใหม่ เข้าหารือกันนอกรอบที่ห้องพรหมนอก ก่อนเริ่มประชุมเพื่อคัดเลือก ผบ.ตร.คนใหม่ โดยมีการเชิญ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ในฐานะผู้มีส่วนได้เสียออกจากห้องประชุม
จากนั้นนายเศรษฐา ได้เสนอชื่อ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ให้ที่ประชุมพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยใช้วิธีลงคะแนนอย่างเปิดเผย ปรากฏว่า ก.ตร. 9 ท่านเห็นชอบตามที่นายกฯ เสนอ มีเพียง พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ไม่เห็นชอบ ส่วนนายเศรษฐา ในฐานะประธานที่ประชุม และนายประทิต สันติประภพ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ งดออกเสียง
สำหรับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เกิดวันที่ 27 ม.ค. 2507 ปัจจุบันอายุ 59 ปี หลังจากได้รับการบรรจุแต่งตั้งข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร (กอต.) หรือ “นายร้อยอบรม” แล้วก็เริ่มงานที่กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ จากนั้นย้ายมาเป็นรองสารวัตร ที่กองปราบปราม... ขึ้นเป็นสารวัตร ที่ตำรวจท่องเที่ยว และโยกกลับมาเป็น ผู้กำกับการปฏิบัติการพิเศษ กองปราบฯ ก่อนตำแหน่งจะค่อยๆ ขยับขึ้นไปเรื่อยๆ จนเป็น รองผู้บังคับการตำรวจกองปราบฯ
ปี 2561 ขึ้นเป็นผู้บังคับการกองบังคับการถวายความปลอดภัย และปฏิบัติการพิเศษ (กองบังคับการปฏิบัติการพิเศษ), ปี 2562 ขึ้นดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง, ปี 2563 ก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง, ปี 2564 ขยับมาที่ตำแหน่ง ผู้ช่วย ผบ.ตร. และปี 2565 ขึ้นเป็น รอง ผบ.ตร. ในวันที่ 1 ต.ค.65 โดยรับผิดชอบงานด้านป้องกันและปราบปราม
และล่าสุด วันที่ 27 ก.ย. ที่ประชุม ก.ตร. มีมติตั้ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนที่ 14
ทั้งนี้ ในชีวิตตำรวจของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ วนเวียนอยู่กับกองปราบฯ ปราบมาเฟีย ผู้มีอิทธิพล และนักค้ายาเสพติด จนเป็นที่เข็ดขยาดของเหล่าร้าย ซึ่งหลังจากการปฏิบัติภารกิจ ก็มักจะเข้าวัด ปฏิบัติธรรม น้อมนำเอาหลักธรรม มาใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ จนได้รับฉายาว่า “มือปราบสายธรรมะ” และ “โรโบคอปสายบุญ”
ทั้งนี้ หลังมีข่าวว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ได้รับเลือกเป็น ผบ.ตร.คนใหม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้เดินทางเข้าพบ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เพื่อพูดคุยและรับประทานอาหารร่วมกัน และแสดงความยินดีที่ได้รับตำแหน่ง รวมทั้งมีการปรึกษาหารือ เพื่อพัฒนาและขับเคลื่อนการทำงานของตำรวจ เพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นและศรัทธามากขึ้นด้วย
ขณะที่โลกโซเชียลมีการแชร์ภาพถ่ายคู่ ของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เอามือโอบเอว พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ซึ่งทั้งคู่ต่างมีสีหน้ายิ้มแย้ม
ล่าสุด (30 ก.ย.) ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการตํารวจ ความว่า มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พลตํารวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล พ้นจากตําแหน่ง รองผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ และแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๖
2.ตร.นำหมายบุกค้นบ้าน "บิ๊กโจ๊ก" หาหลักฐานโยงพนันออนไลน์ "มินนี่" ออกหมายจับทีมงานบิ๊กโจ๊กหลายนาย บิ๊กโจ๊ก ยันไม่เกี่ยวพนันออนไลน์ หากลูกน้องทำผิด ไม่ละเว้น!
เมื่อวันที่ 25 ก.ย. ชุดปฎิบัติการพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เปิดยุทธการ Big Cleaning Day กวาดบ้านตำรวจ ปูพรมลงพื้นที่ 6 จังหวัดเป้าหมาย หลังพบมีความเกี่ยวข้องกับพนันออนไลน์ ได้แก่ จังหวัดเพชรบุรี สมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร ขอนแก่น อุดรธานี และสระบุรี โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 11 คน ทั้งพลเรือน และตำรวจ ในจำนวนนี้ ทราบว่า เป็นนายตำรวจ ยศ พล.ต.ต. และ พ.ต.อ. ซึ่งทั้ง 2 นาย ยังเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน และชุดพนักงานสอบสวน ของรอง ผบ.ตร.คนหนึ่งด้วย
มีรายงานว่า จากการสืบสวนทราบว่า ผู้ต้องหามีความเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ พนันออนไลน์ และฟอกเงิน เนื่องจากพบเส้นทางการเงินถูกโอนเข้าบัญชีของคนกลุ่มนี้
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ได้นำหมายจากศาลเพื่อเข้าค้นเป้าหมายภายในซอยวิภาวดี 60 เบื้องต้นคาดว่า เป็นบ้านพักของทีมงาน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. แต่ภายหลังพบว่า เป็นบ้านพักของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ด้วย
ซึ่งตอนแรก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้น โดยอ้างว่า ตนเป็นตำรวจระดับสูง การจะเข้าตรวจค้น ต้องมีตำรวจชั้นผู้ใหญ่มาตรวจค้น ซึ่งภายหลัง เมื่อมีตำรวจระดับผู้ใหญ่มา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงยอมให้ตรวจค้น
ซึ่งต่อมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เผยว่า ได้ทราบว่ามีการออกหมายจับลูกน้องไปหลายคน เมื่อมีหมายจับของลูกน้องเข้ามา ก็ต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจและให้ตรวจค้นตามขั้นตอน และตนเองเป็นคนนำตรวจค้นด้วยตนเองทุกหลัง
ส่วนเรื่องเส้นทางการเงินแก๊งพนันออนไลน์ที่มีการโอนเงินเข้าไปยังบัญชีตนเองนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของลูกน้องที่จะต้องไปชี้แจงกับศาลว่า เส้นทางการเงินดังกล่าวเข้ามาได้อย่างไร โดยยืนยันว่า หากลูกน้องทำผิด ก็ไม่ละเว้นใดๆ ทั้งสิ้น
ทั้งนี้ ภายหลังทราบว่า บ้านที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พักอยู่ ไม่ใช่บ้านของตนเอง แต่เป็นบ้านของ “เฮียแต๋ม” นักธุรกิจเมืองอุดรฯ ซึ่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อ้างว่า นับถือเหมือนญาติ โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และทีมงานพักบ้านอยู่ทั้งหมด 5 หลัง ซึ่งเป็นของเฮียแต๋มทั้งหมด ซึ่งตำรวจอาจเชิญเฮียแต๋มมาสอบเช่นกัน
รายงานแจ้งว่า ตำรวจ 8 นายซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งถูกออกหมายจับ ประกอบด้วย พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ ผบก.ศฝร.บช.น. พ.ต.อ.เขมรินทร์ พิศมัย ผกก.ตม.จันทบุรี พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย รอง ผบก.สส.ภ.4 พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ รอง ผกก.สส.สภ.สำโรงเหนือ พ.ต.อ.อาริศ คูประสิทธิ์รัตน์ ผกก.ตม.จว.ฉะเชิงเทรา พ.ต.ต.ชานนท์ อ่วมทร นายตำรวจติดตาม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ หวัดแวว ผบ.หมู่งานสายตรวจ 1 กก.1 บก.จร. และ ส.ต.อ.อภิสิทธิ์ คนยงค์ ผบ.หมู่(ป.) สภ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา นอกจากนี้ยังออกหมายจับพลเรือนอีก 15 ราย ซึ่งเจ้าหน้าที่มีหลักฐานเกี่ยวข้องกับเว็บพนันและบัญชีม้า
เป็นที่น่าสังเกตว่า โลกโซเชียลได้มีการแชร์คลิป พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กำลังร้องเพลงกับผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งระบุว่า เป็นเจ้าแม่เว็บพนันออนไลน์ "มินนี่" ซึ่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ชี้แจงว่า คลิปดังกล่าวเป็นคลิปในงานเลี้ยงลูกน้อง ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่าลูกน้องจะพาใครมาบ้าง ตนไม่รู้จักหรือเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนั้น ตนเป็นคนเปิด ใครเข้ามาหาก็มาได้หมด ส่วนลูกน้องต้องไปตอบว่าสนิทกับเขาเกี่ยวพันกับเขาแค่ไหน ตนไม่มีสิทธิ์ไปตอบ แล้วไม่รู้หรอกว่าลูกน้องไปทำอะไรมาบ้าง ถ้าลูกน้องไม่ดีก็ต้องดำเนินคดี
ด้าน พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.กมค. เผยเมื่อวันที่ 26 ก.ย. ถึงการสอบสวนผู้ต้องหาเชื่อมโยงเว็บพนันออนไลน์ จนนำมาสู่การออกหมายจับตำรวจ 8 นายว่า ในส่วนของคดีมินนี่ ตำรวจได้จับกุมผู้ต้องหา 3 คน ในวันที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมา หลังจับกุมมินนี่กับพวก ตำรวจได้ข้อมูลการธนาคาร ก่อนรวบรวมพยานหลักฐาน จนมีหลักฐานออกหมายจับเพิ่ม 23 ราย โดยเป็นตำรวจ 8 นาย โดยคดีมินนี่และคดี 8 ตำรวจเป็นคดีเดียวกัน รวมผู้ต้องหาคดีนี้ 26 คนแล้ว โดยมินนี่ตอนนี้ได้รับประกันตัวออกมาแล้วในชั้นพนักงานสอบสวน เพราะไม่มีพฤติการณ์ไปยุ่งกับพยานหลักฐาน และว่า ตำรวจได้แกะรอยจากมินนี่และ พ.ต.อ.ภาคภูมิ ก่อน จนนำมาสู่การออกหมาย โดยทั้งคู่รู้จักและสนิทสนมกัน
ทั้งนี้ ได้มีภาพหลุดของมินนี่ ที่ถูกระบุเป็นเจ้าแม่เว็บพนันออนไลน์กับ พ.ต.อ.ภาคภูมิ 1 ใน 8 ตำรวจคนสนิทของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ที่ถูกออกหมายจับ โดยภาพแรกเป็นภาพมินนี่นั่งพิง พ.ต.อ.ภาคภูมิ และมือขวาของ พ.ต.อ.ภาคภูมิ วางอยู่ที่ขาของมินนี่ ส่วนอีกภาพ มินนี่กำลังหอมแก้ม พ.ต.อ.ภาคภูมิ ซึ่ง พ.ต.อ.ภาคภูมิ ยอมรับว่า รู้จักมินนี่ แต่ไม่รู้ทำธุรกิจอะไร และไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ยืนยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บพนัน
ขณะที่มินนี่ หรือ น.ส.ธันยนันท์ สุจริตชินศรี หรือ น.ส.สุชานันท์ กุลวัฒนโยธิน ซึ่งตอนแรกมีข่าวว่าอยู่ต่างประเทศ แต่ภายหลังเมื่อกลับมา ได้ออกมาเปิดหน้าให้สัมภาษณ์สื่อ โดยยอมรับว่า คบหากับ พ.ต.อ.ภาคภูมิ อยู่ช่วงหนึ่ง หลังจากนั้นก็เลิกรากันไปเพราะทราบว่าเขามีครอบครัวแล้ว จนปลายปี 2565 ถึงต้นปี 2566 บังเอิญกลับมาเจอกัน ได้คุยกันอีกครั้ง จึงกลับมาสนิทกัน ส่วนเรื่องเงินพี่เขาก็มียืมเงินและคืนบ้างไม่คืนบ้าง ส่วนเงินที่พี่หนึ่ง (พ.ต.อ.ภาคภูมิ) ยืมส่วนมากจะให้คนอื่นโอนให้ เพราะตนชอบไปเที่ยวต่างประเทศ ส่วนเหตุผลที่ยืมอาจเป็นเพราะตำรวจเงินเดือนอาจไม่ได้เยอะ เมื่อถามว่าพี่หนึ่งรู้ไหมว่าเงินของมินนี่เป็นเงินมาจากไหน มินนี่ปฏิเสธไม่ตอบ
มินนี่ยังยืนยันด้วยว่า ตนไม่เกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ นอกจากนี้ ยังยอมรับว่า วันที่ตนถูกตำรวจจับ ได้โทรหา พ.ต.อ.ภาคภูมิ เป็นคนแรกและคนเดียว
เป็นที่น่าสังเกตว่า พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.กมค. เผยความคืบหน้าการขยายผลจับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ ซึ่งเกี่ยวโยงไปถึงลูกน้อง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ว่า มีข้อมูลธุรกรรมการเงินของกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นบัญชีม้าเชื่อมโยงไปถึงสื่อมวลชนทั้งหมด 7 คน กับ 1 สมาคม ซึ่งพนักงานสอบสวนกำลังพิจารณาว่าจะออกหมายเรียกเพื่อมาสอบปากคำในฐานะพยานหรือไม่ โดยสื่อมวลชนแต่ละรายได้รับเงินไม่เท่ากัน มีตั้งแต่หลักพันถึงหลักหมื่นบาท บางรายรับอย่างต่อเนื่องรายเดือน บางรายรับเป็นครั้งๆ
ทั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ออกมายอมรับว่า ได้ให้เงินนักข่าวจริง และว่า นักข่าวที่ไปกับตน เวลาไปทำข่าวหลายๆ วัน พวกนี้เขามีทีม ตนเลยให้ 10,000 บาท ต่อจำนวน 4-5 วัน ซึ่งไม่ได้มาก และทุกครั้งที่ตนให้ เขาก็บอกว่าทางช่องให้แล้ว พวกนี้เขาไม่เคยมาขอเงินตนเลย แต่ตนเลี้ยงอาหารกลางวัน นักข่าวที่มาทำข่าวที่สโมสรตำรวจ มีลูกน้องที่ต้องเลี้ยงอาหารกลางวัน วันละ 200 กล่อง ตกเดือนละ 250,000 บาท ซึ่งเป็นเงินถูกกฎหมาย เป็นเงินส่วนตัวของตน
“ดังนั้นนักข่าวมาตนเลี้ยงหมด ตนเบิกหลวงไม่ได้ เพราะมีงบจำกัด ถ้าอยากให้ประสิทธิภาพมันดี ตนก็อำนวยความสะดวกแก่คณะทำงาน และคนที่ไว้วางใจเข้ามาร้องทุกข์ ตนไม่ได้เข้า ตร. เพราะมันแน่น ที่จอดรถก็ไม่มี อีกทั้งยังไม่ได้คุยกับนักข่าวที่จะโดนหมายจับเลย ทั้ง 4 ราย พร้อมยืนยันว่ามันไม่ใช่สินบน เงินที่ซื้อข้าวก็ไม่ใช่เงินจากเว็บพนัน”
ด้านนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้ออกมาแฉว่า มีนักข่าวถึง 10 คน ที่อาจถูกดำเนินคดีในครั้งนี้ด้วย เนื่องจากเส้นทางการเงินของบัญชีมินนี่ เจ้าแม่เว็บพนันออนไลน์ มีการโอนเงินให้กับนักข่าว 10 คน และว่า นักข่าว 10 คนที่ได้รับเงิน เป็นเงินค่าจ้างทำข่าวหรือให้เขียนเชียร์ มีทั้งการจ่ายเป็นรายเดือนและรายครั้ง โดยนักข่าวกลุ่มนี้จะได้รายละเอียดเชิงลึกจากสำนวนคดี โดยนายอัจฉริยะยังฝากไปถึงต้นสังกัด ให้ตรวจสอบพฤติกรรมของนักข่าวที่เอี่ยวคดีนี้ด้วย
3. ศาลพิพากษาจำคุก "ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร" 3 ปี ไม่รอลงอาญา ผิด ม.157 จับกุม "บิลลี่" แต่ไม่ส่งให้ตำรวจ ส่วนข้อหาฆ่าบิลลี่ ยกฟ้อง หลักฐานไม่พอ!
เมื่อวันที่ 28 ก.ย. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้นัดฟังคำพิพากษาคดีที่อัยการยื่นฟ้องนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และพวกรวม 4 คน ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ กรณีการหายตัวไปของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ แกนนำชุมชนกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2557
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำผิดมาตรา 157 หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 จับกุมนายบิลลี่พร้อมน้ำผึ้งป่าและรถจักรยานยนต์ที่ด่านตรวจ แต่ไม่ยอมทำบันทึกการจับกุมและนำตัวส่งตำรวจพื้นที่ตามขั้นตอน ถือว่าจำเลยมีความผิด ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนจำเลยที่ 2 ถึง 4 ทำตามที่จำเลยที่ 1 สั่ง ยังไม่เป็นความผิด
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อว่า จำเลยทั้ง 4 ร่วมกันกักขัง ข่มขืนใจให้นายบิลลี่ขึ้นรถยนต์หรือไม่ เห็นว่า มีพยานเห็นว่า จำเลยทั้ง 4 พานายบิลลี่ขึ้นรถ แต่ไม่มีการขู่บังคับโดยใช้อาวุธ แต่ไม่มีพยานคนใดยืนยันได้ว่า จำเลยปล่อยตัวนายบิลลี่ลงที่บริเวณใกล้กับแยกไฟแดง แต่พยานโจทย์ก็ยังไม่มีการเบิกความให้เห็นว่า จำเลยทั้ง 4 ร่วมกันหน่วงเหนี่ยว กักขัง นายบิลลี่แต่อย่างใด
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัย ต่อไปว่า จำเลยทั้ง 4 ร่วมกันฆ่านายบิลลี่โดยไตร่ตรองหรือไม่ เห็นว่า ชิ้นส่วนกระดูกที่โจทก์นำสืบ ผลตรวจไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่า เป็นกระดูกของนายบิลลี่หรือไม่ และโจทก์ไม่สามารถนำสืบได้ว่า นายบิลลี่ยังมีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิต ดังนั้นพยานหลักฐานจึงยังไม่อาจเชื่อได้ว่า จำเลยทั้ง 4 ร่วมกันฆ่านายบิลลี่
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยข้อสุดท้ายว่า พนักงานสอบสวนมีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่ เห็นว่า ข้อหาที่มีการแจ้งต่อจำเลย เป็นเรื่องเกี่ยวกับความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ พนักงานสอบสวนจะมีอำนาจฟ้องคดี
พิพากษาว่า นายชัยวัฒน์ จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีที่ไม่ทำบันทึกการจับกุมนำตัวนายบิลลี่ส่งพนักงานสอบสวน สั่งจำคุก 3 ปีโดยไม่รอลงอาญา ส่วนข้อหาอื่นพิพากษายกฟ้อง และจำเลยที่ 2-4 พิพากษายกฟ้อง
ทั้งนี้ นายชัยวัฒน์ได้ยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวเพื่อยื่นอุทธรณ์สู้คดี ด้านศาลอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว โดยตีราคาประกัน 800,000 บาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร
หลังฟังคำพิพากษา น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ทนายความของโจทก์ ยืนยัน จะยื่นอุทธรณ์คดีอย่างแน่นอน เนื่องจากศาลลงโทษเฉพาะความผิด มาตรา 157 กรณีจับกุมตัวนายบิลลี่พร้อมน้ำผึ้งป่า และไม่นำตัวส่งพนักงานสอบสวนตามขั้นตอนของกฎหมาย คดีนี้ เท่ากับย้อนไปสู่จุดเริ่มต้นว่า นายบิลลี่ยังคงเป็นบุคคลสูญหาย จึงเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ ในการพิสูจน์การหายตัวไปของนายบิลลี่
ด้านพิณนภา พฤกษาพรรณ หรือมึนอ ภรรยานายบิลลี่ ร้องไห้หลังทราบคำพิพากษา พร้อมยืนยันว่า อยากตามหาบิลลี่ให้พบ เพื่อให้หายข้องใจว่า สามีหายตัวไปไหน
อนึ่ง การหายตัวไปของบิลลี่ เกิดขึ้นเมื่อปี 2557 โดยบิลลี่ เป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนชาวกะเหรี่ยงแห่งบ้านบางกลอยบน-ใจแผ่นดิน มีการเคลื่อนไหวร่วมกับชาวบ้านในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และเตรียมฟ้องคดีต่อเจ้าหน้าที่ กรณีการเข้ารื้อทำลายบ้านเรือนและทรัพย์สินของชาวกะเหรี่ยงกว่า 20 ครอบครัว เมื่อปี 2554 ต่อมาในปี 2557 บิลลี่ถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่อุทยานแก่งกระจาน อ้างว่านำตัวไปสอบสวน ก่อนแจ้งว่าได้ปล่อยตัวบิลลี่แล้ว แต่ไม่มีบุคคลใดพบเห็นบิลลี่อีกเลยนานกว่า 5 ปี
คดีนี้ เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.2561 ดีเอสไอได้รับคดีการหายตัวไปของบิลลี่เป็นคดีพิเศษ และเริ่มสอบสวนเมื่อปลายเดือน มิ.ย.2561
ต่อมาเดือน พ.ค.2562 ดีเอสไอลงพื้นที่อุทยานแก่งกระจาน พบหลักฐานชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์ เหล็กเส้น และถังน้ำมัน 200 ลิตร ใกล้สะพานแขวน ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวชื่อดังในเขตอุทยานแก่งกระจาน
3 ก.ย.2562 ดีเอสไอแถลงความคืบหน้าคดี ระบุว่าพบหลักฐานสำคัญชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์และกะโหลกที่อยู่ภายในถังน้ำมัน ยืนยันว่า ผลดีเอ็นเอตรงกับ "บิลลี่"
11 พ.ย.2562 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อนุมัติหมายจับนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร และพวกรวม 4 คน คดีฆาตกรรมบิลลี่
ล่าสุด 28 ก.ย.ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษาจำคุกนายชัยวัฒน์ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 3 ปี ไม่รอลงอาญา ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ กรณีจับกุมนายบิลลี่พร้อมน้ำผึ้งป่าและรถจักรยานยนต์ที่ด่านตรวจ แต่ไม่ยอมทำบันทึกการจับกุมและนำตัวส่งตำรวจพื้นที่ตามขั้นตอน
ส่วนความผิดฐานร่วมกันฆ่านายบิลลี่นั้น ศาลเห็นว่า ชิ้นส่วนกระดูกที่โจทก์นำสืบ ผลตรวจไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่า เป็นกระดูกของนายบิลลี่หรือไม่ และโจทก์ไม่สามารถนำสืบได้ว่า นายบิลลี่ยังมีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิต ดังนั้นพยานหลักฐานจึงยังไม่อาจเชื่อได้ว่า จำเลยทั้ง 4 ร่วมกันฆ่านายบิลลี่
4. ศาลอาญาพิพากษาจำคุก "อานนท์ นำภา" 4 ปี ไม่รอลงอาญา คดีปราศรัยหมิ่นเบื้องสูง ด้านศาลอุทธรณ์ไม่ให้ประกัน ชี้พฤติการณ์ร้ายแรง เชื่อหากปล่อยตัว จะหลบหนี!
เมื่อวันที่ 26 ก.ย. ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ได้นัดฟังคำพิพากษาคดีดูหมิ่นสถาบัน ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้องนายอานนท์ นำภา อายุ 39 ปี ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นจำเลยในความผิดฐานดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ร่วมกันมั่วสุมชุมนุม ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหาราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 พ.ร.บ.จราจรทางบก ฯ
จากกรณีเมื่อวันที่ 14 ต.ค.2563 จำเลยกับพวกได้ร่วมกันจัดกิจกรรมรวมกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมือง กลุ่มราษฎร 2563 ที่บริเวณโดยรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ทำให้กระถางต้นไม้รอบอนุสาวรย์ ได้รับความเสียหาย โดยจำเลยใช้เครื่องขยายเสียงประกาศเรียกร้องให้รัฐบาลทำตามข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ได้แก่ ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลาออก ให้แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ และปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยบางช่วงบางตอนของการปราศรัย จำเลยได้กล่าว แสดงความอาฆาตมาดร้ายดูหมิ่นสถาบันฯ ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธ และได้รับการประกันตัว
ทั้งนี้ นายอานนท์ จำเลย ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษา พร้อมด้วยภรรยาและลูกชาย ขณะที่มีทีมทนายความ น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว ส.ส.เขต 2 จ.ปทุมธานี พรรคก้าวไกล และตัวแทนสถานทูตเยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และสหประชาชาติ พร้อมมวลชนมาให้กำลังใจประมาณ 100 คน
ด้านศาลอาญาพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายที่นำสืบหักล้างกันแล้ว เห็นว่า ฝ่ายโจทก์มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.สำราญราษฎร์ สน.ชนะสงคราม เบิกความสอดคล้องในทำนองเดียวกันว่า วันเกิดเหตุจำเลยกับพวกได้ร่วมกันจัดชุมนุมทางการเมือง โดยจำเลยแถลงข่าวและใช้สื่อโซเชียลชักชวนให้ประชาชนมาร่วมชุมนุมประมาณ 1,000 คน โดยมีข้อเรียกร้อง 3 ข้อให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ และปฏิรูประบบสถาบันกษัตริย์
โดยบางช่วงบางตอน จำเลยปราศรัยว่า หากวันนี้มีการสลายการชุมนุม ก็ไม่ต้องคิดมาก เพราะเป็นคำสั่งจากเบื้องบนเท่านั้น ซึ่งเป็นการดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายสถาบันกษัตริย์ให้ได้รับความเสื่อมเสีย ประชาชนเข้าใจผิด ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ทั้งที่จำเลยเป็นนักกฎหมายและทนายความ ย่อมทราบดีถึงขอบเขตการชุมนุมที่จะไม่กระทบสิทธิเสรีภาพและสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น
อีกทั้งการชุมนุมของจำเลย เป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ฯ ที่จำเลยอ้างว่า เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ชุมนุมได้รับความเดือดร้อนนั้น ไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ หรือหักล้างพยานโจทก์ได้
การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรม ฐานดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จำคุก 4 ปี และฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ฯ ปรับ 20,000 บาท ส่วนข้อหาอื่นให้ยก
ด้านนายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความนายอานนท์ กล่าวว่า ศาลจำคุกนายอานนท์ 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา และปรับตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ อีก 2 หมื่นบาท ซึ่งญาติและนายอานนท์แจ้งว่า ประสงค์จะยื่นประกันตัวและเตรียมหลักทรัพย์ไว้อัตราสูงสุดจำนวน 2 แสนบาท แต่เรากังวลว่า คดีหมิ่นเบื้องสูงที่มีอัตราโทษสูง 3-4 ปี ศาลชั้นต้นอาจจะส่งให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งประกัน ทำให้อาจจะใช้ระยะเวลาพิจารณานานหลายวัน จึงอยากจะขอให้ศาลคำนึงถึงสิทธิประกันตัวของจำเลย ที่ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด
ทั้งนี้ หลังจากทนายความของนายอานนท์ ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 2 แสนบาท ขอปล่อยตัวชั่วคราวนายอานนท์ ระหว่างอุทธรณ์คดี ศาลอาญาพิจารณาแล้วเห็นควรส่งเรื่องให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาเพื่อมีคำสั่งต่อไป โดยระหว่างรอคำสั่งของศาลอุทธรณ์ นายอานนท์จะถูกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นำตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
ล่าสุด (30 ก.ย.) นายกฤษฎางค์ ทนายความนายอานนท์ เผยว่า ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวนายอานนท์ โดยพิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีประกอบพยานหลักฐานในสำนวนแล้ว เห็นว่า การกระทำของจำเลยกระทบกระเทือนและสร้างความเสียหายต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พฤติการณ์เป็นเรื่องร้ายแรง ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 4 ปี หากอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว มีเหตุเชื่อว่าจำเลยจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยระหว่างอุทธรณ์ ให้ยกคำร้อง
5. ศาล ปค. ชี้ เพิกถอน น.ส.3ก.ที่ดินของ "ธนาธร" ชอบแล้ว เหตุรุกป่า แต่ นอภ.ออก น.ส.3ก.ให้ผู้ถือครองรายแรกไม่ชอบ "ธนาธร" ผู้ซื้อจึงเสียหาย กรมที่ดินต้องชดใช้ 4.9 ล้าน!
เมื่อวันที่ 27 ก.ย. ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษายกฟ้องกระทรวงมหาดไทย (มท.) อธิบดีกรมที่ดิน และปลัดกระทรวงมหาดไทย กรณีที่มีคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินลงวันที่ 29 มี.ค.2565 เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก. เลขที่ 158 และเลขที่ 159 ตำบลด่านทับตะโก อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี เนื้อที่ 43 ไร่ 3 งาน และเนื้อที่ 38 ไร่ 67 ตารางวา ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เนื่องจากตำแหน่งที่ดินตามหนังสือ น.ส.3 ก. ทั้งสองแปลง พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในเขตป่าไม้ถาวร ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ก.พ.2512
จึงเป็นการออกหนังสือ น.ส.3 ก. ที่เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายที่ดิน ที่ห้ามมิให้ดำเนินการในเขตป่าไม้ถาวรและเป็นที่ดินต้องห้ามมิให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) และการที่กระทรวงมหาดไทย กับปลัด มท. มีคำวินิจฉัยยกอุทธรณ์ของนายธนาธรที่ขอเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว จึงเป็นการกระทำที่ใช้ดุลพินิจชอบด้วยกฎหมายแล้ว
อย่างไรก็ตาม ศาลฯ เห็นว่า การที่นายอำเภอจอมบึง ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการออกหนังสือ น.ส.3 ก. ไม่ได้ใช้ความระมัดระวัง ความรู้ความชำนาญและความละเอียดรอบคอบในการตรวจสอบสภาพและที่ตั้งของที่ดินดังกล่าวว่า เป็นที่ดินที่ต้องห้ามออกหนังสือ น.ส. 3 ก. ตามกฎหมายหรือไม่ ได้ออกหนังสือ น.ส.3 ก. เลขที่ 158 ให้แก่นายอุดม กิตติอุดมพาณิช และออกหนังสือ น.ส.3 ก. เลขที่ 159 ให้แก่นายชัยณรงค์ บู่ศรี เมื่อวันที่ 3 ต.ค.2521 ตามโครงการเดินสำรวจโดยมิได้แจ้งการครอบครองที่ดินตามตามกฎหมาย
ต่อมา นายอุดม กิตติอุดมพาณิช และนายชัยณรงค์ บู่ศรี ได้จดทะเบียนขายทั้งสองแปลงดังกล่าวให้แก่ บริษัท ไร่อ้อยมิตรผล จำกัด เมื่อวันที่ 12 ก.ย.2528 หลังจากนั้น บริษัท ไร่อ้อยมิตรผล จำกัด ได้จดทะเบียนขายรวมสองแปลงให้แก่นายสาโรจน์ วสุวานิช เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2534
และนายสาโรจน์ วสุวานิช ได้ขายรวมสองแปลงดังกล่าวให้แก่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เมื่อวันที่ 23 พ.ค.2543 นายธนาธร จึงเป็นบุคคลที่ซื้อที่ดินดังกล่าวโดยสุจริต เสียค่าตอบแทน และได้รับความเสียหาย การกระทำของนายอำเภอจอมบึง ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายที่ดินดังกล่าว เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการละเมิดต่อนายธนาธร
กรมที่ดินจึงต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดอันเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของนายอำเภอจอมบึง จึงพิพากษาให้กรมที่ดินชดใช้ค่าเสียหาย จำนวน 4,912,311.21 บาท พร้อมดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา ซึ่งออกตามความในมาตรา ๗ วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ของต้นเงินจำนวน 4,785,782.98 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ไม่เกินร้อยละ 5 ต่อปี ตามคำขอของนายธนาธร ทั้งนี้ ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด คืนค่าธรรมเนียมศาลแต่บางส่วนตามส่วนของการชนะคดีแก่นายธนาธร ส่วนคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก