เศรษฐกิจโลกช่วงนี้อยู่ท่ามกลางความผันผวนและความไม่แน่นอน เนื่องจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและภาวะหนี้สินที่สร้างผลกระทบต่อตลาดและเศรษฐกิจโลก ในขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกก็ยังเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของประเทศที่เรามองว่าเป็นเครื่องจักรของเศรษฐกิจโลกอย่างประเทศจีน
แรงกดดันของเศรษฐกิจที่ธนาคารกลางทั่วโลกต่างจับตาหนีไม่พ้นเรื่องการปรับตัวเพิ่มขึ้นของตัวเลขเงินเฟ้อ จากการที่แนวโน้มของราคาน้ำมันที่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้ ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มเห็นสัญญาณการก่อตัวของความกังวลจากตัวเลขเงินเฟ้อที่อาจปรับตัวเพิ่มขึ้น
ล่าสุดธนาคารกลางของยุโรป (ECB) ที่ยังคงอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับที่สูงได้ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ทำให้ล่าสุดอัตราดอกเบี้ยของยูโรโซนปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.50% สะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของตัวเลขเงินเฟ้อที่เกิดจากการปรับตัวขึ้นของราคาพลังงานในช่วงฤดูหนาวที่จะมีปริมาณการใช้งานที่สูงขึ้น ปัญหาของยูโรโซนคือการที่ต้องจ่ายราคาพลังงานแพงขึ้นอันเนื่องมาจากการคว่ำบาตรการใช้พลังงานจากรัสเซียซึ่งมีราคาถูกกว่าที่ต้องจ่ายในปัจจุบันนี้ จะเห็นได้ว่ามีข่าวการประท้วงภายในประเทศที่อยู่ในยุโรปซึ่งเกิดจากปัญหาปากท้องและค่าครองชีพที่สูงเกินกว่าจะจ่ายไหวมาตั้งแต่ช่วงต้นปี ส่วนหนึ่งก็เป็นผลกระทบจากสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน โดยแรงขับเคลื่อนของราคาน้ำมันในช่วงนี้เกิดจากการขยายระยะเวลาในการร่วมมือกันลดกำลังการผลิตของทางรัสเซียกับซาอุดีอาระเบียไปถึงช่วงปลายปี
ส่วนตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกาที่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาสองครั้งติดกันมาอยู่ที่ระดับ 3.70% ในการประชุม FOMC ครั้งล่าสุดที่ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมแต่ก็มีการส่งสัญญาณถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่เหลืออีกหนึ่งครั้งในช่วงปลายปีและจากการให้ความเห็นของประธานธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Powell) ว่ายังพร้อมขึ้นอัตราดอกเบี้ยถ้าจำเป็น ทำให้แนวทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นสิ่งที่เรายังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป
ส่วนผลจากภาวะหนี้สินที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ในขณะนี้อยู่ในระดับที่สูง อาจสร้างผลกระทบกันเป็นโดมิโนจนทำให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้ตามที่เราได้เห็นผลของมันแล้วจากที่ในช่วงต้นปี ทั้งเกิดการล้มละลายและการควบรวมกิจการของธนาคารในสหรัฐอเมริกา ทำให้หลังจากนี้นักลงทุนอาจต้องกลับมาให้ความสำคัญต่อความเสี่ยงของการเกิดภาวะถดถอยในตลาดการลงทุนมากยิ่งขึ้น