“บิ๊กโจ๊ก” ลาประชุม ก.ตร.ขอทำสมาธิจัดการปมโดนตำรวจบุกค้นบ้านพัก ลั่นฟ้ามีตา ความจริงจะปรากฏ แต่จะไม่เอาคืน แม้จะมีข้อมูลอยู่มาก เปิดเมื่อไหร่ตายหมดทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เช้าวันนี้ (27 ก.ย.) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์รายการเจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand กรณีตำรวจไซเบอร์พร้อมคอมมานโดบุกค้นบ้านพักภายในซอยวิภาวดี 60 กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 24 ก.ย.ที่ผ่านมา ว่า เหตุดังกล่าวตนจะไม่เอาคืน แต่ตนมีข้อมูลอยู่มาก ถ้าเปิดเผยเมื่อไหร่ก็ตายกันหมดทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ไม่ขอบอกว่าเป็นข้อมูลของใคร ที่ผ่านมาทำงานอย่างตรงไปตรงมาในทุกคดี ซึ่งคดีที่เกี่ยวกับเว็บพนันไปเกี่ยวพันกับหลายคนและเป็นเงินหลายร้อยล้านบาท ยืนยันว่าเงินที่อยู่ในบัญชีไม่มีเงินใครแต่เป็นเงินของบ้านตนทั้งหมด
“ทุกวันนี้ผมยังรักษาองค์กรนี้อยู่ ก็ยังทำแบบนี้กับผม” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าว
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าวว่า หลักการขอหมายจากศาลถ้าเป็นตำรวจต้องไปขอศาลอาญาทุจริตกลาง แต่ครั้งนี้ที่ไม่ไปขอศาลอาญาทุจริตกลางเพราะศาลนี้เข้มงวด ยิ่งถ้าเป็นนายตำรวจระดับสูง ยิ่งเข้มงวด เลยไปขอที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลนี้ก็ไม่ใส่ยศเวลาขอหมาย สามารถใส่นายนำหน้าชื่อไปได้ ถือเป็นการปิดบังอำพรางหลอกศาล ยัดไส้ชื่อรวมกับพลเรือนไป
ส่วนเรื่อง “เฮียแต๋ม” เจ้าของทาวน์เฮาส์ที่ถูกบุกค้นนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าวว่า ถ้าถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกไปสอบถาม เฮียแต๋มก็ไม่ตกใจ เพราะเคยไปให้ข้อมูลแก่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แล้ว เนื่องจากตนเองยื่นหลักฐานต่อ ป.ป.ช.ว่าเช่าที่นี่เพื่ออยู่อาศัย เหตุที่ต้องมาพักที่นี่เป็นเพราะที่ผ่านมาตั้งแต่ยศร้อยตำรวจ ตนเองอยู่แฟลตตำรวจมาโดยตลอด และตอนที่พ่อตายังมีชีวิตอยู่ ได้ให้ที่ดินที่พุทธมณฑลสาย 7 เพื่อไปสร้างบ้านอยู่ ได้ออกแบบและดำเนินการสร้างแล้ว ทำให้ต้องมีการย้ายที่อยู่ออกมาก่อนที่บ้านจะเสร็จ ตนจึงหาที่พัก และได้คุยกับเฮียแต๋มที่มีความสนิทสนมกันมานานหลายสิบปี ทราบว่าเฮียแต๋มมีทรัพย์สินอยู่หลายที่จึงขอเช่าที่นี่ และมีสัญญาเช่าอย่างถูกต้อง โดยเช่าอยู่ 2 หลัง ในราคา 50,000 บาท และอีก 3 หลัง เฮียแต๋มไม่ได้มาใช้ จึงให้ตนดูแล และได้ให้ลูกน้องไปอยู่เวลามาช่วยทำงาน โดยในวันนี้เฮียแต๋มจะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนด้วย
นอกจากนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์เปิดเผยว่า จะลา 1 วัน เพื่อไปขอทำสมาธิจัดการเรื่องดังกล่าว ไม่ได้เข้าประชุมกรรมการตำรวจ (ก.ตร.) เพื่อพิจารณาแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ เนื่องจากเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มองว่า ผบ.ตร.คนต่อไปต้องมีคุณสมบัติสร้างศรัทธาให้ประชาชน รวมถึงดูแลขวัญกำลังใจตำรวจ การที่ตนจะเป็นผบ.ตร.หรือไม่ได้เป็น ไม่ใช่ตัวชี้วัด แต่การที่ทำอยู่วันนี้ ทำดีแล้วหรือยัง วันนี้พยายามทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นความศรัทธาเท่านั้น
สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ไม่ได้มีความกังวลใดๆ เพราะเชื่อว่าฟ้ามีตาความจริงต้องปรากฏ พร้อมชี้แจงได้ทุกประเด็น และขอสัญญากับประชาชนว่าจะไม่ทำให้ศรัทธาของพี่น้องประชาชนสิ้นไป