xs
xsm
sm
md
lg

“บีเอเอสเอฟ” จัดเสวนา “Sustainability Forum” เผยข้อมูลคาร์บอนฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์ที่ใช้เป็นส่วนผสมในอาหารและโภชนาการสำหรับคนและสัตว์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“บีเอเอสเอฟ” จัดงานเสวนา “Sustainability Forum” ว่าด้วยความสำคัญในการจัดทำคาร์บอนฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์ที่ใช้เป็นส่วนผสมในอาหารและโภชนาการ เพื่อส่งเสริมการสร้างความโปร่งใสในปริมาณการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในผลิตภัณฑ์อาหาร เครื่องดื่ม และอาหารเสริม เนื่องจากสภาวะการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน จับมือกับภาครัฐและพันธมิตรทางธุรกิจ “ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์" เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน

วันนี้ (21 ก.ย.) คุณรสจันทร์ โลหะกิจสงคราม กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทบีเอเอสเอฟ ในประเทศไทยและเวียดนาม กล่าวว่า บีเอเอสเอฟได้ตระหนัก และมีความมุ่งมั่นในการเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยี และเพิ่มการลงทุนด้านพลังงานสะอาดเพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี ค.ศ. 2050 (ขอบเขต 1 และ 2) โดยส่งเสริมการมีส่วนร่วม และรับผิดชอบในการเป็นผู้กำหนดการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมที่เป็นกลางทางคาร์บอน และขั้นตอนสำคัญประการหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงนี้ คือ การสร้างความโปร่งใสในการเข้าถึงค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงตลอดห่วงโซ่คุณค่า

ทั้งนี้ “บีเอเอสเอฟ” ให้ความสำคัญต่อการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจ ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม และผลักดันการสร้างความร่วมมือ เพื่อยกระดับการขับเคลื่อนให้เกิดความยั่งยืนในทุกกระบวนการของการดำเนินธุรกิจ โดยแผนในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ของบริษัทมุ่งเน้นใน 5 เรื่องหลัก คือ (1) เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ที่ใช้ในโรงงาน ในสัดส่วนมากกว่า 60% ภายในปี ค.ศ. 2030 (ปัจจุบันมีสัดส่วน 16%) โดยมีการลงทุนในโครงการฟาร์มกังหันลมและติดตั้งแผงโซลาร์มากมาย (2) การใช้พลังงานไฟฟ้าทดแทนพลังงานจากฟอสซิลในโรงงาน (3) การใช้เทคโนโลยีใหม่ ที่ทำให้ปราศจากคาร์บอนในกระบวนการผลิต (4) การทดแทนวัตถุดิบที่มาจากน้ำมันด้วยวัตถุดิบหมุนเวียนได้ที่มาจากพืช (5) การเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต ทั้งหมดนี้เพื่อส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ

“สำหรับบีเอเอสเอฟ ประเทศไทยนั้นดำเนินธุรกิจในประเทศไทยเป็นเวลากว่า 55 ปี โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่หลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการในภาคอุตสาหกรรมหลักในประเทศ ครอบคลุมตั้งแต่ธุรกิจการเกษตร คะตะลิสต์ในยานยนต์ สีในการผลิตยานยนต์ เคมีเพื่อผลิตภัณฑ์อุปโภค เคมีเพื่อโภชนาการและสุขภาพ เคมีภัณฑ์อุตสาหกรรม พอลิเมอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง โพลียูรีเทน และเคมีภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ โดยเราได้ให้ความร่วมมือทั้งกับภาครัฐ และเอกชนต่างๆ ที่เป็นพันธมิตร อาทิ Alliance to End Plastic Waste (AEPW) เพื่อจัดการกับความท้าทายระดับโลกเกี่ยวกับการจัดการขยะพลาสติก รวมทั้งการสนับสนุนโซลูชันหลังการใช้งานเพื่อให้สามารถรีไซเคิลพลาสติกได้อย่างมีประสิทธิภาพและนำกลับมาหมุนเวียนใช้ซ้ำได้ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน นอกจากนี้เรายังมีส่วนในการปลูกฝังและให้ความรู้แก่นักเรียน และนักศึกษาในเรื่องความสำคัญของความยั่งยืนด้วยเช่นกัน”

คุณรสจันทร์กล่าวว่า จากการทำงานของ “บีเอเอสเอฟ” เมืองลุดวิกส์ฮาเฟน ประเทศเยอรมนี : การคำนวณข้อมูลคาร์บอนฟุตพรินต์หรือปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มวิตามินแคโรทีนอยด์ พอลิเมอร์ สำหรับเครื่องดื่มแปรรูป เอนไซม์สำหรับอาหารสัตว์ และส่วนผสมสำหรับเพิ่มประสิทธิภาพในอาหารสัตว์สำหรับตลาดอาหารและโภชนาการของมนุษย์และสัตว์นั้นใช้วิธีการคำนวณที่ได้รับการรับรองจาก TÜV Rheinland ตามมาตรฐานสากล ISO 14067:2018
ค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์เป็นผลรวมปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ปล่อยออกมาจากผลิตภัณฑ์ตลอดวัฏจักรชีวิต นับตั้งแต่การได้มาของวัตถุดิบ การผลิต การขนส่ง การใช้งาน และการกำจัด ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญในการสร้างความโปร่งใสเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ ทั้งยังช่วยให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ดียิ่งขึ้น

จากการเปรียบเทียบค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์วิตามินเอและอีของบีเอเอสเอฟกับผลิตภัณฑ์จากบริษัทอื่นๆ ในตลาดพบว่า ผลิตภัณฑ์หลายกลุ่มของบีเอเอสเอฟมีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดโลกอย่างน้อย 20 เปอร์เซ็นต์ โดยการเปรียบเทียบนี้ได้ดำเนินการตามมาตรฐาน ISO14044, ISO14067 และมาตรฐาน GHG protocol ซึ่งได้รับการรับรองจาก TÜV Rheinland ใบรับรองนี้ยืนยันการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ของบีเอเอสเอฟและค่าเฉลี่ยของตลาดตาม ISO 14067:2018 ทั้งนี้ ใบรับรองดังกล่าวยังได้รับการเผยแพร่ในฐานข้อมูล (www.certipedia.com) โดยลูกค้าสามารถตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวได้โดยตรง

“ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่ำลง คือ ระบบการผลิตแบบบูรณาการของบีเอเอสเอฟ ซึ่งรวมถึงการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงและการใช้แหล่งพลังงาน และวัตถุดิบที่มีปริมาณการปล่อยคาร์บอนต่ำนั่นเอง”

ด้าน จูเลีย ราเกต์ รองประธานอาวุโสหน่วยงาน Global Business Unit Nutrition Ingredients กล่าวว่า เรามุ่งมั่นที่จะสนับสนุนลูกค้าในการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยมลพิษ ผลิตภัณฑ์วิตามินเอและอีบางชนิดของเรามีข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดโลกถึง 20 เปอร์เซ็นต์ บริษัทมีความภูมิใจที่ได้มอบข้อได้เปรียบด้านสิ่งแวดล้อมนี้ให้แก่ลูกค้า ผลิตภัณฑ์ของบีเอเอสเอฟที่มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าผลิตภัณฑ์จากบริษัทอื่นๆ ในตลาดโลก โดยเฉลี่ยอย่างน้อย 20 เปอร์เซ็นต์ ได้แก่
•โภชนาการสัตว์: Lutavit® A 1000 NXT และ Lutavit® E 50
•โภชนาการคน: Vitamin AP 1,7 TOC และ Vitamin E Acetate 98% และ DL-alpha-Tocopherol

อย่างไรก็ตาม บีเอเอสเอฟมุ่งมั่นที่จะเสนอแนะแนวทางสำหรับผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ในการคำนวณข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ตลอดช่วงวงจรชีวิตในอุตสาหกรรมเคมี เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมและความสามารถในการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้องเช่นกัน














กำลังโหลดความคิดเห็น