บีไอจี ประกาศทรานส์ฟอร์มองค์กร ขับเคลื่อนธุรกิจสู่ผู้นำ Climate Tech มุ่งเน้นคลีนไฮโดรเจน และ สมาร์ทแพลตฟอร์มลดคาร์บอน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2050
นายปิยบุตร จารุเพ็ญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด (บีไอจี) กล่าวว่า บีไอจี เป็นบริษัทในเครือแอร์โปรดักส์ (Air Products) จากประเทศสหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมก๊าซอุตสาหกรรมที่ดำเนินธุรกิจมา 35 ปีในประเทศไทย ได้ประกาศทรานส์ฟอร์มองค์กร พร้อมใช้ชื่อบีไอจี เดินหน้ารุกด้าน Climate Technology มุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืน และการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 สอดรับกับเป้าหมายของประเทศไทยในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี ค.ศ. 2050 และ Net Zero ภายในปี ค.ศ. 2065
โครงสร้างธุรกิจใหม่ที่ให้ความสำคัญ ภายใต้ Climate Technology ประกอบด้วย 1. Carbon Capture เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ที่ประยุกต์ใช้ได้ในภาคอุตสาหกรรม 2.Hydrogen Economy นวัตกรรมที่เน้นการพัฒนาโครงการเกี่ยวกับ Blue Hydrogen และ Green Hydrogen ซึ่งคืบหน้า 20-30% และพร้อมใช้งานเต็มรูปแบบปี 2026-2027
3.Sustainable Offerings การนำเอานวัตกรรมจากก๊าซอุตสาหกรรมของบีไอจีไปช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพิ่มประสิทธิภาพ 4.Digital Platform เป็นระบบการมอนิเตอร์และช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เหมาะสม และ 5.Bio Circular Green หรือการนำ BCG Model (เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว) มาใช้เพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
นายปิยบุตร กล่าวว่าหนึ่งใน Climate technology ที่สำคัญคือ ไฮโดรเจน ปัจจุบันบีไอจีเป็นผู้ผลิตไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำ เพื่อนำมาใช้ในงานพาณิชย์รายใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยบริษัทได้ใช้เทคโนโลยีจากบริษัทแม่คือ แอร์โปรดักส์ ที่เป็นผู้ผลิตไฮโดรเจนรายใหญ่สุดของโลก ซึ่งกำลังมีโครงการใหญ่ที่มีมูลค่าการลงทุนกว่า 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการเกี่ยวกับไฮโดรเจนสีน้ำเงิน (Blue Hydrogen) และไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) ปัจจุบันมีความคืบหน้าโครงการไปแล้วกว่า 50% แล้ว คาดว่าจะพร้อมใช้งานเต็มรูปแบบในปี ค.ศ. 2026-2027
“ หลังจากมีการลงทุนผลิตไฮโดรเจนสีน้ำเงิน และไฮโดรเจนสีเขียวในปี 2025 – 2030 จะก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจประมาณ 50,000 ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันทางยุโรป และสหรัฐอเมริกามีการบังคับเรื่องภาษีคาร์บอน ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมการผลิต และการขนส่งจะหันมาใช้ไฮโดรเจนสีน้ำเงินกันมากขึ้น และหลังจากปี 2030 คาดว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจจะเพิ่มขึ้นเป็น 2-3 แสนล้านบาท โดยอุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้าจะมีการใช้ไฮโดรเจนสีน้ำเงิน และไฮโดรเจนสีเขียว กันอย่างแพร่หลาย คาดว่าราคาจะถูกลงมาอีก จากปัจจุบันราคาไฮโดรเจนสีน้ำเงินอยู่ที่ 2.5 เหรียญสหรัฐต่อกิโลกรัม ราคาไฮโดรเจนสีเขียวอยู่ที่ 4 เหรียญสหรัฐต่อกิโลกรัม”
ส่วนในประเทศไทย บีไอจีได้ร่วมมือกับ กลุ่มบริษัท ปตท. และโตโยต้าจัดตั้งสถานีบริการเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจนให้กับภาคยานยนต์แห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในพื้นที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ตั้งแต่ปี 2565 นอกจากนี้ บีไอจี ยังมีแผนจะนำเทคโนโลยีการเก็บกักคาร์บอนและเทคโนโลยีอีเล็คโตรไลซิสเพื่อพัฒนาไฮโดรเจนสีน้ำเงิน และไฮโดรเจนสีเขียว ร่วมกับองค์กรชั้นนำในประเทศ ไม่ว่าจะเป็น บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน)(EGCO), บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP), จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นการร่วมลงทุนผลิต ไฮโดรเจนสีน้ำเงิน และไฮโดรเจนสีเขียวได้ภายใน 5 ปี หรือประมาณปี 2028 เพื่อผลักดันการเปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิลไปสู่พลังงานไฮโดรเจนอย่างเต็มรูปแบบ
ทั้งนี้ บีไอจี ก็มีแผนนำเอาไฮโดรเจนที่ผลิตในปัจจุบันราว 100 ตันต่อวัน จำหน่ายให้พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก 80 ตันต่อวัน เหลืออยู่ 20 ตันต่อวันมาผลิตเป็นไฮโดรเจนสีน้ำเงิน จำหน่ายให้กับกลุ่มรถบรรทุก รถบัส คาดว่าจะเริ่มได้ในปีหน้า พร้อมกับจำหน่ายให้กับอุตสาหกรรมที่ต้องนำไฮโดรเจนไปผสมกับเชื้อเพลิงใช้ในกระบวนการผลิต เช่น โรงงานผลิตเหล็ก กระจก ซีเมนต์
นอกจากนี้ บีไอจี ยังได้พัฒนาอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ด้าน Climate Technology คือ สมาร์ทแพลตฟอร์มสำหรับการลดการปล่อยคาร์บอนสุทธิของภาคอุตสาหกรรม ผ่านระบบ Carbon Accounting Platform ด้วยดิจิทัลเทคโนโลยี โดยเริ่มจากการวัดเพื่อทราบปริมาณการปลดปล่อยคาร์บอนสุทธิในกระบวนการผลิตทั้งหมดแบบเรียลไทม์ จากนั้นบีไอจีจะนำโซลูชั่นหลากหลายรวมไปถึงนวัตกรรมก๊าซอุตสาหกรรมที่มีปริมาณคาร์บอนต่ำเป็นพิเศษที่บีไอจีผลิตได้เพียงรายเดียวในประเทศไทยมาช่วยลดการปล่อยคาร์บอนที่มาจากกระบวนการผลิตที่ถูกวัด และสุดท้ายแพลตฟอร์มนี้ยังสามารถทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนซื้อขายคาร์บอนเครดิตกับบีไอจี และภาคส่วนต่างๆ จากทุกอุตสาหกรรม