สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจยาสูบวอนรัฐบาลใหม่ยกปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่เถื่อนเป็นภัยคุกคามระดับชาติ เพราะไม่เพียงระบาดหนักในภาคใต้ แต่ปัจจุบันบุหรี่เถื่อนได้กระจายไปทั่วประเทศรวมถึงกรุงเทพมหานครและจังหวัดปริมณฑลแล้ว คิดเป็นสัดส่วนการบริโภคถึงร้อยละ 22 หวั่นซ้ำเติมผลประกอบการการยาสูบฯ ที่กำไรปีล่าสุดเหลือเพียงร้อยกว่าล้านบาท และรัฐสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีกว่า 2 หมื่นล้านบาทต่อปี
นายสุเทพ ทิมศิลป์ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจยาสูบ ย้ำถึงความรุนแรงของสถานการณ์บุหรี่เถื่อน ตามข้อมูลการสำรวจซองบุหรี่เปล่าของอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 2 ปี 2566 ที่ได้มีการเปิดเผยไปก่อนหน้านี้ พบว่าสัดส่วนการบริโภคบุหรี่เถื่อนในไทยพุ่งสูงถึงร้อยละ 22.3 โดยเป็นบุหรี่หนีภาษียี่ห้อที่ไม่มีการค้าขายในไทยเกือบทั้งหมด ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในการสำรวจในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา หรือคิดเป็นกว่า 1 ใน 4 ของการบริโภคบุหรี่ในประเทศแล้ว
ตนอยู่ในอุตสาหกรรมนี้มากว่าครึ่งชีวิต ก่อนการปรับขึ้นภาษีในปี 2560 ตัวเลขบุหรี่เถื่อนอยู่ที่ไม่เกินร้อยละ 3 เราเคยตกใจกับตัวเลขร้อยละ 6 ในปี 2561 แต่ก็เทียบไม่ได้เลยกับข้อมูลล่าสุดของปีนี้ที่บุหรี่เติบโตอย่างรวดเร็วจากการปรับขึ้นภาษีในปี 2564 ที่ดูแล้วมีแต่จะพุ่งไปต่อหากไม่มีการแก้ไขเชิงนโยบายจากภาครัฐอย่างจริงจัง และผู้ที่ได้รับผลกระทบคงหนีไม่พ้นชาวไร่ยาสูบและแรงงานในภาคส่วนต่างๆ ที่เป็นต้นน้ำของอุตสาหกรรมนี้
นายสุเทพกล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นรุนแรงกว่าเดิมมาก เพราะนอกจากจังหวัดในภาคใต้ที่เราคุ้นเคยอย่างสตูล พัทลุง และสงขลา ที่พบบุหรี่เถื่อนกว่าร้อยละ 90 ของการสูบบุหรี่ทั้งหมดในจังหวัด มากที่สุดในประเทศแล้ว บุหรี่หนีภาษียังขยายตัวสูงขึ้นมากในพื้นที่นอกภาคใต้อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เช่น นนทบุรี กรุงเทพฯ และสมุทรปราการ ที่มีสัดส่วนบุหรี่ผิดกฎหมายสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ เติบโตถึงร้อยละ 875 ร้อยละ 112 และร้อยละ 157 ตามลำดับ ชวนให้สงสัยว่าเพราะเหตุใดจังหวัดใหญ่ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจเหล่านี้จึงกลายเป็นศูนย์กลางของบุหรี่เถื่อนนอกภาคใต้ได้ ชัดเจนว่าปัญหาบุหรี่เถื่อนทวีความรุนแรงจากการเป็นปัญหาระดับภูมิภาคสู่ปัญหาระดับชาติที่เป็นภัยคุกคามทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในฐานะพนักงานคนหนึ่งและเป็นตัวแทนพนักงานเกือบ 2,400 คนของการยาสูบแห่งประเทศไทย อยากวิงวอนให้รัฐบาลใหม่เอาจริงเอาจังกับการปราบปรามและทลายวงจรบุหรี่เถื่อนทั่วประเทศ ตลอดจนเร่งปราบปรามกลุ่มมาเฟียและผู้มีอิทธิพลเบื้องหลัง รวมทั้งอยากขอให้รัฐบาลหยิบยกปัญหาบุหรี่เถื่อนขึ้นมาเป็นวาระแห่งชาติ เร่งพูดคุยหารือกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่เป็นแหล่งกำเนิดเพื่อต่อต้านภัยคุกคามจากการนำเข้าบุหรี่หนีภาษีที่บ่อนทำลายระบบเศรษฐกิจ ทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีกว่า 2 หมื่นล้านบาท การเร่งลงมือทลายวงจรบุหรี่เถื่อนนี้จะช่วยเหลือการยาสูบแห่งประเทศไทยได้ทันที เพราะตัวเลขบุหรี่เถื่อนที่สูงสุดตั้งแต่มีการสำรวจมานี้มาพร้อมกับผลกระทบต่อผลประกอบการของการยาสูบฯ ที่มากขึ้นกว่าที่เคยเห็นมา
โดยปี 2565 ที่ผ่านมาหน่วยงานมียอดขายเพียง 13,322 ล้านมวน ลดลงร้อยละ 9 จนส่งผลให้ผลการดำเนินงานย่ำแย่ มีกำไรสุทธิเพียง 120 ล้านบาทเท่านั้น และเงินที่นำส่งรัฐก็เหลือเพียง 3.9 หมื่นล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 8 พันล้านบาท เพราะยอดขายต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ถึงร้อยละ 25 หากเป็นเช่นนี้ต่อไปกิจการของการยาสูบฯ คงไม่มีวันฟื้นกลับมา และส่งผลถึงความมั่นคงในอาชีพของพนักงานทุกคน ชาวไร่ยาสูบที่พึ่งพาโควตาการปลูกจากการยาสูบฯ กว่า 3 หมื่นครอบครัว รวมถึงร้านค้าถูกกฎหมายหลายแสนร้านค้าที่ทุกวันนี้ต้องแข่งขันกับบุหรี่เถื่อนที่ขายในทุกช่องทางอย่างเปิดเผย ไม่เกรงกลัวการบังคับใช้กฎหมายจากหน่วยงานภาครัฐ