xs
xsm
sm
md
lg

#MGRTOP7 : พระราชทานอภัยลดโทษ นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ | Pang Cha ปังพินาศ | ปิดฉาก 3 ป. 9 ปี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



รวบตึงทุกเรื่องราว คัดข่าวเด็ด เบ็ดเสร็จในที่เดียว ... MGR Online ขอนำเสนอ “Top 7 ข่าวฮอตในรอบ 7 วัน” สรุปข่าวเด่น ประเด็นฮอตที่พลาดไม่ได้ เป็นประจำทาง mgronline.com

(สรุปข่าวประจำวันที่ 27 ส.ค. - 1 ก.ย. 2566)


พระราชหัตถเลขา พระราชทานอภัยลดโทษ นักโทษเด็ดขาดชาย ทักษิณ ชินวัตร เหลือโทษจำคุก 1 ปี

เมื่อวันที่ 1 ก.ย. เว็บไชต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พระราชหัตถเลขา พระราชทานอภัยลดโทษ ความว่า ตามที่ นักโทษเด็ดขาดชาย ทักษิณ ชินวัตร ยื่นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษา จำนวน 3 คดี คดีที่ 1 คดีหมายเลขแดง ที่ อม. 4/2551 ความผิดต่อหน้าที่ราชการ กำหนดโทษจำคุก 3 ปี คดีที่ 2 คดีหมายเลขแดง ที่ อม. 10/2552 ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ กำหนดโทษจำคุก 2 ปี ซึ่งคดีที่ 1 กับคดีที่ 2 นับโทษซ้อนกันรวมกำหนดโทษจำคุก 3 ปี และคดีที่ 3 คดีหมายเลขแดง ที่ อม. 5/2551 ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม กำหนดโทษจำคุก 5 ปี รวมกำหนดโทษจำคุก 8 ปี รับโทษมาแล้ว 10 วัน เหลือโทษจำคุก 7 ปี 11 เดือน 20 วัน อยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ความว่าเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน ทำคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อถูกดำเนินคดีและศาลมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกดังกล่าวด้วยความเคารพในกระบวนการยุติธรรม ยอมรับผิดในการกระทำ มีความสำนึกในความผิด จึงขอรับโทษตามคำพิพากษาขณะนี้อายุมาก มีปัญหาสุขภาพเจ็บป่วยต้องเข้ารักษาพยาบาลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ นั้น

ซึ่งความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว จึงพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้นักโทษเด็ดขาดชาย ทักษิณ ชินวัตร เหลือโทษจำคุกต่อไป อีก 1 ปี ตามกำหนดโทษตามคำพิพากษาเพื่อจะได้ใช้ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ช่วยเหลือและทำคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ สังคมและประชาชน สืบไป


อันดับ 2 : Pang Cha ปังพินาศ ยื่นโนติส 3 ร้าน เรียกเป็นแสนเป็นล้าน ก่อนเพิ่งสำนึกได้ร่ำไห้อ้างไม่ได้ทำร้ายใคร

ดรามาลิขสิทธิ์ของหวานชื่อดังเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 ส.ค. ร้านอาหารลูกไก่ทอง และร้านปังชาคาเฟ่ ประกาศว่าได้จดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาเครื่องหมายการค้า "ปังชา" ภาษาไทย และ "Pang Cha" ภาษาอังกฤษ สงวนสิทธิ์ห้ามนำไปใช้เป็นชื่อร้านหรือใช้เป็นชื่อสินค้าเพื่อจำหน่าย ทีแรกสังคมสับสนว่าเกิดอะไรขึ้น กระทั่งพบว่าสำนักงานทนายความแห่งหนึ่งยื่นโนติสเรียกค่าเสียหายร้านอาหาร 3 แห่ง ได้แก่ ร้านปังชา จังหวัดเชียงราย 102 ล้านบาท เพราะใช้คำว่าปังชาเป็นชื่อร้าน ร้านทางช้างเผือก อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา 7 แสนบาท เพราะติดคำว่าปังชาที่ป้ายไฟของร้าน ส่งผลให้ชาวเน็ตบอยคอตร้านเป็นวงกว้าง

และล่าสุดร้านตั้งใจชง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ถูกเรียกค่าเสียหาย 2 ล้านบาท เพราะใช้ภาชนะที่มีลักษณะคล้ายกัน จากนั้นวันที่ 1 ก.ย. น.ส.กาญจนา ทัตติยกุล หรือแก้ม เจ้าของร้านปังชา และร้านลูกไก่ทอง ได้ให้ทางรายการโหนกระแสทางช่อง 3 เชิญผู้เสียหายทั้ง 3 ร้านมาพบที่รายการ กระทั่งเจ้าตัวขอโทษทั้งน้ำตา อ้างที่จดเครื่องหมายการค้าและทรัพย์สินทางปัญญาไม่ได้ต้องการทำร้ายคนรวยหรือคนจน แต่อ้างว่าวันหนึ่งต่างชาติต้องเอาชาไทยไปเหมือนต้มยำกุ้ง เป็นการเรียนรู้จากต่างประเทศ หากต้องโดนประณามก็ขอให้เป็นบทเรียน แต่ขอให้ทุกคนเห็นความสำคัญ อย่างเช่นถ้วยทองเหลืองตกไปอยู่กับต่างชาติแล้ว

น.ส.กาญจนา ยืนยันว่าการยื่นโนติสโดยคิดมูลค่าที่สูงเป็นความผิดพลาดของบริษัท ตนไม่ได้คิดเอาเงินแม้แต่บาทเดียว เรื่องฟ้องถึงศาลไม่มีทางเกิดขึ้น แต่ถ้าคู่กรณีจะฟ้องเรียกค่าเสียหาย ก็ยอมรับการตัดสินใจ ถ้าต้องการเยียวยาก็ให้บอกมา ตนยินดี


อันดับ 3 : ปิดฉาก 3 ป. 9 ปี บิ๊กตู่ขออ่านหนังสือ-เลี้ยงหมา บิ๊กป้อมบ้านป่ารอยต่อฯ ปิดแล้ว บิ๊กป๊อกอำลามหาดไทย

เมื่อวันที่ 31 ส.ค. เป็นวันสุดท้ายที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้าทำงานที่ทำเนียบรัฐบาล หลังบริหารประเทศตั้งแต่ช่วงคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้าควบคุมอำนาจการปกครอง ผ่านมาถึง 9 ปี ถือฤกษ์เวลา 09.09 น.สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาล ในตอนหนึ่งเปิดใจกับสื่อ ยอมรับว่าโมโหกับสื่อ กลับมาก็รู้สึกเสียใจ ตนเป็นคนขี้โมโห คิดเร็วทำเร็ว บางทีก็อาจจะไม่เหมาะสม บางครั้งก็ต้องดุบ้าง เพราะเป็นทหารมาก่อน ที่สื่อเขียนกันมาตนก็ไม่ได้โกรธ เพราะเดี๋ยววันเวลาก็พิสูจน์กันเอง นับจากนี้จะกลับไปอ่านหนังสือและเลี้ยงสุนัข ฝากความรักความคิดถึงชาวโซเชียลและไม่โกรธเคืองใครทั้งสิ้น

ส่วนความขัดแย้งจะกลับมาอีกหรือไม่ เห็นว่า ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง คิดว่าทุกคนก็ไม่อยากให้กลับมาเหมือนเดิม อะไรที่ผิดพลาดและเสียหายก็อย่าไปทำอีก เป็นเรื่องประวัติศาสตร์ ทั้งนี้ ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา ทำงานสำเร็จเกินครึ่ง บางอย่างติดขัดข้อกฎหมายซึ่งเป็นเรื่องของสภาฯ แต่ประทับใจทุกโครงการที่ทำ ยกตัวอย่างโครงสร้างพื้นฐานการแพทย์สาธารณสุข ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าบ้านป่ารอยต่อฯ ปิดแล้ว ทำแต่มูลนิธิอย่างเดียว วันต่อมา พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย อำลาตำแหน่งเช่นกัน นับเป็นการปิดฉาก 3 ป. ที่เคยมีบทบาทสำคัญในการเมืองไทยอย่างยาวนาน


อันดับ 4 : หยกหน้าถอดสี ครู-นักเรียนไล่ลงรถทัวร์ ไม่ให้ไปค่ายภาษาจีน แถมถามซ้ำอยากจะเป็นคอนเทนต์เหรอ

ยังคงไม่จบสิ้นสำหรับกรณีของ หยก เยาวชนวัย 15 ปีที่อาศัยอยู่กับ น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง แกนนำกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าทะลุวัง เคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสิทธิเข้าเรียนชั้น ม.4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ ล่าสุดเมื่อเช้าวันที่ 31 ส.ค. หยกไปยังโรงเรียนเพื่อไปค่ายเรียนภาษาจีนที่จังหวัดนครปฐม แต่ครูไม่ให้ไปเพราะไม่ได้เป็นนักเรียน และคืนค่าเทอมไปแล้ว ต่อมาเพื่อนนักเรียนจึงช่วยกันอุ้มตัวหยกลงมา หยกนั่งขวางรถบัส เพื่อนนักเรียนจึงอุ้มออกไปอีกครั้ง รถบัสเปลี่ยนเส้นทางไปออกด้านหลัง หยกจึงนอนขวางล้อรถ เกิดการชุลมุน สุดท้ายถอยเข้าโรงเรียนแล้วออกประตูหน้าแทน

ที่ฮือฮาก็คือ ระหว่างที่หยกเฟซบุ๊กไลฟ์ขณะคุยกับอาจารย์ หยกอ้างว่าเพิ่งทราบว่าคืนค่าเทอมเมื่อวันอังคาร (29 ส.ค.) แต่ทางโรงเรียนยืนยันว่าคืนไปตั้งแต่อาทิตย์แรกที่มาจ่ายเงินด้วยซ้ำ กระทั่งเพื่อนนักเรียนชั้น ม.4 ขอร้องหยกให้ลงจากรถ เพราะไม่ได้จ่ายเงิน และเตือนว่าหยกกำลังละเมิดสิทธิผู้อื่น อย่างนี้เขาไม่เรียกประชาธิปไตย ก่อนที่จะเปิดเผยความในใจออกมาว่าอึดอัดกับพฤติกรรมของหยก มาโรงเรียนสาย ไม่เคยเข้าคาบโฮมรูม ที่ให้มาเข้าห้องเรียนคือให้โอกาสแล้ว ขอแค่ 3 วันไม่ได้เหรอ เพื่อนจะไปสนุกกัน หยกจะให้คนอื่นฟังเสียงตัวเอง ก็ฟังเสียงคนอื่นก่อน พร้อมตั้งคำถามว่า อยากจะเป็นคอนเทนต์เหรอ

ภายหลังหยกโพสต์ข้อความน้อยใจครูและนักเรียน ระบุว่า รู้สึกตกใจหน้าเสียกับสถานการณ์แต่พยายามยิ้ม ตกใจที่ครูให้เพื่อนเข้ามามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้และให้เพื่อนเข้ามาเป็นคนออกหน้า รวมถึงใช้วิธีให้เพื่อนๆ ทำอะไรแบบนี้ ซึ่งบทเรียนนี้จะไม่ลืม


อันดับ 5 : ปิดตำนาน 129 ปี จับเสือใส่ถังพลังสูง บางจากปิดดีลซื้อกิจการเอสโซ่ ประเทศไทย ทยอยปลดป้ายใน 2 ปี

ในที่สุดดีลประวัติศาสตร์ ที่บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เข้าซื้อหุ้นสามัญในบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO จากเอ็กซอนโมบิล เอเชีย โฮลดิ้ง (ExxonMobil) ก็เป็นอันเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา หลังชำระราคาซื้อขายหุ้นสามัญ 2,283.75 ล้านหุ้น มูลค่า 2.26 หมื่นล้านบาท ทำให้เอสโซ่กลายเป็นบริษัทย่อยของบางจาก โดยมีทรัพย์สินประกอบด้วย โรงกลั่นน้ำมันเอสโซ่ ศรีราชา กำลังการกลั่น 174,000 บาร์เรลต่อวัน เครือข่ายคลังน้ำมัน และสถานีบริการน้ำมันเอสโซ่ทั่วประเทศ 832 แห่ง นับเป็นการปิดตำนานสถานีบริการน้ำมันเอสโซ่ ที่อยู่คู่กับคนไทยมากว่า 129 ปี

หลังจากนี้ สถานีบริการน้ำมันเอสโซ่ จะเริ่มทยอยเปลี่ยนป้ายเป็นสถานีบริการบางจากภายใน 2 ปี เริ่มจากสถานีที่เอสโซ่เป็นเจ้าของเอง 280 แห่ง ภายในสิ้นปี 2566 จากนั้นจะทยอยเปลี่ยนสถานีของตัวแทนจำหน่ายต่อไป ขณะเดียวกัน น้ำมันที่จำหน่ายในสถานีบริการเอสโซ่จะเป็นสูตรเดียวกับบางจากภายในสิ้นเดือน ก.ย. ส่วนลูกค้าที่ถือบัตรเอสโซ่สไมลส์ ยังสามารถใช้บัตรใบเดิมสะสมและแลกคะแนนได้ตามปกติอีก 1 ปี ถึงวันที่ 31 ส.ค. 2567 หรือสามารถโอนคะแนนสะสมมาเป็นสมาชิกบางจากกรีนไมลส์ได้เช่นกัน การซื้อกิจการดังกล่าวส่งผลให้บางจากมีเครือข่ายสถานีบริการรวมกว่า 2,200 แห่ง

สำหรับเอสโซ่ ประเทศไทย เริ่มต้นทำธุรกิจตั้งแต่ปี 2437 เริ่มจากขายน้ำมันก๊าดที่ตรอกกัปตันบุช ก่อนซื้อคลังน้ำมันช่องนนทรีจากกรมเชื้อเพลิงมาดำเนินการ และตั้งโรงกลั่นน้ำมันศรีราชา จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2551


อันดับ 6 : พิษภัยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ฆาตกรรมหมู่ครอบครัว 3 ศพ ก่อนปลิดชีวิตสาหัส รอง ผบ.ตร.เตรียมบุกกัมพูชา

เหตุสลดพ่อฆาตกรรมหมู่ เพราะสิ้นเนื้อประดาตัวจากพิษภัยของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เกิดขึ้นเมื่อตีหนึ่งวันที่ 28 ส.ค. นายสาณิช ดอกไม้ อายุ 41 ปี สามีและบิดาใช้มีดอีโต้ทำร้ายร่างกาย น.ส.วิภาพร ราชา อายุ 44 ปี ภรรยา พร้อมด้วย ด.ช.ปุณณพัฒน์ ดอกไม้ อายุ 9 ขวบ และ ด.ช.บุญญานนท์ ดอกไม้ อายุ 13 ปี เสียชีวิต ก่อนฆ่าตัวตายตามแต่อาการสาหัส เหตุเกิดที่บ้านพักย่านหลังวัดหนามแดง ต.บางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ สาเหตุเกิดจากนายสาณิชเคยไปค้ำประกันรถยนต์ให้กับบุคคลรายหนึ่ง แล้วบุคคลรายนี้ไม่ส่งค่างวดรถจนขึ้นศาล กำลังจะถูกกรมบังคับคดียึดบ้าน แต่ต่อรองลดดอกเบี้ยเหลือ 6 แสนบาท

ต่อมา น.ส.วิภาพรถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกกู้เงินผ่านแอปฯ กู้เงิน เริ่มจากติดต่อขอกู้เงิน 1 แสนบาท แต่กลับให้โอนเงินไปก่อน อ้างว่าเป็นค่าดำเนินการ ค่าเปิดระบบ ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาจากเพื่อนร่วมงานหลายที่เป็นเงินกว่า 1.7 ล้านบาท แต่กลับไม่ได้เงินกู้ แล้วถูกเพื่อนมาตามทวงทุกวัน กระทั่งแจ้งความกับตำรวจ สภ.บางแก้วเมื่อวันที่ 25 ส.ค. ว่าถูกหลอกก่อนเกิดเหตุสลดดังกล่าว ตำรวจได้ออกหมายจับบัญชีม้า 11 ราย จับกุมได้ 4 ราย ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จ.สระแก้ว และจับกุมชาวกัมพูชา 2 คน ทำหน้าที่กดเงินให้นายทุนชาวจีนอยู่ในฝั่งกัมพูชา 9 แสนบาท โดยได้ค่าจ้างครั้งละ 1,000 บาท

ล่าสุด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เตรียมเดินทางไปที่ประเทศกัมพูชา เพื่อปฏิบัติการร่วมกันระหว่างตำรวจกัมพูชา และตำรวจไทยทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลังประสานพูดคุยกับ ผบ.ตร.คนใหม่ของกัมพูชาก่อนหน้านี้


อันดับ 7 : ปิดตำนาน 38 ปี หนังสือพิมพ์สยามกีฬารายวัน หลังแบกขาดทุนกว่า 3 ล้านไม่ไหว มุ่งทำออนไลน์เต็มตัว

นับเป็นการปิดตำนานหนังสือพิมพ์กีฬารายวัน ที่อยู่คู่กับแผงหนังสือมานานถึง 38 ปี เมื่อบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ตัดสินใจหยุดพิมพ์หนังสือพิมพ์รายวันในเครือสยามสปอร์ต ได้แก่ หนังสือพิมพ์สยามกีฬารายวัน หนังสือพิมพ์สปอร์ตพูลรายวัน และหนังสือพิมพ์ตลาดลูกหนังรายวัน ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 31 พ.ค. สยามสปอร์ตหยุดตีพิมพ์หนังสือพิมพ์สตาร์ซอคเกอร์รายวัน แล้วนำเนื้อหาไปรวมกับหนังสือพิมพ์สยามกีฬารายวัน แต่ผ่านไปเพียง 3 เดือน สยามสปอร์ตเลิกทำหนังสือพิมพ์รายวันถาวร อย่างไรก็ตาม สื่อกระดาษประเภทนิตยสาร ทั้งรายสัปดาห์ รายเดือน หรือฉบับพิเศษ ยังคงอยู่

นายระวิ โหลทอง ประธานผู้ก่อตั้งเครือสยามสปอร์ต เปิดเผยว่า สยามสปอร์ตยังคงดำเนินธุรกิจสื่อกีฬาต่อไป เพียงแต่ยุติการผลิตหนังสือพิมพ์กีฬารายวัน โดยปรับรูปแบบจากสื่อสิ่งพิมพ์ ก้าวเข้าสู่ช่องทางออนไลน์เต็มระบบ เนื่องจากผู้คนหันมาเสพสื่อออนไลน์ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งหนังสือพิมพ์รายวันมีต้นทุนการผลิตสูง ที่ผ่านมาพยายามประคับประคองเอาไว้ให้ถึงที่สุด แต่เนื่องจากสื่อกีฬารายวัน หาสปอนเซอร์สนับสนุนไม่ได้ง่ายเหมือนหนังสือพิมพ์รายวันทั่วไป และเมื่อร้านขายหนังสือทยอยปิดตัวจำนวนมาก เหลือแผงขายหนังสือทั่วประเทศไม่กี่เจ้า ไม่อาจแบกภาระขาดทุนราวเดือนละ 3.5 ล้านบาท จึงยุติลงเท่านี้

สำหรับหนังสือพิมพ์สยามกีฬารายวัน ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2528 ก่อนจะแตกแขนงเป็นหนังสือพิมพ์กีฬารายวันรวม 7 ฉบับ นิตยสารด้านกีฬาและบันเทิงอีกกว่า 20 ฉบับ โดยมีโรงพิมพ์เป็นของตัวเองย่านถนนรามอินทรา กรุงเทพฯ