1.เพื่อไทยเดินหน้าจับมือหลายพรรคตั้ง รบ. ส่งสัญญาณมีพรรค 2 ลุง ยัน ใครไม่โหวตนายกฯ ให้เพื่อไทย ไม่เป็นไร ถือว่าไม่อยู่ในสมการร่วม รบ.!
สัปดาห์ที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยเดินสายเจรจากับหลายพรรคการเมืองในขั้วรัฐบาลเดิม เพื่อขอเสียงโหวตนายกฯ ให้พรรคเพื่อไทย และจับมือกับพรรคเพื่อไทยในการจัดตั้งรัฐบาล เริ่มจากวันที่ 7 ส.ค. แกนนำพรรคเพื่อไทยได้หารือกับแกนนำพรรคภูมิใจไทย ก่อนเปิดแถลงข่าว โดยระบุว่า พรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทยจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล โดยการสนับสนุนจากพรรคการเมืองต่างๆ และ สส. จากหลายพรรคการเมือง ซึ่งขณะนี้มีเสียงเกินกึ่งหนึ่งแล้ว แต่เรายังคงต้องการเสียงสนับสนุนจาก สส.และ สว. เพื่อให้จัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ สามารถบริหารประเทศ และเร่งแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนได้โดยเร็ว
ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทย ตอบรับการเข้าร่วมรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยมีเงื่อนไข 3 ข้อ คือ 1. ไม่แตะต้องประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 2. ไม่เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย และ 3. ต้องไม่มีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาล ซึ่งพรรคเพื่อไทย เห็นพ้องในแนวทางเดียวกัน
วันต่อมา (9 ส.ค.) แกนนำพรรคเพื่อไทยได้แถลงหลังหารือกับ 6 พรรคเล็กเพื่อร่วมจัดตั้งรัฐบาลเพิ่มเติม ประกอบด้วย พรรคประชาชาติ พรรคเสรีรวมไทย พรรคชาติพัฒนากล้า พรรคเพื่อไทรวมพลัง พรรคพลังสังคมใหม่ พรรคท้องที่ไทย และรวมเสียงโหวตได้มากกว่ากึ่งหนึ่งแล้ว
ทั้งนี้ แกนนำพรรคเพื่อไทยระบุด้วยว่า การที่จะแก้วิกฤตครั้งนี้ได้ ต้องสลายขั้วการเมือง ดึงความร่วมมือจากทุกพรรคทุกฝ่าย ทุกกลุ่ม ทุกคน เพื่อร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทย และนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำ เพื่อนำรัฐธรรมนูญออกจากวิกฤต เพื่อนำประชาชนให้พ้นทุกข์ เพื่อสร้างความสามัคคี สมานฉันท์ โดยถือเป็น “วาระประเทศ” ที่สำคัญอย่างสูงสุด
เป็นที่น่าสังเกตว่า วันเดียวกัน (9 ส.ค.) แกนนำพรรคเพื่อไทย นำโดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรค ได้เดินจากที่ทำการพรรคเพื่อไทย อาคารโอเอไอ ทาวเวอร์ ไปยังอาคารไทยซัมมิต เพื่อหารือกับแกนนำพรรคก้าวไกล ซึ่งมีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ร่วมหารือด้วย หลังหารือ นางสาวแพทองธาร เผยว่า วันนี้รับฟังความเห็นซึ่งกันและกัน ทั้งพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย เรามาคุยกันว่า ตอนนี้อยู่ในสถานการณ์ใดบ้าง ทำความเข้าใจทั้งสองฝ่ายว่าเราทำงานถึงขั้นใดแล้ว ...พรรคเพื่อไทยมีความตั้งใจอย่างมากที่จะจัดตั้งรัฐบาลให้สำเร็จโดยมีเสียงสนับสนุนจากทั้ง สส. และ สว. สิ่งที่ทำตอนนี้ไม่ใช่เกมการเมือง แต่เรากำลังจะฟอร์มรัฐบาลที่แข็งแรงให้ได้ เพื่อแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนต่อไป
ด้านนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวสั้นๆ ว่า เป็นการรับฟังซึ่งกันและกัน ยังไม่มีผลสรุปอะไร ส่วนจะยกมือโหวตให้นายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายพิธาไม่ได้ตอบ แค่บอกว่า วันนี้เป็นการรับฟังความคิดเห็นของกันและกันเท่านั้น
แกนนำพรรคเพื่อไทยได้หารือกับแกนนำพรรคชาติไทยพัฒนาเพื่อร่วมจัดตั้งรัฐบาล ก่อนเปิดแถลงร่วมกัน โดยนายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ได้ขอบคุณพรรคเพื่อไทยที่ยื่นไมตรีจิตเรียนเชิญพรรคชาคติไทยพัฒนา ทำงานร่วมกันในฐานะรัฐบาล เราเชื่อมั่นเพื่อไทยว่าจะพาประเทศเดินหน้า
ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่แกนนำพรรคเพื่อไทยไปหารือกับพรรคก้าวไกลเมื่อวันที่ 9 ส.ค.ด้วยว่า ไม่ใช่สิ่งผิดปกติ เพราะนั่นคือการปฏิบัติการสลายขั้วการเมือง ยืนยันว่า ไม่ใช่ไปเชิญพรรคก้าวไกลมาร่วมรัฐบาล ไปรับฟังความเห็น และสร้างมิติทางการเมืองใหม่ เพื่อไทย-ก้าวไกล รัฐบาลกับฝ่ายค้านทำงานร่วมกันได้ เรื่องเป็นประโยชน์ประชาชนทำได้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องแก้มาตรา 112
ทั้งนี้ วันเดียวกัน (10 ส.ค.) นายไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงจุดยืนของพรรคในการโหวตนายกรัฐมนตรีว่า เห็นว่าประเทศจำเป็นต้องมีรัฐบาลเร่งด่วน เพราะปัญหาหลายเรื่องในประเทศ เป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขเร่งด่วนจึงควรต้องมีรัฐบาล เราจึงจะสนับสนุนพรรคเพื่อไทย โดยที่พรรคพลังประชารัฐจะไม่ขาดแม้แต่คนเดียว และหากมาก็มาทั้งหมด
เมื่อถามว่า พรรคพลังประชารัฐจะเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยด้วยหรือไม่ นายไผ่ กล่าวว่า ไม่มีการพูดคุยเรื่องนี้ แต่คิดว่าเป็นเรื่องเล็ก เราคิดว่าทำให้ผ่านตรงนี้ไปก่อนค่อยว่ากัน เมื่อถามว่า พล.อ.ประวิตร ยังอยู่ใช่หรือไม่ นายไผ่ กล่าวว่า “ลุงอยู่สิครับ”
วันต่อมา (11 ส.ค.) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายไผ่ ลิกค์ ส.ส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ ออกมาระบุว่า พรรคพลังประชารัฐพร้อมสนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยว่า ต้องขอบคุณนายไผ่ และ สส.พรรคพลังประชารัฐทั้ง 40 คนจะสนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย และได้ยินว่า นายไผ่ ก็ไม่ได้มีเงื่อนไขอะไร แค่เห็นว่าประเทศต้องเดินไปข้างหน้าสนับสนุนให้มีรัฐบาลโดยเร็ว
“ขอขอบคุณ และยินดี เราต้องการความสมานฉันท์และความชัดเจนในการแก้ไขวิกฤต ถ้าได้ทั้งหมดก็ยิ่งดี แต่ขึ้นอยู่กับเอกสิทธิ สส. และการดำเนินการของเรายืนยันไม่มีงูเห่า เพราะไม่ได้เอากล้วยไปซื้อ แต่เอาวาระประชาชนเป็นที่ตั้ง”
เมื่อถามว่า ในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติ มีการพูดคุยและจะมีการประกาศออกมาเหมือนพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ความจริงก็ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับพรรคพลังประชารัฐ เช่นเดียวกับพรรครวมไทยสร้างชาติ หากเห็นว่าเราเป็นแกนนำ และสามารถแก้ปัญหาประเทศได้ ก็แสดงเจตนารมณ์ช่วยสนับสนุนเรา ตอนนี้เราไม่ทราบว่าใครจะสนับสนุนเราบ้าง แต่ได้หมดเลย ทั้งพรรคประชาธิปัตย์, พรรครวมไทยสร้างชาติ, พรรคไทยสร้างไทย และพรรคเป็นธรรม สามารถสนับสนุนได้หมด เพราะเราเป็นรัฐบาลพิเศษเอาวาระประชาชนเป็นหลัก
เมื่อถามว่า หากพรรค 2 ลุงโหวตนายกรัฐมนตรีให้พรรคเพื่อไทย จะมีการมาร่วมรัฐบาลเพื่อเพิ่มเสถียรภาพของรัฐบาลหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ทุกคนมีสิทธิยกมือให้พรรคเพื่อไทย แต่ไม่ได้หมายความว่าการยกมือให้จะต้องได้เป็นรัฐบาลร่วมกันทั้งหมด แต่ใครเลือกก็อยู่ในเงื่อนไขที่ต้องคุยกันว่าจะมีส่วนร่วมกันได้ขนาดไหน ไม่เลือกก็ชัดเจนว่า ไม่เอาเราไม่เป็นไร ถือว่าเราไม่มีพรรคเหล่านั้นในสมการ
เมื่อถามว่า สรุปแล้วเสถียรภาพต้องมี 2 ลุงอยู่ในสมการหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า คณิตศาสตร์ทางการเมืองชัดเจนอยู่แล้วลองไปดูว่าเป็นอย่างไร มันเป็นความจำเป็นและเกณฑ์บังคับให้เราต้องเดิน วันนี้ที่เราเลือกเดิน พรรคเพื่อไทยต้องจ่ายต้นทุนสูง และเชื่อว่าประชาชนจะต้องตัดสินใจ
นายภูมิธรรม กล่าวด้วยว่า “หากวันที่ 16 ส.ค. ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าโหวตต่อไปได้ พรรคเพื่อไทยก็จะเสนอคุณเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย และถ้าโหวตผ่านไปเลยก็สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ภายใน 1 เดือนอย่างช้า พรรคเพื่อไทยจะจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เสร็จ และนโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภาจะเสร็จก่อนเดือน ต.ค.66 ทุกอย่างจะเดินหน้าไปได้”
วันเดียวกัน (11 ส.ค.) นายสุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ว่า การโหวตนายกรัฐมนตรี และการตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ต้องรอมติพรรค แต่ย้ำว่า สิทธิในการโหวตเป็นของผู้แทนราษฎร ที่ต้องการให้ประเทศเดินหน้า เป็นสิ่งที่นักการเมืองและพรรคการเมืองควรทำ จึงเชื่อว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ จะยึดถือชาติบ้านเมือง และไม่ฝืนความเจริญของประเทศ นอกจากบ้านเมืองจะเดินหน้าแล้ว ยังเป็นการสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในชาติ
นายสุชาติ กล่าวด้วยว่า "ถ้าจะไปต้องไปทั้งพรรค เรายึดหลักบ้านเมือง ถ้าโหวตแล้วบ้านเมืองไปได้ ทำไมจะไม่โหวต และไม่ขัดข้องที่จะร่วมงานการเมืองกับพรรคเพื่อไทย แม้จะเคยอยู่ต่างขั้ว รวมถึงพรรคพลังประชารัฐ”
2.สะพัด รบ.เพื่อไทยปิดดีลที่ 315 เสียง "พัชรวาท" อาจนั่งรองนายกฯ แทน "บิ๊กป้อม" ด้าน พปชร.ยัน "บิ๊กป้อม" ไม่เคยพูดไม่รับตำแหน่ง!
เมื่อวันที่ 11 ส.ค. มีรายงานว่า การเจรจาเพื่อร่วมจัดตั้งรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ จะจบที่พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เป็นพรรคสุดท้าย รวม 315 เสียง โดยจะไม่มีพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาล ซึ่งเสียง 315 เสียง ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย 141 เสียง พรรคภูมิใจไทย (ภท.) 71 เสียง พรรคพลังประชารัฐ 40 เสียง พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) 10 เสียง พรรคประชาชาติ (ปช.) 9 เสียง พรรคเพื่อไทรวมพลัง (พทล.) 2 เสียง พรรคชาติพัฒนากล้า (ชพก.) 2 เสียง พรรคเสรีรวมไทย (สร.) 1 เสียง พรรคพลังสังคมใหม่ 1 เสียง พรรคท้องที่ไทย 1 เสียง พรรคประชาธิปไตยใหม่ 1 เสียง
ซึ่งทั้ง 315 เสียง จะร่วมโหวตสนับสนุนนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือว่ามีเสียงเกินครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร โดยจะต้องหาเสียง สว. มาสนับสนุนอีก 59 เสียง จึงจะเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา คือ 374 เสียง ในการโหวตนายกรัฐมนตรี
มีรายงานด้วยว่า การเจรจาแบ่งสัดส่วน ครม. คือ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี 35 คน ขณะนี้ยังเป็นเพียงการแบ่งสัดส่วนโควตาตามจำนวน สส.ของแต่ละพรรคเท่านั้น ยังไม่ได้มีการระบุกระทรวง โดยภาพรวมพรรคเพื่อไทยจะดูแลกระทรวงเศรษฐกิจทั้งหมด อาทิ กระทรวงการคลัง คมนาคม พาณิชย์ เกษตรและสหกรณ์ พลังงาน รวมถึงกระทรวงด้านสังคมคือ มหาดไทย ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นต้น
การแบ่งรัฐมนตรี เบื้องต้นจะเป็นสัดส่วนดังนี้ พรรคเพื่อไทย 16 เก้าอี้ พรรคภูมิใจไทยได้รองนายกรัฐมนตรี รมว. 4 เก้าอี้ รมช. 4 เก้าอี้ พรรคพลังประชารัฐ จะได้รองนายกรัฐมนตรี รมว. 2 เก้าอี้ รมช.3 เก้าอี้ พรรครวมไทยสร้างชาติ จะได้ รมว.2 เก้าอี้ รมช.2 เก้าอี้ ขณะที่พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคประชาชาติ จะได้ รมว.พรรคละ 1 เก้าอี้ โดยใช้สูตร สส. 9 คน ได้ 1 เก้าอี้
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการตั้งบุคคลที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่ง ในส่วนพรรคภูมิใจไทย คาดว่า จะดูแลงานสังคม และแนวโน้มจะได้ดูกระทรวงสาธารณสุขเช่นเดิม และอาจได้เก้าอี้ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) อุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม (อว.) และวัฒนธรรม ขณะที่พรรค ชทพ.ยังยืนยันจะขอดูกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ส่วนพรรคประชาชาติ คาดว่า พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรค เป็น รมว.ยุติธรรม เช่นเดิม
อย่างไรก็ตามการต่อรองตัวกระทรวงยังไม่ลงตัวนัก โดยพรรค รทสช.ต้องการกระทรวงพลังงาน ที่พรรคเพื่อไทยเองก็ต้องการ ซึ่งแคนดิเดต รมว.พลังงาน ของพรรค รทสช. คือ นายณอคุณ สิทธิพงศ์ อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน
ทั้งนี้ ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งจะได้ 3 รมช. คาดว่า หนึ่งในนั้นคือ รมช.มหาดไทย ซึ่งแนวโน้มจะเป็น ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา เลขาธิการพรรค ขณะที่นายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรค พปชร.คาดว่า จะได้ดำรงตำแหน่ง รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) แม้ว่าพรรค ชทพ.ต้องการเก้าอี้ รมว.กระทรวงนี้ และ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง จะดำรงตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการเช่นเดิม
ส่วน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ประธานที่ปรึกษาพรรค พปชร. คาดว่าจะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะควบตำแหน่งอะไรหรือไม่ โดยรายชื่อกระทรวงจะมีความชัดเจนหลังจากโหวตนายกรัฐมนตรีเสร็จสิ้นลง ซึ่งแต่ละพรรคก็ต้องไปจัดตามความเหมาะสมและเงื่อนไขปัจจัยของและพรรคต่อไป
ทั้งนี้ รายงานระบุว่า “จากการพูดคุยเป็นที่แน่นอนว่า บุคคลที่มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีจะไม่มีชื่อของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รวมถึงจะไม่มีบรรดาแกนนำ กปปส. เข้าร่วมเป็นรัฐมนตรี “เศรษฐา 1” ด้วย”
อย่างไรก็ตาม หลังมีข่าวว่า จะไม่มีชื่อ พล.อ.ประวิตร เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลเศรษฐา1 โดยจะเป็น พล.ต.อ.พัชรวาท นั่งแทน ปรากฎว่า ล่าสุด (12 ส.ค.) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่ถามว่า ชัดเจนหรือไม่ว่า พล.อ.ประวิตร จะไม่รับตำแหน่งในรัฐบาลชุดนี้ โดยกล่าวว่า ไม่ทราบ ยังไม่ได้คุยกัน
เมื่อถามว่า พล.อ.ประวิตร ได้มีการบอกหรือไม่ว่าจะวางมือในรอบนี้ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ก็เห็นยังฟิตทำงานอยู่ตลอด จะวางมือตอนไหน ถามอีกว่า มีข่าวว่า พล.อ.ประวิตร จะไม่รับตำแหน่งในรอบนี้ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ใครบอกว่าไม่รับตำแหน่ง ท่านไม่เคยพูดสักหน่อย ตนยังไม่เคยได้ยินเลย ลุงป้อมเคยพูดที่ไหน ถ้าท่านทำงานได้ ท่านก็ทำอยู่แล้ว และตอนนี้ พล.อ.ประวิตร ยังคงเป็นแคนดิเดตนายกฯ อยู่ ดังนั้นจะมาบอกว่าท่านจะไม่รับตำแหน่งในรัฐบาลนี้ได้อย่างไร แต่ว่าโอเคอาจจะไม่ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ทำไมสื่อชอบไปยุให้ท่านถอนตัวหรือวางมือ
3. "เศรษฐา" ส่งทนายฟ้อง "ชูวิทย์" หมิ่นประมาทกล่าวหาซื้อขายที่ดินมีพฤติการณ์เลี่ยงภาษี เรียกค่าเสียหาย 500 ล้าน ด้าน "ชูวิทย์" ยัน เปิดโปงเพื่อชาติ!
เมื่อวันที่ 7 ส.ค. นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความซึ่งได้รับมอบอำนาจจากนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย (พท.) ให้ยื่นฟ้องนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองและนักธุรกิจอาบอบนวด ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ต่อศาลอาญา และขอให้ลบโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก จากกรณีที่นายชูวิทย์ เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ และระบุว่า บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) โดยนายเศรษฐา ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ ซื้อขายที่ดินกับเอกชนและมีพฤติการณ์หลีกเลี่ยงภาษี
นายวิญญัติ กล่าวว่า ตนไม่ได้มีเจตนาจากกลั่นแกล้งคนป่วยหรือซ้ำเติมคนที่บอกว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ตนในฐานะเพื่อนมนุษย์ของนายชูวิทย์ ขอยืนยันว่า ไม่มีเรื่องส่วนตัวอะไร ขอให้กำลังใจนายชูวิทย์ต่อสู้กับโรคที่เผชิญอยู่ แต่ขอให้อย่าลืมว่า การกระทำใดๆ ไม่ว่าจะป่วยหรือเป็นคนที่ปกติ หากการกระทำเข้าข่ายผิดกฎหมาย จะต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย
นายวิญญัติ กล่าวอีกว่า นายเศรษฐา ในฐานะผู้ที่ได้รับความเสียหายต้องมาฟ้องร้อง เป็นการทำไปเพื่อปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง ทั้งนี้ นายชูวิทย์ได้มีการกล่าวถ้อยคำชัดเจนและมีลักษณะใส่ความว่า นายเศรษฐา สมคบคิดกับผู้ขายเพื่อหลบเลี่ยงภาษี ทำให้รัฐเสียรายได้ไป 500 กว่าล้านบาท ส่วนนี้จึงเป็นมูลเหตุในการฟ้องนายชูวิทย์ ซึ่งนายชูวิทย์ อาจจะระบุว่า การแถลงข่าวขณะนั้นเป็นการใช้สิทธิประชาชนตรวจสอบนายเศรษฐา ตามสิทธิรัฐธรรมนูญก็สามารถระบุได้ แต่ตนอยากจะบอกว่า การใช้สิทธิ เสรีภาพต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย การที่นายชูวิทย์แถลงข่าวในวันนั้นนอกจากมีการใช้สื่อประกอบเป็นโครงสร้าง แผนผัง แสดงแล้ว ยังมีบุคคลที่ 3 จำนวนมากที่ถูกพาดพิง
สาระสำคัญของวันนั้นและวันนี้ ที่ตนจะสื่อสารคือ นายชูวิทย์ได้กล่าวข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วน และเป็นข้อเท็จจริงที่จงใจปกปิด หรือจงใจทำให้คนเข้าใจผิดหรือไม่ นี่คือข้อกล่าวหาที่ตนในฐานะตัวแทนมายื่นฟ้อง เพราะเราเห็นว่า นายชูวิทย์มีเจตนาใส่ความให้เกิดความเสียหายอย่างชัดเจน
ข้อเท็จจริงที่เป็นความจริงที่ตนรับรู้และรับทราบ ซึ่งทางบริษัท แสนสิริ ได้ชี้แจงไปก่อนหน้านี้ว่า การได้ที่ดินของผู้ถือหุ้นทั้ง 12 คน เป็นการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ที่ไม่พร้อมกัน เป็นไปตามคำสั่งของกรมสรรพากร ซึ่งนายชูวิทย์ไม่ได้ระบุถึงในส่วนนี้ให้ชัดเจนว่า บริษัทแสนสิริมีการซื้อที่ดินจากผู้ถือหุ้นที่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์มาไม่พร้อมกัน เพียงแต่ระบุว่า มีการโอนขายให้บริษัทแสนสิริไม่พร้อมกัน
จากนั้น นายวิญญัติ ได้แสดงข้อมูล แผนผังภายหลังที่บริษัทเอกชนเลิกกิจการและมีการโอนที่ดินให้กับผู้ถือหุ้นทั้ง 12 ราย ซึ่งมีรายละเอียดวันที่แต่ละรายไม่พร้อมกัน ผู้ถือหุ้นแต่ละคนจึงต้องมีการแยกชำระ แยกทำนิติกรรม เรื่องนี้ทางทีมพร้อมจะไปพิสูจน์ในศาล หรือให้เวลานายชูวิทย์ได้แก้ตัวได้
ตามโครงสร้างที่ตนได้เสนอนั้น คนที่มีหน้าที่เสียภาษี คือ ผู้ขายที่ดิน เพราะมีการตกลงกันตามเอกเทศสัญญา ทั้งนี้ คนซื้อคนขายจะตกลงกันอย่างไรก็ได้ คนขายตัดสินใจทำวิธีนี้และแจ้งคนซื้อ ซึ่งเป็นบริษัทนายหน้าได้ดำเนินการทั้งหมดได้เสียภาษีในฐานะบุคคลธรรมดา
ส่วนกรณีที่นายชูวิทย์ ระบุถึงเส้นบางๆ ระหว่างจริยธรรมเรื่องการวางแผนภาษีกับการเลี่ยงภาษี ที่ไม่เหมือนกัน ในเรื่องนี้ตนเห็นด้วย แต่ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่ใช่การเลี่ยงภาษี แต่เป็นการวางแผนภาษี ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย ไม่ใช่การสมรู้ร่วมคิดกระทำผิดกฎหมายเพื่อทำให้รัฐเสียประโยชน์
นายวิญญัติ ระบุด้วยว่า นายชูวิทย์เคยถูกระงับสิทธิเลือกตั้ง เคยประกอบกิจการอาบอบนวด เคยรับโทษจำคุก เคยต้องโทษคำพิพากษาเกี่ยวกับการปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน และอยู่ระหว่างการต้องห้ามไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่ทางการเมือง แต่นายเศรษฐาไม่เคยติดยาเสพติด ไม่เคยเป็นบุคคลต้องห้ามไม่ให้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ไม่เคยถูกระงับการใช้สิทธิเลือกตั้ง หรือถูกตัดสินรับโทษจำคุก การที่นายชูวิทย์ออกมากล่าวหานายเศรษฐา ก่อนถึงวันประชุมรัฐสภามีเจตนาคืออะไร ถ้ามีเจตนาตรวจสอบก็ว่าไป แต่การกระทำให้แคนดิเดตอันดับ 1 ของพรรคเพื่อไทยที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสมาชิกรัฐสภาเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกมองว่าเป็นคนโกงภาษี ไม่มีความเหมาะสมเป็นนายกฯ อันนี้คือเจตนาที่เราเห็นว่า นายชูวิทย์ ไม่สามารถปฏิเสธได้
จึงมีการเรียกค่าเสียหายทางแพ่งด้วย เนื่องจากเข้าข่ายเป็นการละเมิดขายข่าวแพร่หลาย ฝ่าฝืนต่อความเป็นจริง โดยมีการเรียกค่าเสียหาย 500 ล้านบาท ซึ่งเรื่องนี้ตนได้ยื่นฟ้องแล้ว ศาลนัดไต่สวนวันที่ 9 ต.ค.นี้ วันนั้นจะมีพยานบุคคล 7-8 ปาก และพยานเอกสารที่เกี่ยวข้องมาแสดงต่อศาล
นายวิญญัติ ยังกล่าวทำนองเตือนนายชูวิทย์ด้วยว่า ตนได้รับข้อมูลว่า มีบริษัทหนึ่งที่มีลูกของนายชูวิทย์เป็นคณะกรรมการ มีสถานะเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ ชื่อ บริษัทสมบัติเติมตระกูล จำกัด ตนขอให้นายชูวิทย์ระวังการตรวจสอบเรื่องนี้ให้ดี เพราะมีคนจับตาดูอยู่ บริษัทนี้ทำอะไร
ด้านนายชูวิทย์ ซึ่งเดินทางมาพร้อมนายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ กล่าวว่า รู้สึกขนลุก ตอนนี้ตนมี 21 คดีแล้ว ที่ผ่านมา การเปิดโปงต่างๆ ก็ทำเพื่อชาติบ้านเมือง นายเศรษฐา ซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะ และกำลังเสนอตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคน นายเศรษฐา มีความเป็นนายทุน เมื่อเป็นนายทุน ได้ใช้รถไฟความเร็วสูงสายยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อเข้าไปในพรรคเพื่อไทย แต่คุณสมบัติของนายเศรษฐา เป็นสิ่งที่ประชาชนอย่างตนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ เพราะหากอ้างอิงตามรัฐธรรมนูญในมาตรา 160 บุคคลที่เป็นนายกฯ จะต้องมีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์
นายชูวิทย์ กล่าวด้วยว่า ก่อนที่นายเศรษฐาจะเป็นนายกฯ จะต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ห้ามมีพฤติการณ์น่าสงสัย พฤติกรรมของนายเศรษฐามาจากการวางแผนกระทำการร่วมมือสนับสนุนในฐานะผู้ซื้อ และมีผู้ขายที่เป็นคู่สัญญาทำการหลบเลี่ยงภาษี
4. "ประยุทธ มหากิจศิริ" อ่วม ถูกศาลพิพากษาจำคุก 2 ปี 8 เดือน คดีหนุน จนท.รัฐออกเอกสารสิทธิมิชอบ ยังมีคดีรออยู่อีก 4 คดี!
เมื่อวันที่ 9 ส.ค. มีรายงานข่าวว่า ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 8 ได้มีคำพิพากษาตัดสินลงโทษจำเลยในคดีกล่าวหาอดีตเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดกระบี่ กับพวกรวม 11 ราย ออกเอกสารสิทธิในเขตปฏิรูปที่ดินจังหวัดกระบี่และในเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี ณ ต.หนองทะเล อ.เมืองกระบี่ จ.กระบี่ เนื้อที่ 66 ไร่เศษ โดยมีการนำที่ดินนอกหลักฐาน ซึ่งเป็นที่ของรัฐ 19 ไร่เศษ มาออกเอกสารสิทธิโดยไม่ชอบ ซึ่งเรื่องนี้มีหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเอกชน โดยนายประยุทธ มหากิจศิริ ผู้ก่อตั้งบริษัทในกลุ่มเนสกาแฟ เป็นจำเลยที่ 6 ในฐานะผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐกระทำความผิด
โดยศาลพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) ลงโทษจำคุก 6 ปี จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) ประกอบมาตรา 86 มาตรา 157 (เดิม) เป็นการกระทำกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) ประกอบมาตรา 86 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษจำคุกคนละ 4 ปี จำเลยที่ 5 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 (เดิม) จำคุก 4 ปี จำเลยที่ 6 ถึงที่ 11 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) ประกอบมาตรา 86 ลงโทษจำคุกคนละ 4 ปี
อย่างไรก็ตาม ในทางนำสืบของจำเลยทั้ง 11 ราย เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เห็นควรลดโทษให้คนละหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 4 ปี จำเลยที่ 2 ถึงที่ 11 คงจำคุกคนละ 2 ปี 8 เดือน เพิกถอนโฉนดที่ดิน ตำบลหนองทะเล อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ ทั้งฉบับ
วันต่อมา (10 ส.ค.) นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวยืนยันว่า ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 8 มีคำพิพากษาตัดสินลงโทษจำเลย 11 ราย ในคดีดังกล่าวจริง โดยเป็นคดีที่ ป.ป.ช.ฟ้องเอง และว่า คดีนายประยุทธยังมีอีก 3 สำนวน คือคดีทุจริตออกโฉนดที่ดินรุกป่าสงวน และเขต ส.ป.ก.ก่อสร้างสนามกอล์ฟ ในพื้นที่อำเภอปากช่อง จ.นครราชสีมา โดยกรณีนี้มี 4 สำนวน ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดไปแล้ว 3 สำนวน ขณะนี้อยู่ระหว่างรออัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้อง ส่วนอีกหนึ่งคดีอยู่ระหว่างสั่งไต่สวน ฉะนั้นน่าจะมีประมาณ 4 คดี แต่ถ้ารวมคดีที่ศาลมีคำพิพากษาที่ จ.กระบี่ก็เป็น 5 คดี
ส่วนกรณีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองถูกร้องว่ารุกที่ป่า นายนิวัติไชย กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่า มีจำนวนมากหลายสิบคน ที่มีการครอบครองที่ดินอย่างผิดกฎหมายโดยเฉพาะ ภบท. 5 ซึ่งกำลังดูว่าเป็นการครอบครองโดยไม่ชอบหรือไม่ มีการครอบครองที่ดินหลวง หรือที่ดินหวงห้ามหรือไม่ ซึ่งอาจจะแตกต่างจากที่ดินที่เป็นอุทยาน ป่าไม้ ซึ่งน้ำหนักอาจจะไม่เหมือนกัน ส่วนใหญ่ที่มีการแจ้งข้อกล่าวหาไปจะเป็นที่ดินที่ผิดกฎหมายครอบครองไม่ได้ เช่น เป็นที่ดินป่า หรือที่ดิน สปก. ซึ่งตนเองไม่มีสิทธิ์ที่จะครอบครอง แต่ยังครอบครองอยู่ในขณะที่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
5. กกต. เคาะเลือกตั้งซ่อม สส.ระยอง เขต 3 แทน "นครชัย" พรรคก้าวไกล 10 ก.ย. เปิดรับสมัคร 15-19 ส.ค.!
เมื่อวันที่ 10 ส.ค. นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. กล่าวถึงการเตรียมจัดเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ระยอง เขต 3 แทนนายนครชัย ขุนณรงค์ สส.พรรคก้าวไกล ว่า หลังมีประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง สส. ระยอง เขต 3 แทนตำแหน่งที่ว่างแล้ว กกต.ต้องประชุมภายใน 5 วัน โดยกำหนดประชุมในวันที่ 11 ส.ค. เพื่อกำหนดวันเลือกตั้งและวันสมัครรับเลือกตั้ง
ทั้งนี้ นายนครชัย ขุนณรงค์ ได้ลาออกจาก สส.เมื่อวันที่ 3 ส.ค. หลังถูก พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย แฉว่า เคยต้องโทษจำคุก 3 ปี จากคดีลักทรัพย์ เมื่อ 24 ปีก่อน ทำให้ขาดคุณสมบัติที่จะเป็น สส.
ส่วนเรื่องการตั้งคณะกรรมการเพื่อเอาผิดอาญานายนครชัย ฐานรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิสมัคร แต่ยังลงสมัครตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. กกต.ได้มีการพูดุคยกันและขอให้ทางสำนักงานไปดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ รวมถึงค่าชดใช้ในการจัดการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งถ้าเรียกให้ชดใช้ตามกฎหมายเลือกตั้งอาจทำได้ลำบาก แต่อาจสามารถใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ว่าด้วยการละเมิด
วันต่อมา (11 ส.ค.) นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. ได้ลงนามในประกาศ กกต. เรื่อง กำหนดวันเลือกตั้งและวันรับสมัครเลือกตั้ง สส. จังหวัดระยอง เขตเลือกตั้งที่ 3 แทนตำแหน่งที่ว่าง หลังมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง โดยกำหนดให้มีการรับสมัครในวันที่ 15-19 ส.ค.2566 ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น. ณ สถานที่ที่ผู้อำนวยการเลือกตั้งประจำเขตกำหนด โดยกำหนดให้วันอาทิตย์ 10 ก.ย. เป็นวันเลือกตั้ง ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น.
นายอิทธิพร เผยความคืบหน้าการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนการทุจริตเลือกตั้งที่ผ่านมาด้วยว่า นับจากวันที่ปิดรับคำร้องเรียน พบว่ามีเรื่องร้องเรียนเข้ามาทั้งหมด 350 เรื่อง ถือว่าน้อยกว่าปี 2562 ซึ่งมีจำนวน 592 เรื่อง ขณะนี้ได้พิจารณาไปแล้วกว่า 50 % โดยในระเบียบการสืบสวน ไต่สวนของ กกต.ได้มีการระบุระยะเวลาการพิจารณาคำร้องว่าต้องเสร็จสิ้นถึงขั้นทำคำวินิจฉัยภายใน 1 ปี และเร็วๆ นี้จะออกประกาศระยะเวลาการดำเนินการเกี่ยวกับคำร้อง ซึ่งระบุไว้ชัดว่าต้องใช้ระยะเวลาเท่าไหร่
นายอิทธิพร เผยด้วยว่า เรื่องร้องเรียนปี 2566 มีหลายประเด็น ส่วนใหญ่ เป็นมาตรา 73 (1) ซึ่งเป็นเรื่องการซื้อเสียง ใส่ร้าย รวมถึงเรื่องหาเสียงหลอกลวง และเรื่องอื่นๆ เช่น ป้ายหาเสียง ซึ่งเป็นประเด็นที่ไม่ต่างจากที่มีการร้องเรียนเมื่อปี 2562