"ทนง" ชี้ "อินเดีย" เหยียบเรือสองแคม ออกลายไม่ร่วมสร้างเงินสกุลร่วมบริกส์ หลังอเมริกาให้สารพัดผลประโยชน์ล่อ
วันที่ 18 ก.ค. 2566 นายทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ ร่วมสนทนาในรายการ "คนเคาะข่าว" ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ช่อง "นิวส์วัน" ในหัวข้อ "อินเดียออกลาย ไม่ร่วมสร้างเงินสกุลร่วม BRICS"
นายทนงกล่าวว่า รัฐมนตรีต่างประเทศอินเดียบอกว่าไม่มีแผนในการร่วมสร้างเงินสกุลร่วมของบริกส์ โดยส่งสัญญาณว่าอาจขอถอนตัวจากการสร้างเงินสกุลใหม่ เพราะอินเดียเองอยากทำให้เงินรูปีมีความมั่นคงก่อน ซึ่งเป็นเป้าหมายที่รัฐบาลอินเดียให้ความสำคัญมากที่สุด และอินเดียเองมีความสัมพันธ์อันดีต่อสหรัฐฯและยุโรป จากข้อตกลงทางการค้า รวมทั้งเรื่องการทหารด้วย มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ฯ อินเดียไม่ต้องการเสี่ยงทางด้านการค้ากับมหาอำนาจทางด้านตะวันตก
ต้องถือว่าเป็นท่าทีที่เซอร์ไพรส์ เพราะการออกเงินสกุลร่วมเป็นแถลงการณ์ของผู้นำบริกส์เมื่อปีที่แล้ว หากอินเดียไม่ร่วมจะทำให้แผนการสะดุดหรือเปล่า เพราะตอนนี้มีสมาชิกแค่ 5 ประเทศเท่านั้นเอง แต่ในการประชุมซัมมิตที่จะมีขึ้น ส.ค.นี้ มีรายงานล่าสุดว่า 41 ประเทศขอสมัครเข้าเป็นสมาชิก ถ้าเงินสกุลร่วมมีทองคำหนุนหลัง โดยเริ่มจากเอาทองคำมาหนุนค่าสกุลเงินของตัวเองก่อน โอกาสสำเร็จเป็นไปได้สูง แต่เงื่อนไขอยู่ที่เวลาเพียงอย่างเดียว
นายทนงกล่าวอีกว่า อินเดียกล่าวหาจีนว่าใช้บริกส์เป็นเครื่องมือในการควบคุมประเทศอื่นๆ เพื่อประโยชน์ของประเทศตัวเอง ทำไมไม่คิดว่าประเทศที่เป็นสมาชิกแม้แต่อินเดียเองก็จะได้ประโยชน์ไปด้วย ท่าทีอินเดียเป็นการเหยียบเรือสองแคม ในช่วงที่ผ่านมาอินเดียได้ประโยชน์จากสงครามรัสเซีย รัสเซียปล่อยน้ำมันราคาถูกให้อินเดีย อินเดียซื้อไปขายต่อให้ยุโรปได้กำไรมหาศาล กลับไม่พูดกัน
นายทนงกล่าวต่ออีกว่า ตอนนี้สหรัฐฯ เอาใจอินเดียสุดๆ เพื่อโน้มน้าวไม่ให้สนับสนุนจีน รัสเซีย นายกฯ อินเดียเยือนสหรัฐฯ มีการแถลงข่าวร่วมกันว่าสหรัฐฯและอินเดียร่วมมือกันทุกด้าน ทั้งเทคโนโลยี การสำรวจอวกาศ พลังงานสะอาด วิกฤตทางด้านอากาศ สิ่งที่อเมริกาเอามาล่ออินเดียคือเรื่องการกลาโหม ขายอาวุธ เซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งอินเดียต้องการวางตัวเองมาแทนจีน เมื่อบริษัทต่างๆ ย้ายฐานออกจากจีน หวังกอบโกยผลประโยชน์จากจุดนี้ อินเดียเล่นเป็น ต้องการฉกฉวยผลประโยชน์จากความขัดแย้งครั้งนี้ ทั้งจากทางอเมริกาและจากกลุ่มบริกส์ แต่ก็ทำให้เห็นว่าบริกส์ไม่ได้มีเอกภาพมาก
