xs
xsm
sm
md
lg

รุกแนวทางพัฒนาระบบประกันภัยเกษตร สศก.ลงพื้นที่สำรวจความต้องการระบบประกันภัยของเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ประมง และทุเรียน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรรุกแนวทางพัฒนาระบบประกันภัยเกษตร สศก.ลงพื้นที่สำรวจความต้องการระบบประกันภัยของเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ประมง และทุเรียน

วันนี้ (16 มิ.ย.) นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติได้สร้างความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตรและชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกร ซึ่งรัฐบาลต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการชดเชยให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบ จึงได้มีการพัฒนาระบบประกันภัยการเกษตรให้เป็นกลไกในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากผลกระทบของภัยพิบัติทางธรรมชาติ และสร้างความมั่นคงในการประกอบอาชีพให้แก่เกษตรกร ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย สศก.ได้จัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการและการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการประกันภัยการเกษตรร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) พัฒนาระบบประกันภัยการเกษตรอย่างยั่งยืน เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงและยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น รวมถึงการประกันอุบัติเหตุจากการประกอบอาชีพเกษตรกรรมด้วย

ปัจจุบันรัฐบาลมีการดำเนินงานโครงการประกันภัยการเกษตรสำหรับเกษตรกร จำนวน 2 สินค้า ได้แก่ โครงการประกันภัยข้าวนาปี และโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมีการประกันภัยของภาคเอกชน  ในสินค้าเกษตรชนิดอื่นๆ เช่น ทุเรียน ลำไย โคเนื้อ โคนม อย่างไรก็ตาม ภัยพิบัติทางธรรมชาติส่งผลกระทบต่อภาคเกษตร ทั้งด้านพืช ประมง และปศุสัตว์ สศก. โดยสำนักวิจัยเศรษฐกิจการเกษตร จึงได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติในการผลิตสินค้าเกษตร และความต้องการของเกษตรกรต่อการทำประกันภัยการเกษตร เพื่อเป็นข้อมูลสนับสนุนในการขับเคลื่อนการประกันภัยการเกษตรของประเทศไทย 

ด้านพืช จากการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจสังคมครัวเรือนและประกันภัยการเกษตรของเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี พบว่าปัญหาของเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาพบปัญหาหลักจากการระบาดของโรคใบด่างมันสำปะหลัง เกษตรกรส่วนใหญ่นิยมปลูกชนิดพันธุ์ 89 ซึ่งเป็นชนิดพันธุ์ที่มีน้ำหนักดี ทำให้ได้ผลผลิตมาก แต่ไม่ทนทานต่อโรคใบด่างมันสำปะหลัง การระบาดเกิดได้จาก 2 สาเหตุหลัก ได้แก่ การนำท่อนพันธุ์ที่ติดโรคมาเพาะปลูก และการติดเชื้อจากแมลงพาหะ ได้แก่ แมลงหวี่ขาวยาสูบ ซึ่งพบการระบาดครั้งแรกในพื้นที่อำเภอห้วยกระเจา เมื่อปี 2562 ซึ่งจากข้อมูลในเดือนมกราคม 2566 พบว่าพื้นที่อำเภอบ่อพลอยมีพื้นที่ระบาดโรคใบด่างมันสำปะหลัง 218 ไร่ เกษตรกรได้รับผลกระทบ 29 ราย อำเภอห้วยกระเจา มีพื้นที่ระบาด 3,505 ไร่ เกษตรกรได้รับผลกระทบ 105 ราย อำเภอเลาขวัญมีพื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลังมากที่สุด เนื่องจากพื้นที่เหมาะสมกับการเพาะปลูกมันสำปะหลังมีพื้นที่ระบาด 1,612.25 ไร่ เกษตรกรได้รับผลกระทบ 214 ราย และอำเภอท่าม่วง พบการระบาดครั้งแรกในปี 2565 มีพื้นที่ระบาด 433.50 ไร่ เกษตรกรได้รับผลกระทบ 38 ราย สำหรับมันสำปะหลังที่ติดโรคช่วงที่มีอายุ 5 เดือนขึ้นไปจะให้ผลผลิตลดลงประมาณร้อยละ 20-50 ของผลผลิตมันสำปะหลังปกติ ในขณะที่การระบาดที่เกิดจากท่อนพันธุ์ติดเชื้อจะไม่ให้ผลผลิต

ในด้านความต้องการประกันภัยของเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง พบว่า เกษตรกรมีความสนใจในการประกันภัยมันสำปะหลัง หากเงื่อนไขการรับประกันมีความน่าสนใจ และเหมาะสม ซึ่งหากมีโครงการประกันภัยมันสำปะหลัง ควรทำประกันในชนิดพันธุ์ที่ต้านทานโรคใบด่างมันสำปะหลัง เช่น พันธุ์ระยอง 72 เกษตรศาสตร์ 50 ระยอง 5 และพันธุ์ห้วยบง ในส่วนของการตรวจสอบความเสียหายเพื่อชดเชยค่าสินไหม ควรมีคณะกรรมการประเมินความเสียหายที่ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่เกษตรและผู้นำชุมชน เพิ่มเติมจากการใช้ประกาศเขตการให้ความช่วยหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน        

ในเบื้องต้นเกษตรกรมีความสนใจทำประกันภัยโดยเต็มใจจ่ายเบี้ยประกันในอัตราร้อยละ 20 ของค่าเบี้ยประกัน และควรมีการจ่ายค่าชดเชยเมื่อมันสำปะหลังมีความเสียหายจากโรคมากกว่าร้อยละ 50 ของแปลงปลูก 

ด้านประมง ได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์เรือประมงพื้นบ้าน 
จากกลุ่มประมงเรือเล็กลูกน้ำเค็มก้นปึก และวิสาหกิจชุมชนประมงเรือเล็กตากวน-อ่าวประดู่ จังหวัดระยอง พบว่าปัจจุบันชาวประมงพื้นบ้านยังไม่มีการทำประกันภัยเรือประมงพื้นบ้าน โดยการประกอบอาชีพของชาวประมงกลุ่มประมงเรือเล็กลูกน้ำเค็มก้นปึก มีเรือประมาณ 70 ลำ ส่วนใหญ่เป็นเรือขนาดไม่เกิน 3 ตันกรอส ขึ้นทะเบียนและได้รับอนุญาตทำการประมงพื้นบ้าน โดยสมาชิกครอบครองเรือเฉลี่ยครัวเรือนละ 1-2 ลำ มีวิธีการจับสัตว์น้ำโดยนิยมออกเรือไปเช้า-กลับเย็น หรือค้างคืนประมาณ 4-5 วัน ปกติไม่จ้างแรงงานจับสัตว์น้ำ เครื่องมือทำการประมง ได้แก่ อวนปู อวนครอบหมึก ลอบปลา

ลอบปลา ในช่วงมรสุมจะออกเรือ 3-4 ครั้งต่อเดือน หรือไม่ออกเรือเลย ขึ้นกับระดับความแรงของลม และระดับน้ำทะเล สัตว์น้ำที่จับได้ขายแบบสดให้ผู้รับซื้ออาหารทะเลจะได้ราคาดีกว่าการแช่แข็ง ชาวประมงมีการระมัดระวังในการประกอบอาชีพเป็นอย่างดี จะพิจารณาสภาพอากาศ พายุ และติดตามการพยากรณ์อากาศอย่างสม่ำเสมอ ไม่ออกเรือในช่วงที่คาดว่าจะมีพายุรุนแรง ขณะที่วิสาหกิจชุมชนประมงเรือเล็ก ตากวน-อ่าวประดู่ มีเรือขึ้นทะเบียนจำนวน 65 ลำ ส่วนใหญ่มีขนาดไม่เกิน 3 ตันกรอส ออกเรือจับสัตว์น้ำแบบไปเช้า-เย็นกลับ โดยใช้อวนปู อวนปลา อวนกุ้ง และลอบหอยหวาน สมาชิกออกเรือทุกวัน ชาวประมงจะพิจารณาสภาพอากาศ หากไม่รุนแรงจะนิยมออกเรือ เนื่องจากช่วงที่มีคลื่นลมจะสามารถจับปูได้มากกว่าช่วงที่ทะเลน้ำนิ่ง นอกจากนี้ ยังเลี้ยงหอยแมลงภู่เป็นอาชีพเสริมโดยขายเป็นผลิตภัณฑ์สดและแปรรูป

สำหรับความต้องการในการประกันภัยเรือประมงพื้นบ้าน ชาวประมงมีความกังวลเรื่องหลักฐานที่จะใช้เคลมประกัน เนื่องจากช่วงที่มีภัยพิบัติพายุพัดเรือจมเสียหาย ชาวประมงต้องรักษาชีวิตให้รอด ไม่สามารถถ่ายภาพเพื่อเป็นหลักฐานในการเคลมประกัน และรูปแบบการประกันต้องครอบคลุมความเสียหายที่ชาวประมงได้รับ เช่น เรือ วิทยุสื่อสาร และอุปกรณ์ต่างๆ และสามารถเคลมประกันได้ จึงจะสนใจเข้าร่วมโครงการประกันภัย อย่างไรก็ตาม ชาวประมงพื้นบ้านต้องการให้ภาครัฐให้การสนับสนุนการประกอบอาชีพ เกี่ยวกับอุปกรณ์ทำประมง และตลาดจำหน่ายผลผลิต อาทิ ตลาดหอยแมลงภู่ เพื่อลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มรายได้ให้ชาวประมงพื้นบ้านมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นต่อไป

นอกจากนี้ ยังได้ติดตามสถานการณ์การผลิตทุเรียน ณ สวนสุวรรณจินดา ในพื้นที่อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง โดยเป็นสวนที่มีการทำฟาร์มอัจฉริยะติดตั้งเครื่องวัดความเร็วลม สนับสนุนโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งวาตภัยและภัยแล้งเป็นภัยธรรมชาติที่สำคัญที่สร้างความเสียหายแก่สวนทุเรียนมากที่สุด การติดตั้งเครื่องวัดความเร็วลมเพื่อลดความสูญเสียของทุเรียนจากวาตภัย ค่าความเร็วลมที่วัดได้เป็นรูปแบบ real time มีการศึกษาระดับความเร็วลม ช่วงระยะเวลาที่เกิดภัยและผลกระทบ ทำให้สามารถบริหารจัดการได้ทันเวลา เช่น การใช้ไม้ค้ำ การโยงผลทุเรียนด้วยเชือก

ในส่วนของความคิดเห็นต่อการทำประกันภัย มีความเห็นว่า ปัจจุบันเกษตรกรยังไม่สนใจการประกันภัยเนื่องจากความถี่ของการประสบปัญหาวาตภัยยังมีน้อย ผลกระทบจะเกิดมากกับบริเวณพื้นที่เป็นแนวลมพายุ และการประกันภัยปัจจุบันยังไม่ครอบคลุมภัยพิบัติที่เกษตรกรได้รับ ทั้งนี้ เครื่องวัดความเร็วลมจะเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ในการตรวจสอบความเสียหายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติในการประกันภัยได้ต่อไป

“จากการติดตามสถานการณ์ลงพื้นที่ในครั้งนี้ จะเป็นข้อมูลสำหรับใช้ในการให้ข้อเสนอแนะในการพัฒนาระบบประกันภัยของประเทศไทยต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การศึกษาสถานการณ์การผลิตทุเรียนโดยการติดตั้งเครื่องวัดความเร็วลม สศก.มีแผนจะดำเนินการร่วมกับสำนักงาน คปภ. และหน่วยงานที่มีความร่วมมือทางวิชาการ ในการทำสนามทดลองสำหรับพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยทุเรียนโดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) และภูมิสารสนเทศในการวัดค่าความเร็วลม เพื่อให้ข้อเสนอแนะในการพัฒนา Weather-Index Insurance ต่อไป” เลขาธิการ สศก.กล่าว








กำลังโหลดความคิดเห็น