xs
xsm
sm
md
lg

3 สเต็ปติดปีก “ภาษาจีน” ให้เก่งระดับเซียน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เปิดสุดยอดวรยุทธ์ เคล็ดวิชาฝึกทักษะภาษาจีน “ฟัง-พูด-อ่าน-เขียน” ที่จะทำให้คุณกลายเป็น 中文通 (จงเหวินทง) หรือผู้ที่มีความสามารถทางด้านภาษาจีน แบบสบายๆ แม้ไม่มีพื้นฐาน ด้วย 3 ขั้นตอนง่ายๆ ที่น่าสนใจและใช้งานได้จริง สอบ HSK ผ่านฉลุย ลุยตลาดธุรกิจจีนก็เฮงเป็นเทน้ำเทท่า

อาจารย์ ดร.ณพล ม่วงงาม อาจารย์ประจำหลักสูตรภาษาจีนธุรกิจ วิทยาลัยนานาชาติ (DPUIC) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวถึงเรื่องการเรียนภาษาจีนสำหรับผู้สนใจด้านนี้ว่า “จากนโยบายสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Initiative - BRI) ส่งผลให้เศรษฐกิจจีนมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด โดยก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจ และทำให้ภาษาจีนเป็นภาษาที่สองในการสื่อสาร ดังนั้น เราควรจะต้องมีทักษะการสื่อสารเพื่อสร้างความก้าวหน้าให้กับอาชีพและการทำงานในอนาคต แต่ขึ้นชื่อว่า “การเรียนภาษาจีน” หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องที่แสนจะยากและน่าเบื่อ เพราะมองว่าการเขียนอักษรจีนมีลำดับขีดที่เยอะและซับซ้อน มีจำนวนมาก จำอย่างไรก็จำไม่ไหว พอเห็นตัวอักษรจีนก็ชวนให้อยากวางปากกา ยกธงขาวกันเลยทีเดียว”

“ส่วนใหญ่ที่ว่ายาก อาจจะเพราะเนื่องจากเรายังไม่ได้รับการรู้เคล็ดวิชาที่จะย่นระยะเวลาและช่วยทุ่นแรง สำหรับผู้เรียน ขอแนะนำง่ายๆ ด้วยสเต็ปเพียง 3 ขั้น ซึ่งจะทำให้การเรียนภาษาจีนกลายเป็นเรื่องง่ายและสนุก ซึ่งสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา เห็นผลรวดเร็วและใช้งานได้จริง”

อาจารย์ ดร.ณพลแนะนำต่อถึงการเรียนภาษาจีนอย่างไรให้สามารถ ฟัง-พูด-อ่าน-เขียน ในระยะเวลาอันสั้นโดยใช้ 3 สเต็ปติดปีกดังนี้


ขั้นที่ 1 ฝึกออกเสียงเป็นคำ หัดพูดแต่งประโยค
อาจารย์ ดร.ณพลบอกว่า หลักการเรียนภาษาจีนนั้นแตกต่างจากภาษาไทยและอังกฤษ เนื่องจากภาษาจีนเป็นภาษาที่มีลักษณะเป็นอักษรภาพ “1 คำ 1 ความหมาย” ไม่สามารถสะกดได้เหมือนในภาษาไทยและอังกฤษ จึงมีการคิดค้นระบบสัทอักษรจีน (PINYIN) มาช่วยในการออกเสียง ซึ่งผู้เรียนจะต้องเจอกฎเกณฑ์ในการออกเสียงต่างๆ ที่ค่อนข้างซับซ้อนและยากต่อการจดจำในระยะเวลาอันสั้น ขั้นตอนนี้จึงต้องอาศัยความอดทน มุมานะ พยายามก่อน หากผ่านด่านนี้ไปได้เสมือนประตูสู่โลกภาษาจีนกำลังเปิดต้อนรับคุณแล้ว

“ขั้นแรกเริ่มที่การสะกดคำ และหัดออกเสียงให้ถูกต้อง ระบบสัทอักษรจีน (PINYIN) มีการแทนเสียงพยัญชนะ สระ ด้วยอักษรภาษาอังกฤษ เช่น b p m f / a o e i u เป็นต้น และมีเส้นขีดวรรณยุกต์ ที่สามารถออกเสียงได้ถึงสี่เสียง ยกตัวอย่างเช่น bā ปา (เสียงที่ 1) bá ป๋า (เสียงที่ 2) bǎ ป่า (เสียงที่ 3) bà ป้า (เสียงที่ 4) เวลาเริ่มฝึกออกเสียง ให้เริ่มจากคำศัพท์ใกล้ตัว ใช้บ่อย เช่น เรียก bàba แทนเรียกคุณพ่อ māma แทนเรียกคุณแม่ lǎoshī ครู jīn tiān วันนี้ เป็นต้น จะผิดถูกสำเนียงอย่างไรอย่าไปกังวล พยายามเรียนรู้คำศัพท์ภาษาจีนจากสิ่งรอบตัวเรา เริ่มจากสิ่งที่เราสนใจจะทำให้เกิดความสนุก พอเรามีความเพลินจะช่วยให้เราเรียนรู้ได้ง่ายและเราจะได้คลังคำศัพท์แบบอัตโนมัติไปในตัว ต่อมาคือให้ลองฝึกแต่งประโยค ลองเริ่มจากประโยคที่เราชอบหรือสนใจ จากนั้นลองตรวจสอบความถูกต้องของไวยากรณ์ หากไม่แน่ใจให้สอบถามเหล่าซือหรือผู้รู้ เมื่อได้ประโยคที่ถูกต้องสมบูรณ์ 100% แล้ว ให้ฝึกพูดบ่อยๆ”

ขั้นที่ 2 ท่องแดนมังกรด้วยซีรีส์ ดูหนัง หาเพื่อนคุย
การเรียนภาษาจีน ให้ฝึกทักษะทางด้านการฟังเสียง เพราะสร้างการจดจำเสียงจะเป็นตัวช่วยชั้นดีที่ทำให้สร้างการรับรู้และบันทึกลงในสมองโดยง่าย โดยอาจจะเริ่มจากการดูการ์ตูน ละคร หรือซีรีส์ ก่อนที่จะหาเพื่อนที่เป็นชาวจีน หรือถ้าหาไม่ได้ ก็ให้ฝึกแบบฝึกหัดในโปรแกรมออนไลน์ เพื่อฝึกการฟังพูดให้สำเนียงถูกต้องก็ช่วยได้

“หลังผ่านพินอินแล้วก็เริ่มจะง่ายและสนุก เราคงจะเคยติดซีรีส์ดูกันทั้งวันทั้งคืน อันนี้อยากแนะนำให้ดูซีรีส์จีน หนังจีนมากๆ ประโยคอะไรที่เราได้ฟังบ่อยๆ ก็ทำให้เราจดและจำได้ง่ายขึ้น และสามารถพูดออกมาได้เองตามธรรมชาติ แอปพลิเคชันที่สามารถรับชมซีรีส์จีน หนังจีนบนมือถือ เช่น iQIYI WeTV มีหนังและซีรีส์ให้เลือกดูมากมาย ให้เลือกประเภทหนังที่ตัวเองชอบ และนั่งดูไปเรื่อยๆ ประโยคไหนที่ดี เป็นประโยชน์ ก็ให้จดไว้ และฝึกใช้พูดบ่อยๆ ดูเยอะๆ จนเริ่มเห็นประโยคซ้ำๆ จากเรื่องก่อนหน้าทำให้เกิดการทบทวนไปในตัว หรือใครที่ไม่ใช่คอหนังจีน ให้ลองแฝงตัวเข้าไปอยู่ในโลกโซเชียลจีน ผ่านแอปพลิเคชัน Wechat Weibo TikTok ฝึกอ่านสเตตัส หรือคอมเมนต์ ฝึกดูฝึกฟัง คลิปสั้น Talk Show รีวิวสินค้า ละครคุณธรรม ฯลฯ ที่เป็นภาษาจีน ถ้าทำได้ตามขั้นตอนนี้จะทำให้ทักษะการสื่อสาร ฟัง พูด อ่าน ของเราดีขึ้นโดยปริยาย” อาจารย์ระบุ

“ทีนี้พอภาษาเริ่มจะเข้าที่ ก็ลองหาเพื่อนคนจีนหัดพูดคุย ถ้าเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยก็เพื่อนๆ ร่วมคณะหรือมหาวิทยาลัย ส่วนคนที่ไม่ได้มีเพื่อนคนจีน ก็ให้ฝึกพูดกับเพื่อนที่เรียนภาษาจีนด้วยกัน หรือไม่ก็ไปหาอาจารย์ที่พูดภาษาจีนได้นั่งคุยกัน ส่วนกลุ่มผู้ใหญ่วัยทำงานที่ไม่ค่อยมีสภาพแวดล้อมทางภาษาหรือไม่มีเพื่อนคนจีนในที่ทำงาน ก็อาจจะฝึกผ่านแอปพลิเคชัน เช่น Hello Chinese และ Chinese Zombie หรือจะแอดวานซ์อีกหน่อยใครที่ชอบร้องเพลงจีนลองไปฝึกร้องคาราโอเกะในแอปฯ Changba (เผื่อจะสะดุดตาแมวมองจีน ได้ไปเดบิวต์ที่เมืองจีนแบบฟลุกๆ) หรือคนที่อยากหาเพื่อนคนจีนในออนไลน์จริงๆ แนะนำผ่านแอปพลิเคชัน Wechat Weibo Hello talk Tantan ฯลฯ เป็นต้น เทคนิคเหล่านี้จะทำให้เราพัฒนาทักษะทางภาษาเร็วขึ้นกว่าเดิม”

อาจารย์ ดร.ณพล ม่วงงาม อาจารย์ประจำหลักสูตรภาษาจีนธุรกิจ วิทยาลัยนานาชาติ (DPUIC) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
ขั้นที่ 3 ฝึกเขียน เขียนแล้วจด สร้างภาพจำ ลากเส้น
หลังจากผ่านด่านการฟัง พูด และอ่านออกเสียงภาษาจีนแล้ว เข้าสู่ขึ้นกระบวนยากที่สุด เป็นด่านสุดท้ายที่หินที่สุดและทำให้คนเรียนภาษาจีนล้มเลิกกลางคันมานักต่อนัก นั่นก็คือ “การเขียนอักษรจีน” หากต้องการผ่านด่านนี้มีเคล็ดไม่ลับง่ายๆ คือ ให้เรา “สร้างภาพจำ” แทนการจดจำเป็นความหมาย

“อักษรจีนส่วนใหญ่มีวิวัฒนาการมาจากภาพ ดังนั้นลักษณะของโครงสร้างตัวอักษรก็จะมีความคล้ายคลึงกับรูปภาพของสิ่งเหล่านั้น ในการเรียนรู้ก็ให้เราฝึกจินตนาการจากภาพ

ตัวอย่าง 人 rén แปลว่า คน จะเห็นได้ว่าตัวอักษรคล้ายรูปคน หากเพิ่มอีก 1 ขีด ตรงส่วนบน จะได้อักษร 大 dà แปลว่า ใหญ่ ให้เราจำลองว่าคนกำลังกางแขนออกกว้างๆ 众 zhòng แปลว่า คนหมู่มาก มหาชน ให้เราจำว่ามีส่วนประกอบของอักษร 人 คน 3 คน แบ่งเป็น บน 1 คน ล่าง 2 คน แสดงถึงคนหลายคนมารวมตัวกัน

อีกตัวอย่างหนึ่ง อักษรจีนมีการใช้หมวดนำอักษรเพื่อจำแนกลักษณะ หรือประเภทของความหมาย เช่น หมวดนำอักษร 亻dānrénpáng เป็นตัวแทนของคน หรือการเคลื่อนไหว เมื่อ 亻(คน) มาเจอกับอักษร 木 mù แปลว่า ต้นไม้ จะได้อักษรใหม่ 休 xiū แปลว่า พักผ่อน ให้มีภาพจำว่า มีคนกำลังนั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ หมวดนำอักษร 氵sāndiǎnshuǐ (น้ำ 3 หยด) จะให้ความหมายที่เกี่ยวกับน้ำ เมื่อ 氵(น้ำ) มาเจอกับอักษร 目mù แปลว่า ลูกตา จะได้อักษรใหม่ 泪lèi แปลว่า น้ำตา ให้นึกภาพว่า มีน้ำ มีดวงตา ความหมายก็คือ น้ำตา นั่นเอง เป็นต้น

การเขียนอักษรจีนนั้นต้องอาศัยการฝึกฝน ในขั้นเริ่มต้นผู้เรียนอาจจะฝึกเขียนลากเส้นขีดก่อน อาจจะฝึกเขียนในแอปพลิเคชันต่างๆ ที่มีให้ดาวน์โหลดฟรี เช่น Chinese Stroke Order , Pleco , 汉字宝 เป็นต้น การฝึกเขียนเส้นเขียนตัวอักษรบ่อยๆ ทำให้เราเกิดการจดจำอักษรจีนได้ดียิ่งขึ้น” อาจารย์ ดร.ณพลย้ำ

“การเรียนภาษาจีนให้ประสบความสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับเทคนิคที่ดีในการเรียน และวินัยในการฝึกฝนของตนเอง ซึ่งสองอย่างนี้เปรียบเสมือนความสามารถด้านบุ๋นและบู๊ของจอมยุทธ์ หากต้องการเป็นหนึ่งในยุทธภพเราจงหมั่นฝึกฝนอยู่เสมอ” อาจารย์ ดร.ณพลกล่าว

โบว์ นางสาวกุลธิดา ไกยวงค์
ไม่ต้องกลัว AI เพราะภาษาถ้าอยู่กับปากเรา จะเปิดประตู เปิดโอกาสได้มากกว่า
“การพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในปัจจุบัน อาจยังมีขีดจำกัดในการช่วยเหลืองานด้านต่างๆของมนุษย์ เช่น การมีปฏิสัมพันธ์ต่อหน้า การแสดงออกทางด้านอารมณ์ความรู้สึก ความละเอียดลออในการตัดสินใจโดยใช้พื้นฐานความรู้สึก เป็นต้น สมมติว่าเราต้องการติดต่อค้าขาย หรือทำธุรกิจร่วมกับคนจีน มารยาททางสังคม เกร็ดความรู้ แนวคิด ประเพณีธรรมเนียมปฏิบัติ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมจีน เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่มีความสำคัญที่ส่งผลให้ประสบความสำเร็จด้านธุรกิจไม่แพ้ความเก่งกาจด้านภาษาจีนและด้านเจรจาต่อรองธุรกิจเลย ซึ่งหากเราฝึกภาษาด้วยตัวเราเองแล้ว เราจะเปิดประตูเรื่องต่างๆ เหล่านี้ต่อไปได้ จะเห็นได้ว่าความสามารถของมนุษย์ยังเป็นต่ออยู่หลายเท่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังไม่อาจที่จะเรียนรู้ลักษณะเฉพาะของมนุษย์ เช่น อารมณ์ความรู้สึกที่ลึกซึ้ง การใช้คำผ่านน้ำเสียง การวางท่าทาง การให้เกียรติกัน การเรียงลำดับความอาวุโส ฯลฯ ทั้งหมดถือเป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งถึงความจริงใจในการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานหรือคู่ค้าทางธุรกิจ”

“ชาวจีนส่วนใหญ่มักถือคติที่ว่า หากอีกฝ่ายมีมารยาทต่อเรา เราก็ต้องมีมารยาทตอบแทน (礼尚往来) การคบค้าสมาคมกับผู้อื่นนั้นต้องใช้ความซื่อสัตย์และจริงใจแบบที่ว่าใจแลกใจเลยก็ว่าได้ สังเกตได้จากการเจรจาต่อรองทางด้านธุรกิจมักนิยมใช้โต๊ะอาหารเป็นสนามในการต่อรอง มีการกินเลี้ยงดื่มสังสรรค์สอดแทรกระหว่างเจรจาหรือเซ็นสัญญาทางธุรกิจ ในมื้ออาหารนั้นทั้งสองฝ่ายจะได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน หากคุยกันถูกคอ โปรเจกต์นั้นอาจจะสำเร็จอย่างง่ายดายแบบปอกกล้วยเข้าปากเลยก็ว่าได้ คนจีนถือเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ (民以食为天) การเลี้ยงรับรองเพื่อนหรือแขกด้วยมื้ออาหารนั้นจึงเป็นการแสดงออกถึงการมีปฏิสัมพันธ์ในระดับสูงสุดของคนจีน และอีกนัยหนึ่งเป็นโอกาสของการแสดงศักยภาพของเจ้าภาพ เราซึ่งเป็นคนไทย หากได้รับเชิญไปกินเลี้ยงจากคนจีนเพื่อสานความสัมพันธ์จงอย่าปฏิเสธเป็นเด็ดขาด เพราะคุณอาจจะพลาดโอกาสที่ดีไปก็ได้” อาจารย์ ดร.ณพลยืนยัน

ส่วนทางด้าน น้องโบว์ นางสาวกุลธิดา ไกยวงค์ นักศึกษาใหม่ชั้นปีที่ 1 หลักสูตรภาษาจีนธุรกิจ วิทยาลัยนานาชาติ (DPUIC) ) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ซึ่งเข้ามาเป็นลูกศิษย์ของ อาจารย์ ดร.ณพล ล่าสุด ได้ขอให้ความคิดเห็นเสริมว่า “ที่สนใจเรียนด้านภาษาจีน สนใจมาตั้งแต่เรียนที่โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โครงการการศึกษาพหุภาษา ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษาแล้ว เชื่อว่าภาษาจีนเป็นภาษาที่มีเอกลักษณ์และมีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก ปัจจุบันภาษาจีนมีความสำคัญในด้านการสื่อสารติดต่อเจรจาธุรกิจกับชาวจีน หากเรามีความสามารถทางด้านภาษาจีน จะทำให้เราได้เปรียบกว่าคนอื่นในหลายๆ ด้าน ส่วนอาชีพที่สนใจในอนาคต คือ ทำงานด้านสายงานบันเทิงในประเทศจีน”


กำลังโหลดความคิดเห็น