xs
xsm
sm
md
lg

"ดร.เจษฎ์" ชี้ศึกชิงประธานสภาฯ "ก้าวไกล" เตรียมลุยแก้ ม.112

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"รศ.ดร.เจษฎ์" ชี้ศึกชิงประธานสภาฯ สะท้อน "ก้าวไกล" เตรียมลุยแก้ ม.112 แม้ไม่ระบุใน MOU ท้าต้องพูดให้ชัดเอาถึงขั้นไหน จะถึงขั้นล้มล้างสถาบันฯ หรือไม่ เพราะไว้ใจไม่ได้ เตือนระวังสร้างเงื่อนไขรัฐประหารอีก แนะประชาชนที่ไม่เห็นด้วยแสดงพลังว่าต้องการบ้านเมืองสงบสุข



วันที่ 25 พ.ค. 2566 รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย ให้สัมภาษณ์ในรายการ "คนเคาะข่าว" ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ช่อง "นิวส์วัน" ในหัวข้อ "ศึกชิง ปธ.สภาฯ สู่การแก้ ม.112"

โดย รศ.ดร.เจษฎ์กล่าวว่า แม้การแก้ไขมาตรา 112 ไม่ถูกบรรจุอยู่ใน MOU พรรคร่วมรัฐบาล แต่ก้าวไกลบอกว่าจะเดินหน้าแก้ไขด้วยตนเอง มันชัดเจนในตัวเองแม้ไม่พูดอะไร และชัดเจนขึ้นไปอีกเมื่อพูดเรื่องประธานรัฐสภา เนื่องจากประธานรัฐสภาจะมีการบรรจุกฎหมายได้ โดยเฉพาะการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ

พวกนี้มันเป็นการปรามาสประธานรัฐสภาที่มาจากพรรคอื่น ต่อให้ไม่เขียน MOU ก็ทำได้อยู่ และจะทำให้การทำงานร่วมกันลำบาก การทำงานในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาลมันต้องทำงานสานสัมพันธ์กันได้ คลี่คลายสภาวะความแตกต่าง ผสานความเหมือนกัน และหาจุดลงตัวร่วมกัน ให้เกิดความลงรอยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อันนี้คือระบบรัฐสภา อย่าคิดแต่ว่าจัดตั้งรัฐบาล นั่นเป็นฝ่ายบริหาร อย่าคิดแต่บริหารราชการแผ่นดินอย่างไร เพราะนั่นเป็นส่วนของรัฐบาล เราเป็นระบบรัฐสภา ฝ่ายนิติบัญญัติเป็นบ่อเกิดของฝ่ายบริหาร สภาเป็นฝ่ายที่ทำให้เกิดรัฐบาล งานสภาก็มีความสำคัญ ก้าวไกลบอกว่าได้ประธานสภามาก็เหมือนคุมได้ แปลว่า ส.ส.ทั้งหมดไม่มีความสำคัญแล้วหรือ

แปลว่าระบบมันวิปริตผิดเพี้ยนถึงขนาดประธานจะชี้อะไรก็ได้ คิดว่าถ้าประธานมาจากฝ่ายค้าน ท่านอาจไม่ไว้ใจเขา แล้วถ้ามาจากเพื่อไทย ซึ่งเคยเป็นฝ่ายค้านร่วมกันมา เป็นเสรีนิยมด้วยกัน วันนี้ก็ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล ยังไม่ยอมให้เขาเลย แปลว่าไม่ไว้วางใจในการทำงานร่วมกัน

ประธานสภาต้องไม่เอียง ไม่เล่นพรรคเล่นพวก แต่ก้าวไกลทำให้ชัดเจนแล้วว่าไม่จริง ในมุมมองของท่านประธานสภาเอียงได้ พอเชื่อมโยงกับการแก้ไขมาตรา 112 ผลักดันในฐานะพรรคไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าลากประธานสภามาเกี่ยวข้อง จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นไปอีก

รศ.ดร.เจษฎ์กล่าวอีกว่า มาตรา 112 ต้องพูดให้ตรงจุดว่าปัญหาของมันคืออะไร ไม่ใช่ไปพูดว่ากษัตริย์จะอยู่แบบนี้ไม่ได้ ต้องปรับนั่นปรับนี่ ตกลงจะเอายังไงกับหน่วยงานในพระองค์ ตกลงพระองค์มีทหารเองได้หรือ อันนี้ไม่ใช่มาตรา 112 แล้วนะ มันต้องให้สังคมได้รับรู้ ว่าตกลงมาตรา 112 คือเรื่องอะไร

แล้วถ้าเปิดภาพกว้างกว่านี้ ก็ต้องตกลงจะเอาอะไรแบบไหน ไปไกลถึงขนาดไหน จะทะลุฟ้าถึงขั้นไม่ใช่แค่แก้มาตรา 112 อาจยกเลิก หรือปฏิรูปสถาบันฯ หรือไกลกว่านั้นคือล้มล้างสถาบันฯ ใครจะไปรู้ ใครจะเชื่อใจได้

รศ.ดร.เจษฎ์กล่าวต่ออีกว่า นายปิยบุตรบอกต้องได้ประธานสภาเพื่อความโปร่งใส ว่าสภาไม่โปร่งใสหรือ เป็นการยกตนข่มท่าน เพื่อไทยกำลังจะจับมือท่าน ขอตำแหน่งประธานยังไม่ให้เลย ตามหลักการคนได้เสียงมากได้สิทธิจัดตั้งรัฐบาลก่อน ไม่ได้เป็นเลย อย่าบอกว่าได้เสียงถล่มทลาย เลือกท่าน 14 ล้านคน แต่ไม่เลือก 26 ล้านคน

ได้มา 160 เสียงหย่อนๆ ที่เหลือ 300 กว่าไม่ได้ นายทักษิณเคยได้ 377 เสียง แล้ววันนั้นนายทักษิณทำอะไรจนถูกรัฐประหาร ไม่ได้บอกว่ารัฐประหารดี แต่มันเกิดเหตุอะไรขึ้นมา

การที่ฝ่ายสนับสนุนบอกว่าไม่แก้ไขมาตรา 112 ในสภาก็ได้ แต่จะเคลื่อนไหวภาคประชาชนให้แก้ได้อยู่ดี แล้วเลือกตั้งคราวหน้าเจอกันแบบถล่มทลาย ท่าทีแบบนี้แสดงความเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันฯ ชัดเจนมาก

เท่าที่ดูคร่าวๆ จากโพลต่างๆ คนที่เลือกก้าวไกล 6-8 ล้านคน เพราะอยากมีการเมืองก้าวหน้า ประเทศมีพัฒนาการ นั่นคือสิ่งที่ต้องการ แต่พอขึ้นมาคิดจะล้มล้างสถาบันฯ หรือเอาประเด็นนี้อย่างเดียวเลย

รศ.ดร.เจษฎ์กล่าวว่า การที่บอกว่ามาตรา 112 โทษหนักเกินไป ใช้กลั่นแกล้งกัน ต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับพระองค์เป็นคนแจ้งความเอง เป็นการเสนอโดยขาดความเข้าใจรากฐานของบ้านเมืองนี้อย่างที่สุด ปราศจากความรู้โดยสิ้นเชิง ประมุขของรัฐในลักษณะนี้สืบสานกันมาแต่โบร่ำโบราณ ล้วนผ่านสถาบันกษัตริย์ที่ปรีชาสามารถในการรบ กลายเป็นอยู่ดีๆ ให้ผู้สืบสานมาฟ้องประชาชนที่สืบสานร่วมกันมาสืบต่อจากบรรพบุรุษของพวกเขา ไม่ใช่เรื่องที่หน่วยงานในพระองค์จะไปตัดสิน ยิ่งสุ่มเสี่ยงให้พระองค์ท่านดูเป็นตัวร้าย

ฝากถึงบรรดาคนที่หนุนก้าวไกลที่ยังมีเหตุผล ลองคิดว่าอยากให้บ้านเมืองสงบสุข แต่ขึ้นมาก็ทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม สร้างความร้าวฉานแต่แรก 27 ล้านเสียงที่ไม่ได้เลือกก้าวไกล ต้องแสดงพลังให้เห็นว่าเราต้องการความสงบสุข


กำลังโหลดความคิดเห็น