เมืองไทย 360 องศา
ชักจะบานปลายแบบไม่มีแผ่วเลย สำหรับการแย่งชิงเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่จะทำหน้าที่เป็นประธานรัฐสภา และมีส่วนสำคัญในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เพราะเวลานี้ทั้งสองพรรคร่วมรัฐบาลหลัก คือ ก้าวไกล ที่เป็นแกนนำ กับพรรคเพื่อไทย ที่เป็นพรรคอันดับสอง ต่างมีท่าทีเดินหน้าไม่ลดราวาศอกให้แก่กัน เพราะตำแหน่งดังกล่าวมีความสำคัญต่ออนาคตทางการเมือง และ “สถานะ” ในอนาคตของพวกเขาอีกด้วย
แน่นอนว่า ภาพความเคลื่อนไหวที่ออกมาก่อนหน้านี้ มีเรื่องความขัดแย้งเป็นวิวาทะกันระหว่างหัวหน้าพรรคเพื่อไทย คือ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว กับ น.ต.ศิธา ทิวารี แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคไทยสร้างไทย จะดูดุเดือดรุนแรง แต่หากพิจารณาในภาพรวมแล้ว ถือว่าเป็นแค่ “สีสัน” ไม่มีผลต่อการเกิดขึ้นของรัฐบาลผสม
แต่ที่น่าจะเป็นปัญหาหลัก ก็คือ ความขัดแย้งในเรื่องตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่กำลังแย่งชิงกันระหว่างพรรคก้าวไกลกับเพื่อไทย ต่างหาก เพราะอย่างที่รู้กันว่าต่าง “ถอยกันไม่ได้” และท่าทีของแกนนำแต่ละพรรค ต่างก็เดินหน้าเต็มตัว มันทำให้ถูกมองว่า หากไม่มีการ “ปลดชนวน” ออกมาทันท่วงที หรือ “เคลียร์” กันไม่ลงตัว รัฐบาลผสม 8 พรรค ที่เริ่มตั้งไข่เพิ่งลงนามเอ็มโอยูกันไปไม่นาน ก็อาจต้องพังครืนในเวลาอันใกล้นี้ก็เป็นไปได้สูง
โดยล่าสุด ท่าทีจากแกนนำพรรคก้าวไกล ยังย้ำว่า พรรคยังต้องนั่งเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพราะต้องผลักดันวาระสำคัญของพรรคตามที่ได้หาเสียงเอาไว้ พร้อมกับยืนยันถึงการเป็นพรรคเสียงข้างมากที่มีความชอบธรรมมากกว่าใคร
น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ว่าที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล กล่าวถึงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานรัฐสภา ว่า พรรคยืนยันว่าจำเป็นที่จะต้องมีตำแหน่งประธานรัฐสภาไว้กับพรรคก้าวไกล นอกเหนือจากที่เราจะต้องใช้อำนาจฝ่ายบริหารแล้ว เรามีอีก 3 วาระ ที่จะจำเป็นต้องใช้ตำแหน่งที่เป็นประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันกฎหมายทั้ง 45 ฉบับของพรรค เพื่อทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงเอาไว้ รวมถึงกฎหมายของพรรคการเมืองอื่น หรือกฎหมายที่เสนอโดยประชาชน ก็จะสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ที่ผ่านมา 4 ปี น่าจะเห็นแล้วว่าตำแหน่งของประธานสภามีความสำคัญมากแค่ไหน ในการอำนวยความสะดวก และขัดขวางการออกกฎหมายเพื่อประโยชน์ของประชาชน
“ทำไมเราถึงจำเป็นต้องมีตำแหน่งประธานสภา ก็เพื่อผลักดันวาระของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เป็นประชาธิปไตยได้อย่างราบรื่น เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ จะเป็นการเปิดทางให้นำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่มาจากการร่างของ สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นวาระสำคัญที่พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคมีความเห็นตรงกัน และถูกบรรจุไว้ใน MOU ของพรรคร่วมรัฐบาล ถ้าจะทำภารกิจนี้ให้ลุล่วงจะต้องมีการประชุมรัฐสภาอีกหลายครั้ง จำเป็นที่ต้องมีประธานรัฐสภา ที่มีเจตจำนงที่แน่วแน่อยากจะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เราจึงจะสามารถทำภารกิจนี้ให้ลุล่วงได้” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า วาระต่อมาที่อยากจะทำในฐานะที่ผู้ดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภา คือ ผลักดันรัฐสภาที่โปร่งใสและตรวจสอบได้อย่างเข้มข้น โดยการถ่ายทอดสดการประชุมคณะกรรมาธิการ และอีกวาระที่จะบรรจุ คือ สภาเยาวชนเพื่อรับฟังเสียงของเยาวชนที่อาจจะยังไม่มีสิทธิเลือกตั้ง โดยจะต้องขึ้นตรงกับสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ทั้งนี้ การที่พรรคที่มี ส.ส.มากเป็นอันดับ 1 จะขอตำแหน่งประธานสภา เพื่อจะเป็นประมุขในนิติบัญญัติด้วยก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลกอะไร
เมื่อถามว่า มีการวางตัว ตำแหน่งประธานสภาไว้แล้วว่าต้องเป็นใครหรือไม่ เนื่องจากหลายคนคาดการณ์ไปที่ นายณัฐวุฒิ บัวประทุม รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะหัวหน้าฝ่ายกฎหมาย น.ส.ศิริกัญญา ยอมรับว่า มีการพูดคุยกัน แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะเป็นใคร ในพรรคมีคนที่เหมาะสมหลายคน คาดว่า จะมีการเปิดเผยรายชื่อในช่วงใกล้วันที่จะต้องโหวตประธานสภา ซึ่งตำแหน่งนี้ไม่ได้เพียงควบคุมการประชุมเท่านั้น แต่ยังมีประเด็นในการขับเคลื่อนฟื้นฟูประชาธิปไตย มั่นใจว่าคนของพรรคก้าวไกล สามารถทำได้
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ในโผมีชื่อ นายณัฐวุฒิ อยู่แล้วใช่หรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา ยกตัวอย่างโผคณะรัฐมนตรีที่เคยหลุดออกมา ว่าอยู่ในกรณีเดียวกัน ยังไม่มีการสรุปชื่อใดๆ
นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล แกนนำพรรคก้าวไกล (ก.ก.) โพสต์สื่อสังคมออนไลน์ ทั้งเฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ ว่า “ประธานสภา” กระดุมเม็ดแรกของก้าวไกลเพื่อผลักดัน กม.ก้าวหน้า
นั่นเป็นท่าทีที่แข็งกร้าวจากพรรคก้าวไกล ที่ถึงอย่างไรก็ไม่ยอมถอยเด็ดขาด ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งก็มีความเคลื่อนไหวที่น่าจับตาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะท่าทีของ “โทนี่” นายทักษิณ ชินวัตร ผู้สนับสนุนคนสำคัญของพรรคเพื่อไทย ที่มีการโพสต์ข้อความ โดยรีทวีตข้อความของ นายดวงฤทธิ์ บุนนาค สถาปนิก และแกนนำกลุ่มแคร์ คิด เคลื่อน ไทย ผู้สนับสนุนนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ก่อนหน้านี้ ได้โพสต์ข้อความบนทวิตเตอร์ Duangrit Bunnag ว่า “ต้องทนให้คนที่เรียกตัวเองว่าเพื่อน เอาตีนถีบหน้าอยู่ทุกวันจริงหรือครับ เพื่อนที่โกหก คอยแทงข้างหลังตลอด แต่ต้องช่วยมัน เพราะลำพังตัวเองมันไปเองก็ไม่รอด ไม่ช่วยมันกูก็ผิด ช่วยมันกูก็เจ็บ” #ความอดทนบางทีแม่งก็มีขีดจำกัด
นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รีทวีตข้อความของ นายดวงฤทธิ์ บุนนาค พร้อมกับโพสต์ข้อความสั้นๆ ว่า “Sound Familiar krub” (คุ้นๆ นะครับ)
ขณะเดียวกัน ล่าสุด น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือ “อุ๊งอิ๊ง” แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย บุตรสาวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์อินสตาแกรม ingshin 21 มีข้อความว่า ทิ้งลูกไว้กับคุณยาย 2 วัน แม่คิดถึงคุณตาาาาา ไม่เจอเลย แต่…แม่จะจ๋อยมั้ย ยังไม่ขึ้นเครื่อง ก็คิดถึง 2 จิ๋วของแม่แล้ววววว หลากหลายอารมณ์เหลือเกิน
การเคลื่อนไหวล่าสุดของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่เดินทางไปพบนายทักษิณ ชินวัตร มันก็น่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง และยังเป็นการเดินทางไปหลังจาก เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เธอได้มาร่วมประชุมพรรคแบบเต็มคณะเป็นครั้งแรกหลังการเลือกตั้ง รวมไปถึงหลังจากเกิดเรื่องวิวาทะกับ น.ต.ศิธา ทิวารี จากพรรคไทยสร้างไทย และมีปัญหาในเรื่องเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร กับพรรคก้าวไกล
เอาเป็นว่าเมื่อพิจารณาจากท่าทีและความเคลื่อนไหวของทั้งสองพรรคคือทั้งก้าวไกลและเพื่อไทยนาทีนี้ถือว่า “ตึงเครียด” ขึ้นมาเรื่อยๆ ดูแล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะลดระดับลงมาได้ง่ายๆ และยิ่งมีรายงานความเคลื่อนไหวของบรรดาผู้สนับสนุนหรือแฟนคลับของพรรคเพื่อไทย ที่นัดชุมนุมกันที่พรรคในวันอาทิตย์นี้ เร่งเร้าให้พรรคเพื่อไทยถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลกับก้าวไกล พร้อมเปิดทางให้ไปร่วมกับพรรคอื่นพรรคไหนก็ได้ เพื่อจัดตั้งรัฐบาลแทน ยิ่งทำให้เห็นแนวโน้ม “แตกหัก” ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะการเดินทางไปพบ “โทนี่” นายทักษิณ ชินวัตร ของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย แคนดิเดตนายกฯ งานนี้น่าติดตาม เพราะต้องไม่ลืมคำโพสต์ “ความอดทน (แม่ง) มีจำกัด” ไว้ด้วย!!