1."เรืองไกร" ยื่น กกต.สอบ พท.ปราศรัยผิด ก.ม.เลือกตั้ง-"ณัฐวุฒิ" ครอบงำพรรค พร้อมชี้ งบประมาณแผ่นดินนำมาหาเสียงแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นไม่ได้!
เมื่อวันที่ 21 เม.ย. นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ยื่นคำร้องต่อ กกต.ขอให้ตรวจสอบพรรคเพื่อไทยใน 3 ประเด็น คือ 1.น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นายชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย ปราศรัยบนเวทีที่ จ.อุดรธานี เมื่อช่วงต้นปี ด้วยถ้อยคำว่า “รับเงินหมา กาเพื่อไทย” เนื่องจากเห็นว่า คำพูดดังกล่าวเข้าข่ายฝ่าฝืน พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 73 (5) โดยได้รวบรวมหลักฐานคลิปวิดีโอการปราศรัยและข้อความจากเฟซบุ๊กและเว็บไซต์ของพรรค
2.นายณัฐวุฒิ ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย แต่ขึ้นเวทีไปปราศรัยช่วยหาเสียง เนื่องจากนายณัฐวุฒิ นอกจากไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคแล้ว ยังต้องคำพิพากษาคดีบุกรุกบ้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ องคมนตรี ซึ่งเจ้าตัวอ้างว่าอยู่ในตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย การกระทำของนายณัฐวุฒิ บ่งบอกถึงการเป็นดาวเด่นของพรรคเพื่อไทย จึงเกิดคำถามว่า เป็นการชี้นำครอบงำพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมา เคยยื่นร้องในประเด็นดังกล่าวมาแล้วครั้งหนึ่ง ขณะนั้น กกต.ได้ชี้แจงว่า นายณัฐวุฒิ ได้ขึ้นเวทีแค่สวมเสื้อของพรรคอย่างเดียว จึงไม่เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 28 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งเรื่องนี้ ตนเทียบเคียงกรณีที่นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม ขึ้นเวทีปราศรัยของพรรคพลังประชารัฐ เมื่อปี 2562 โดยสวมเสื้อของพรรค แต่ไม่ได้ปราศรัย จึงอยากให้ กกต.พิจารณา เพราะถ้าการกระทำของนายณัฐวุฒิ เข้าข่ายผิดมาตรา 28, 29 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง สามารถเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคต่อไป
3.ขอให้ กกต.ตรวจสอบนโยบายของพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 ให้กับประชาชนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ตามที่นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ได้พูดถึงบนเวทีปราศรัย ซึ่งพบฐานข้อมูลว่า มีประชาชนที่สามารถได้รับสิทธินี้ 56 ล้านคน ใช้งบประมาณ 5.6 แสนล้านบาท การใช้ถ้อยคำว่างบประมาณกับการหาเสียงในนโยบายดังกล่าว นั่นหมายถึงการใช้งบประมาณแผ่นดินตามมาตรา 140 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งการใช้งบประมาณดังกล่าวจะใช้ได้เฉพาะกฎหมายการเงิน การคลัง ไม่สามารถใช้หาเสียงในลักษณะดังกล่าวได้ ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ เลขาฯ กกต.ต้องรับฟัง ซึ่งการหาเสียงลักษณะนี้ทำเกินกรอบการใช้งบประมาณแผ่นดินหรือไม่
นายเรืองไกร กล่าวด้วยว่า จากตัวเลขที่ใช้งบประมาณมากถึง 5.6 แสนล้าน ที่พรรคเพื่อไทย ชี้แจงว่า เป็นเงินมาจากการจัดเก็บภาษี 2.6 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขงบประมาณแผ่นดินปี 2567 ที่รัฐบาลคำนวณการจัดเก็บภาษีได้เพียง 2.67 แสนล้านบาท แต่ตัวเลขการจัดเก็บภาษีดังกล่าวถูกรวมอยู่ในกรอบการจัดเก็บงบประมาณปี 2567 เรียบร้อยแล้ว ซึ่งไม่มีเงินเหลือไว้ใช้กับนโยบายดังกล่าวแล้ว
“ผมท้าให้ใครก็ได้มาถกกฎหมายงบประมาณด้วยกัน กางกฎหมายวินัยการเงินการคลัง กางรัฐธรรมนูญมาถกกัน พวกท่านเป็นกรรมาธิการงบประมาณมา 4 ปี แต่ทำไมถึงตกประเด็นนี้ ข้อมูลที่บอกว่าจะเก็บเพิ่มได้อีกนั้นไม่ใช่ ซึ่งสำนักงบประมาณได้อธิบายเงินที่จ่ายผ่านกระทรวงต่างๆ หน่วยงานต่างๆ เป็นร้อยโครงการ ซึ่งเงินเอาไปใช้หมดแล้ว ดังนั้น กรณีกระเป๋าเงินดิจิทัลจะต้องกลับไปรื้องบประมาณใหม่ ซึ่งเคยเกิดขึ้นแล้วในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่รื้องบของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ได้ทำไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ถึงแม้ว่าจะรื้อได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะจัดเก็บภาษีได้ตามที่พรรคการเมืองได้หาเสียงไว้ ผมจึงมองว่า ผิดมาตรา 73(5) เพราะนโยบายดังกล่าวก่อนเงินจะตกไปในกระเป๋าของประชาชน จะต้องผ่านกระทรวงต่างๆ ของรัฐบาลก่อน แล้วหน่วยงานไหนจะใช้เงินดิจิทัลตามที่พรรคเพื่อไทยได้หาเสียง”
ทั้งนี้ วันเดียวกัน (21 เม.ย.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เข้ายื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ตรวจสอบรายละเอียดนโยบายหาเสียงที่ใช้จ่ายเงินของพรรคเพื่อไทยว่า ครบถ้วนตามเงื่อนไขมาตรา 57 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 หรือไม่ รวมทั้งตรวจสอบว่าสามารถดำเนินการได้จริงหรือไม่ด้วย โดยเฉพาะนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ซึ่งสมาคมฯ เห็นว่า คำชี้แจงยังมีรายละเอียดที่ไม่ชัดเจน และความเป็นไปได้ของโครงการ มีโอกาสน้อยมากที่จะทำได้จริง
นายศรีสุวรรณ กล่าวด้วยว่า กกต.ควรเร่งพิจารณาให้แล้วเสร็จก่อนการเลือกตั้ง หากเห็นว่าพรรคเพื่อไทยชี้แจงมาถูกต้อง ก็จะเป็นประโยชน์กับพรรคที่จะสามารถใช้นโยบายดังกล่าวหาเสียงต่อไปได้ แต่หากมีปัญหา ก็ต้องสั่งให้ยุติการนำไปหาเสียง แล้วดำเนินการเอาผิดตามที่กฎหมายกำหนด
2.สลด! "จีจี้" เน็ตไอดอลชื่อดัง ถูกยิงดับพร้อมแฟนหนุ่มคาคอนโดฯ เผยฝ่ายชายอารมณ์รุนแรง ทำร้ายร่างกาย จนเลิกคบไปครั้งหนึ่ง!
เมื่อบ่ายวันที่ 19 เม.ย. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.มักกะสัน ได้รับแจ้งมีผู้เสียชีวิต 2 ราย ภายในคอนโดฯ หรู ย่านอโศก แขวงราชเทวี กทม. ผู้เสียชีวิต คือ น.ส.สุพิชชา ปรีดาเจริญ หรือ จีจี้ อายุ 20 ปี เน็ตไอดอลชื่อดัง เจ้าของเพจ "เรื่องของจี้" และนายภูมิพัฒน์ ชัยวณิชยา หรืออิคคิว แฟนหนุ่ม อายุ 19 ปี เป็นนักเรียนเตรียมทหาร ชั้นปี 2 และเป็นลูกชายนายทหารยศสูง สำหรับผู้ที่พบร่างผู้เสียชีวิต คือ เพื่อน และโทรแจ้งเหตุให้ตำรวจทราบ
ทั้งนี้ นายตำรวจหลายนายได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบจุดเกิดเหตุด้วยตัวเอง ทั้ง พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. และพล.ต.ต.อัฎธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน ทีมแพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดี และรถเจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งเข้ามาในจุดเกิดเหตุด้วย
พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. เผยว่า จากการตรวจสอบคาดว่า ผู้เสียชีวิตทั้งสองเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 1 วัน มีอาวุธปืนแบบมีแม็กกาซีนตกอยู่ในที่เกิดเหตุ พร้อมปลอกกระสุน 2 ปลอก ใกล้กับทั้งคู่ สภาพศพมีร่องรอยการยิงที่ศีรษะ ยังไม่มีผู้ได้ยินเสียงปืนขณะเกิดเหตุ เนื่องจากที่เกิดเหตุเป็นลักษณะห้องที่อยู่ลึกเข้าไป และสภาพห้องน่าจะมีการเก็บเสียงได้เป็นอย่างดี เบื้องต้นได้สั่งการให้ฝ่ายสืบสวนเร่งตรวจสอบภาพวงจรปิด และให้ พฐ.เข้าเก็บหลักฐานต่างๆ เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับวัตถุพยานที่พบในที่เกิดเหตุ และตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของทั้งสองคน เพื่อดูว่ามีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อแนวทางการสืบสวนหรือไม่ ขณะเดียวกันให้เรียกญาติและบุคคลใกล้ชิดของทั้งสองฝ่ายมาสอบปากคำ เพื่อหาเบาะแสเพิ่มเติม
ขณะที่เพจเฟซบุ๊กของผู้เสียชีวิต ทางผู้จัดการของผู้เสียชีวิตได้โพสต์ข้อความระบุว่า "จี้ เสียชีวิตแล้วนะครับ รายละเอียดเพิ่มเติมจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง ขอบคุณทุกคนที่ติดตามน้องมาโดยตลอด น้องได้รับความรักจากทุกคนมาอย่างดีตลอด ขอเป็นส่วนหนึ่งที่ขอบคุณทุกคนแทนน้องนะครับ //ผู้จัดการน้องจี้"
ช่วงสายวันต่อมา (20 เม.ย.) นายชินโชติ ปรีดาเจริญ อายุ 58 ปี พร้อมด้วย น.ส.ชุติกาญจน์ ธีระโรจนพงษ์ อายุ 44 ปี บิดาและมารดาของจีจี้ และนายกีรติ อาจหาญ อายุ 39 ปี พ่อเลี้ยง ได้เดินทางเข้ารับศพจีจี้ที่ รพ.รามาธิบดี เพื่อนำกลับไปบำเพ็ญกุศล ทั้งนี้ มารดาของจีจี้ กล่าวว่า ตนยังติดใจเรื่องพ่อของนายอิคคิว ที่ให้ลูกพกอาวุธปืน ซึ่งตนก็รับรู้ว่าลูกคบกับนายอิคคิว แต่ได้เลิกลากันไปแล้วครั้งหนึ่ง ก่อนจะกลับมาคบกัน แต่ครั้งนี้ตนได้พยายามเตือนลูก เพราะเป็นห่วง แต่น้องจีจี้ก็ไม่พูดความจริงว่ามีการทำร้ายร่างกายกัน แต่ช่วงหลังน้องกลัวแม่จะเป็นห่วง จึงบอกว่าคบกันดี ปกติ แต่เพื่อนของจีจี้จะรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น
ซึ่งทางฝั่งพ่อแม่น้องจีจี้ และฝั่งพ่อแม่นายอิคคิว ก็มีการติดต่อกันตลอด เพราะไม่อยากให้ลูกคบกัน แต่ด้วยความที่เด็กทั้งสองคนดื้อ ก็พยายามจะคบกันให้ได้ ส่วนตัวตนไม่อยากให้คบ เนื่องจากนายอิคคิวเป็นคนที่อารมณ์รุนแรง ชอบยิงปืน มักไปยิงปืนเป็นประจำ ตนจึงกลัวว่าวันหนึ่งพกปืนมาแล้ว หากทะเลาะกันในห้องระหว่างอยู่กันลำพังสองคน โดย ที่ไม่มีใครห้าม ตนก็เคยเตือนลูกไปแล้ว แต่น้องจีจี้ ตอบว่าไม่มีหรอก
น.ส.ชุติกาญจน์ เผยด้วยว่า ติดต่อลูกไม่ได้ตั้งแต่คืนก่อนเกิดเหตุ โดยปกติน้องจีจี้จะอ้างว่าอีก 3-4 ชั่วโมงจะโทรกลับ แต่มาครั้งนี้ผ่านไปหลายชั่วโมง ไม่อ่าน LINE จนมาถึงช่วงประมาณเที่ยง ตนจึงเอะใจ จึงรีบขับไปดู แต่ระหว่างนั้นก็พูดคุยกับพ่อแม่ฟังนายอิคคิวตลอด ซึ่งทางบ้านในอิคคิวก็บอกกับตนว่าติดต่อนายอิคคิวไม่ได้ จึงพยายามให้ตนโทรหาน้องจีจี้ให้ ซึ่งตนก็ไม่ได้สังหรณ์ใจอะไร เนื่องจากน้องจีจี้มักบอกกับตนว่า คุยกันดีมีความสุขดี จนมาทราบจากเพื่อนของจีจี้ว่า หลังๆ น้องเริ่มกลับมาทะเลาะกับนายอิคคิว
น.ส.ชุติกาญจน์ ยังยืนยันด้วยว่า ไม่มีการก่อเหตุของบุคคลที่ 3 แน่นอน เพราะเป็นเรื่องที่สองคนทะเลาะกัน ซึ่งปกติมักทะเลาะกันเป็นประจำ และจะทำร้ายร่างกายกัน ส่วนสาเหตุน่าจะมาจากเรื่องหึงหวง และเกิดจากความอารมณ์ร้อน ส่วนนายอิคคิวมีอาการป่วยหรือไม่นั้น ตนไม่ทราบ แต่ทางพ่อแม่ของนายอิคคิว เคย บอกกับตนว่า เอานายอิคคิวไม่อยู่ เพราะเลี้ยงลูกแบบตามใจ ทำให้ระงับอารมณ์ลูกไม่อยู่
น.ส.ชุติกาญจน์ กล่าวอีกว่า ส่วนอาวุธปืนที่นายอิคคิวใช้ ตนคิดว่าเมื่อซ้อมยิงปืนเสร็จ พ่อนายอิคคิวน่าจะเอาปืนกลับบ้าน ตนไม่คิดว่าจะพกปืนออกมาแบบนี้ได้ ส่วนใหญ่จีจี้ก็ได้ไปฝึกยิงปืนกับนายอิคคิวด้วย ซึ่งล่าสุดหลังสงกรานต์จีจี้ก็ได้ฝึกยิงปืนกับนายอิคคิว แต่คิดว่าหลังฝึกยิงคงให้คนขับรถนำปืนไปเก็บไว้ที่บ้าน ไม่คิดว่าจะพกมาแบบนี้
ขณะที่นายชินโชติ พ่อของจีจี้ ได้เผยแชตจากโทรศัพท์ที่คุยกับลูกสาวเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 17 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยลูกส่งผลิตภัณฑ์ที่ลูกจะทำขายมาให้พ่อดู ตอนนั้นพ่อไม่ได้ตอบกลับไป และว่า ลูกส่งโลเคชั่นที่พักมาให้ เพราะวันอาทิตย์นี้ตนจะไปนอนเป็นเพื่อนลูกสาวที่ห้องที่เกิดเหตุ เนื่องจากลูกสาวบอกว่า อยากให้พ่อมานอนเป็นเพื่อนบ้าง ซึ่งที่ผ่านมา ลูกสาวไม่เคยขอให้ตนไปนอนเป็นเพื่อนมาก่อน ไม่ทราบว่าทำไมครั้งนี้ถึงขอให้ไปนอนด้วย อีกทั้งตนไม่ทราบมาก่อนว่าลูกสาวคบหากับแฟนหนุ่ม ถ้าตนรู้ เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น
นายชินโชติ เผยด้วยว่า ตนได้คุยกับแพทย์ผ่าศพลูกสาว ผลชันสูตรบาดแผลพบว่า ถูกยิงที่ศีรษะบริเวณขมับขวา ทะลุขมับซ้าย มือมีอาการเกร็ง เกิดจากถูกยิงจนเสียชีวิตโดยไม่ทันตั้งตัว
ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่า นายอิคคิวเสียชีวิตจริงหรือไม่ มารดาของจีจี้ได้ออกมายืนยันว่า นายอิคคิวเสียชีวิตจริง โดยตนได้เห็นศพทั้งสองในห้องที่เกิดเหตุ และอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุตกอยู่ด้วย ทั้งนี้ ภายหลังยังมีการเปิดหนังสือรับรองการตายของนายอิคคิวว่า สาเหตุการตายคือ บาดแผลกระสุนปืนลูกโดดบริเวณลำคอ
3. MEA ยันไม่ได้ขึ้นค่าไฟ หลังคนบ่นค่าไฟพุ่ง ด้านคณะอนุกรรมการฯ Ft เคาะลดค่าไฟ เหลือ 4.70 บ./หน่วย เตรียมชงบอร์ด กกพ. 24 เม.ย.นี้!
เมื่อวันที่ 19 เม.ย. นายจาตุรงค์ สุริยาศศิน รองผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง (MEA) ในฐานะโฆษก MEA ได้ออกมาชี้แจงกรณีที่ช่วงนี้ผู้ใช้ไฟฟ้าต่างสงสัยว่าค่าไฟสูงขึ้น เพราะการไฟฟ้าขึ้นค่าไฟ โดยยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง โดย MEA ยังใช้หลักเกณฑ์วิธีการคิดค่าไฟฟ้าจากหน่วยการใช้ไฟฟ้าในอัตราตามที่นโยบายของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กำหนด
ส่วนสาเหตุที่ทำให้หน่วยการใช้ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น นายจาตุรงค์ ชี้แจงว่า เนื่องจากช่วงนี้ประเทศไทยมีสภาพอากาศที่ร้อนจัด ในบางพื้นที่มีอุณหภูมิสูงถึง 40 องศาเซลเซียส ทำให้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ทำความเย็นต้องทำงานมากขึ้นและใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น โดยเห็นได้จากค่าพลังความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (Maximum Demand) ในพื้นที่กรุงเทพฯ นนทบุรี และสมุทรปราการ ล่าสุด มีค่าเท่ากับ 8,904.66 เมกะวัตต์ เกิดขึ้นในวันที่ 18 เม.ย. 66 ซึ่งค่าความต้องการพลังงานไฟฟ้าสูงสุด มักจะพบว่า อยู่ในช่วงฤดูร้อนทั้งสิ้น
โดยเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานมากขึ้นในช่วงฤดูร้อน คือเครื่องปรับอากาศ ยกตัวอย่าง ในสภาวะอากาศปกติ เช่น อุณหภูมิภายนอกอยู่ที่ 30 องศาเซลเซียส หากเราปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศในห้องที่ 26 องศาเซลเซียส ตัวเครื่องปรับอากาศจะต้องทำงานเพื่อลดอุณหภูมิให้ได้ 4 องศาเซลเซียส แต่ในช่วงที่อากาศร้อนจัด เช่น อุณหภูมิภายนอก 40 องศาเซลเซียส หากตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศในห้องเท่าเดิมไว้ที่ 26 องศาเซลเซียส แต่ตัวเครื่องปรับอากาศจะต้องทำงานเพื่อลดอุณหภูมิให้ได้ถึง 14 องศาเซลเซียล เครื่องปรับอากาศจึงทำงานหนักมากขึ้น และกินไฟมากกว่าเดิม อีกทั้งยังต้องรักษาอุณหภูมิในสภาวะที่มีความร้อนจัดจากภายนอกรบกวน จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หน่วยการใช้ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น จากการทดสอบพบว่า อุณหภูมิภายนอกที่เพิ่มขึ้นทุก 1 องศาเซลเซียส แอร์จะกินไฟเพิ่มขึ้นมากกว่า 3%
วันต่อมา 20 เม.ย. นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน ได้ออกมายืนยันเช่นกันว่า ค่าไฟฟ้าไม่ได้มีการปรับราคาเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากยังคงอยู่ในช่วงคิดอัตราค่าไฟฟ้าเดิมคือ 4.72 บาทต่อหน่วย สำหรับกลุ่มครัวเรือน (1 มกราคม-30 เมษายน 2566) ยังไม่มีการปรับอัตราค่าไฟฟ้า แต่ต้องเข้าใจก่อนว่า ปัจจุบันอัตราค่าไฟฟ้าจะมีอัตราเริ่มต้นและปรับอัตราเพิ่มเป็นขั้นบันได
ส่วนประเด็นอัตราการสำรองไฟฟ้า (Reserve Margin : RM) ที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ค่าไฟแพงนั้น นายกุลิศ กล่าวว่า ปัจจุบันสำรองไฟฟ้าของไทยอยู่ที่ 36% ไม่ได้สูงถึง 50-60% โดยตัวเลขดังกล่าวเป็นการนำค่ากำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญามาคำนวณ จึงไม่สะท้อนอัตราการสำรองไฟฟ้าแท้จริง
นายกุลิศกล่าวด้วยว่า สำหรับค่าไฟฟ้าในงวดที่ 2 (1 พฤษภาคม-31 สิงหาคม 2566) อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) คาดว่าจะลดลงจาก 4.77 บาทต่อหน่วย เหลือ 4.70 บาทต่อหน่วย ตามที่นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ให้สัมภาษณ์แล้ว
ด้านนายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญและติดตามสถานการณ์เรื่องค่าไฟฟ้าอย่างใกล้ชิด ห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบ พยายามหาทางช่วยเหลืออยู่ เพื่อแบ่งเบาภาระประชาชน ให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
ล่าสุด เมื่อวันที่ 21เม.ย. คณะอนุกรรมการพิจารณาค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) ได้พิจารณาทบทวนสมมติฐานค่าไฟฟ้า Ft สำหรับงวดที่ 2/2566 (พฤษภาคม-สิงหาคม) ตามที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ทำหนังสือฉบับใหม่ขอรับภาระยืดหนี้การชำระค่าไฟฟ้าแทนประชาชนจาก 5 งวด คิดเป็นค่าไฟ 35 สตางค์ต่อหน่วย (งวดละ 27,000 ล้านบาท) เป็น 6 งวด คิดเป็นค่าไฟ 28 สตางค์ต่อหน่วย (งวดละ 22,000 ล้านบาท) ส่งผลให้ค่าไฟเฉลี่ยลดลงเหลือ 4.70 บาทต่อหน่วย จากเดิมที่ 4.77 บาทต่อหน่วย โดยจะมีการนำเข้าหารือในบอร์ด กกพ.วันที่ 24 เม.ย. และเปิดรับฟังความเห็น ก่อนเสนอกลับไปยังบอร์ด กกพ.ให้พิจารณาอีกครั้ง ซึ่งจะทันกับบิลค่าไฟรอบเดือน พ.ค.ที่จะเริ่มออกตั้งแต่ 10 พ.ค.นี้
นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เบื้องต้น คณะอนุกรรมการ FT ล่าสุดได้พิจารณาทบทวนเฉพาะประเด็นการยืดหนี้ของ กฟผ.ที่จะทำให้ค่าไฟเฉลี่ยเหลือ 4.70 บาทต่อหน่วย ซึ่งคงจะต้องรอลุ้นว่า บอร์ด กกพ.จะมีการนำประเด็นการเสนอทบทวนราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) นำเข้าใหม่ หรือไม่ เพราะหากทบทวนเฉพาะ LNG จะทำให้ค่าไฟเฉลี่ยลดลงเหลือเพียง 4.34 บาทต่อหน่วย “คณะอนุฯ มีการรับฟังประเด็นต้นทุน LNG นำเข้าจากเอกชน แต่ไม่ได้ทบทวนตัวเลขใดๆ คงต้องมารอลุ้นบอร์ด กกพ. กันใหม่อีกครั้ง”
4. ดีเอสไอส่งสำนวนให้อัยการสั่งฟ้อง "นอท กองสลากพลัส" ข้อหาฟอกเงิน หลังพบรับโอนเงินจาก "เฟย" 53 ล้าน!
เมื่อวันที่ 21 เม.ย. นายพงษธร อินอำนวย ผอ.ศูนย์คดียาเสพติด กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมคณะพนักงานสอบสวน ดีเอสไอ ได้นำสำนวนการสอบสวนคดีพิเศษส่งมอบให้พนักงานอัยการคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อส่งฟ้องนายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หรือ “นอท กองสลากพลัส” กับพวก รวม 17 คน
นายพงษธร กล่าวว่า คดีนี้มีผู้ต้องหาทั้งหมด 41 คน แต่นำผู้ต้องหามาส่งฟ้องต่อพนักงานอัยการจำนวน 17 ราย ส่วนที่หลบหนีศาลได้ออกหมายจับแล้วจำนวน 20 คน และอยู่ในเรือนจำจำนวน 4 คน
สำหรับข้อหาที่ฟ้องนายพันธ์ธวัช คือ ร่วมกันฟอกเงิน โดยพฤติการณ์คือ นำสลากกินแบ่งรัฐบาลให้นายเฟยไปขึ้นรางวัล เป็นเงินจำนวน 53 ล้านบาท และโอนเงินเข้าบัญชีของนอท ส่วนผู้ต้องหารายอื่นอีก 16 ราย เป็นกลุ่มผู้จัดการบัญชีม้า ซึ่งนอกเหนือจากการเป็นบัญชีม้าแล้ว ยังทำหน้าที่ในการกดเงินด้วย โดยดีเอสไอได้แจ้งข้อหาร่วมกันฟอกเงิน และจัดให้มีการเล่นการพนัน
ทั้งนี้ ดีเอสไอได้นำสำนวนจำนวน 34 แฟ้ม 10,000 กว่าหน้า พร้อมความเห็นสมควรฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 17 ราย ให้อัยการพิจารณาและมีความเห็นทางคดีต่อไป
นายพงษธร กล่าวว่า ในชั้นพนักงานสอบสวน นายพันธ์ธวัช ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ แต่จากพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ตรวจสอบแล้วว่า มีแคชเชียร์เช็คจริง เป็นฉบับจริง และผู้ต้องหาเองก็ยอมรับว่าเป็นแคชเชียร์เช็คจริง แต่เหตุผลที่นำไปขึ้นเงินนั้น ผู้ต้องหาให้เหตุผลประกอบคำแก้ต่างมาแล้ว ซึ่งพนักงานสอบสวนดีเอสไอก็รับฟัง แต่ด้วยประเทศไทยเป็นระบบกล่าวหา เมื่อพยานหลักฐานเข้าองค์ประกอบความผิดก็ต้องแจ้งข้อกล่าวหา และให้ผู้ต้องหามาพิสูจน์ในชั้นอัยการและศาล
ด้าน “นอท กองสลากพลัส” ได้เดินทางมายังสำนักงานอัยการสูงสุดตามกำหนดนัด เพื่อให้พนักงานสอบสวนดีเอสไอส่งตัวให้อัยการ โดยยืนยันปฏิเสธข้อกล่าวหา พร้อมต่อสู้คดี และได้เตรียมเอกสารหลักฐานการมอบอำนาจให้นายเฟยไปขึ้นเงินไว้ต่อสู้ในชั้นศาล พร้อมยืนยันว่า เพิ่งรู้จักกับนายเฟยและพบกันเป็นครั้งแรก ไม่ทราบมาก่อนว่า นายเฟย ทำเว็บพนันออนไลน์ และมีลูกน้องมีเครือข่ายบัญชีม้า
“นอท กองสลากพลัส” ยังกล่าวต่อว่า ตนจะยังเดินหน้าหาเสียงสู่การเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค.นี้ และตั้งเป้าให้ได้ 3 ล้านเสียง เพื่อจะมี 10 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมผลักดันกาสิโนถูกกฎหมาย และหวยใต้ดินถูกกฎหมาย แม้ถูกดำเนินคดี ก็มั่นใจว่า จะไม่กระทบต่อคะแนนเสียงเลือกตั้ง
ทั้งนี้ อัยการได้นัดฟังคำสั่งฟ้องในวันที่ 8 พ.ค. เวลา 10.00 น. สำหรับผู้ต้องหา 41 คน ประกอบด้วย 1.นายพิเชษฐชัย เสมศรี 2.นายณัฐพล ประดิษฐ์ประเสริฐ 3.นายนันทวุฒิ ขาวงาม 4. นายสุทิน ใจสนุก 5.นางสาวณุภัทรณีย์ มูลเงินคณาพงศ์ 6.นายภาคภูมิ แสงนิล 7.นายณฐกร ตระการศักดิกุล 8.นายอรรถกานณ์ ตระการศักดิกุล 9.นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ (นอท) 10.นายศุภกฤต งามภาคภูมิ
11.ธนิสร รัตนพล 12.น.ส.โชติมา โชติวงศ์วาน 13.นายชาญชัย คงกล่อม 14.นายอรรถพล พิมทอง 15.นายธนภัทร จารุวรรัตน์ 16.นายภูมิรัตน์ พรหมรัตนพงศ์ 17.นายธวัชชัย สิงห์สูง 18.นายบูรพา พุกกะรัตน์ 19.นางพงศพัศ ศิริทอน 20.นายธนกฤต โพธิ์พอน 21.นายอุทัย วงศ์กันยา 22.น.ส.วราพร ศิริทอน 23.นายนิวัฒน์ ภูมิชัย 24.นายบุญส่ง ใจสนุก 25.น.ส.เกวรินทร์ อินทรคง 26.นายสุทธิกร บัวจันทร์ 27.นายวิวัฒน์ เอกสิทธิ์ธารากร 28.นายทศพร จารุสัมฤทธิ์ 29.นางสุดารัตน์ จอมสง่า 30.นายธนากร สอนเต็ม
31.นายธนพร วัฒนกุล 32.นายขจรศักดิ์ พุ่มศรีนิล 33.นางเยาวเรศ หวานสุวรรณ 34.นายสกลวิทย์ มุงคำภา 35.นายอิทธิพล อุดมผล 36.นายเจริญชัย เสมศรี 37.น.ส.วิภาพร ศิริทอน 38.นายกิติพงษ์ ศรีคงไทย 39.นายอาชา บุญโสภา 40.นายณัฐชนน สุวรรณ 41.นายอุเทน ใจสนุก
5. "หลินฮุ่ย" แพนด้าทูตสันถวไมตรีไทย-จีน ตายแล้ว พบก่อนตาย เลือดกำเดาไหล ด้านสวนสัตว์เชียงใหม่ยันรักษาเต็มที่แล้ว เชื่อไม่เกี่ยว PM2.5 !
เมื่อวันที่ 19 เม.ย. มีรายงานว่า "หลินฮุ่ย" แพนด้าเพศเมีย ที่ได้รับการดูแลโดยสวนสัตว์เชียงใหม่ได้ตายลงแล้ว ส่วนสาเหตุต้องรอทางสวนสัตว์ประกาศอย่างเป็นทางการ
วันเดียวกัน เพจ "ลุยจีน" ได้เผยภาพสุดท้ายของหลินฮุ่ยเมื่อวันที่ 17 เม.ย. ที่มีเลือดไหลออกจากจมูกและคออย่างน่าสงสาร โดยนักท่องเที่ยวจีนได้ถ่ายภาพไว้ ก่อนที่หลินฮุ่ยจะจากไปด้วยวัย 21 ปี โดยทางเพจระบุข้อความว่า "ภาพสุดท้ายของแพนด้าไทย หลินฮุ่ย วันที่ 17 เม.ย. ที่ถ่ายโดย นทท.จีนที่ไปสวนสัตว์เชียงใหม่ ตอนนั้นเห็นได้ชัดน้องมีอาการเลือดไหลจากจมูกและคอ ดูซึมๆ แล้วยังมีรายงานว่ามีอาเจียน เบื่ออาหารร่วม
"ซึ่งมีการยืนยันการตายของหลินฮุ่ยโดยสวนสัตว์เชียงใหม่เช้าวันนี้ (19 เม.ย. 2023) น้องอายุรวม 21 ปี มาไทยตั้งแต่ปี 2008 รวมอยู่ไทยมาแล้ว 15 ปี เดี๋ยววันนี้ข่าวเรื่องการตายของน้องคงไปถึงที่จีน และเป็นที่โศกเศร้าเสียใจกัน ยังไงขอยืนยันว่าประเทศไทยเราดูแลน้องดีมากๆ นะ"
ทั้งนี้ ที่สวนสัตว์เชียงใหม่ นายเดชบุญ มาประเสริฐ ประธานกรรมการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย พร้อมด้วยนายอรรถพร ศรีเหรัญ ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย และนายวุฒิชัย ม่วงมัน ผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่ รวมทั้งสัตวแพทย์ผู้ดูแลหมีแพนด้า ได้ร่วมกันแถลงข่าวการตายของ “หลินฮุ่ย” หมีแพนด้าเพศเมีย อายุ 21 ปี ทูตสันถวไมตรีไทย-จีน ว่า หลังจากที่มีการสังเกตพบว่า "หลินฮุ่ย" มีอาการผิดปกติเลือดกำเดาไหลออกทางจมูก ระหว่างนอนอยู่ในส่วนจัดแสดงตั้งแต่เวลาประมาณ 11.00 น.วันที่ 18 เม.ย.ได้ระดมทีมสัตวแพทย์ พร้อมประสานขอรับคำปรึกษาจากทางผู้เชี่ยวชาญจีน พยายามให้การรักษาอย่างเต็มกำลังความสามารถแล้ว แต่ไม่สามารถยื้อชีวิตเอาไว้ได้
โดย "หลินฮุ่ย" ได้ตายลงในเวลา 01.10 น. วันที่ 19 เม.ย. ซึ่งถือเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ขององค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย เพราะเป็นทูตสันถวไมตรีไทย-จีน ที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์แน่นแฟ้นของทั้งสองประเทศ ซึ่งตามกำหนดเดิม ทางองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยเตรียมที่จะต้องส่งคืน "หลินฮุ่ย" ให้กับทางการจีนในวันที่ 12 ต.ค. 66 นี้แล้ว เนื่องจากครบกำหนดสัญญา 20 ปี แต่มาเกิดเหตุความสูญเสียในครั้งนี้เสียก่อน ส่วนอนาคตตจะมีการส่งหมีแพนด้าจากจีนมาอยู่ในประเทศไทยอีกหรือไม่ จะต้องมีการหารือและพิจารณาร่วมกับทางการจีนอีกครั้ง
ด้านนายวุฒิชัย ม่วงมัน ผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่ กล่าวถึงสาเหตุการตายของหลินฮุ่ยว่า กำลังประสานผู้เชี่ยวชาญจากประเทศจีนเดินทางมาร่วมผ่าชันสูตรซากเพื่อหาสาเหตุการตายที่แน่ชัดต่อไป ซึ่งหากเทียบกับเมื่อครั้งที่ "ช่วงช่วง" หมีแพนด้าตัวผู้ตายในปี 2562 ครั้งนั้นผู้เชี่ยวชาญเดินทางมาถึงหลังจากที่ "ช่วงช่วง" ตายแล้ว 4 วัน และทราบผลการชันสูตรอย่างเป็นทางการหลังจากนั้นประมาณ 2 เดือน
เบื้องต้นทางสวนสัตว์เชียงใหม่ได้จัดเก็บซากของ "หลินฮุ่ย" ไว้เป็นอย่างดีแล้วตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญจีน และเมื่อทำการผ่าพิสูจน์เสร็จแล้วจะต้องส่งซากของ "หลินฮุ่ย" คืนให้กับทางการจีนด้วย ตามข้อตกลงในสัญญา สำหรับค่าธรรมเนียมที่จะต้องจ่ายให้ทางการจีนกรณีหมีแพนด้าตายนั้น มีการทำประกันไว้วงเงิน 15 ล้านบาท ซึ่งน่าจะครอบคลุมเพียงพอ และว่า ตลอดช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ทางสวนสัตว์เชียงใหม่ให้การดูแลหมีแพนด้าเป็นอย่างดี จนได้รับคำชมจากทางการจีน
ขณะที่นายสัตวแพทย์ เทวราช เวชมนัส รักษาการหัวหน้างานสุขภาพสัตว์ และปฏิบัติหน้าที่นายสัตวแพทย์ประจำโครงการวิจัยและจัดแสดงหมีแพนด้า เผยว่า ตามปกติประจำทุกวัน ก่อนที่จะปล่อยหลินฮุ่ยออกสู่ส่วนจัดแสดง จะมีการตรวจสุขภาพอย่างละเอียดทุกครั้ง ซึ่งวานนี้ (18 เม.ย.) ไม่ตรวจพบความผิดปกติใดๆ จนกระทั่งช่วงสายที่มีการสังเกตพบระหว่างที่หลินฮุ่ยนอนหลับพักผ่อนอยู่ ได้มีเลือดกำเดาไหลซึมออกมาทางจมูก ทางทีมสัตวแพทย์จึงรีบให้การรักษาอย่างเร่งด่วนทันที และมีการประสานขอคำปรึกษาจากทางผู้เชี่ยวชาญจีนในการรักษาตลอดทุกขั้นตอน จนกระทั่งหลินฮุ่ยตายลงในที่สุด
ส่วนสาเหตุที่เลือดกำเดาไหลนั้นเป็นไปได้หลายอย่าง แต่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ซึ่งสาเหตุการตายที่แน่ชัดจะต้องรอการผ่าชันสูตรร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจีนอีกครั้ง และว่า การตายของหลินฮุ่ยด้วยอายุ 21 ปี 7 เดือนนั้น ถือว่าเป็นการตายในช่วงอายุขัยเฉลี่ยปกติของหมีแพนด้าที่อยู่ที่ประมาณ 20 ปี ซึ่งหากเทียบกับมนุษย์แล้วหลินฮุ่ยถือว่าอยู่ในวัยชรา อายุประมาณ 80 ปี
อนึ่ง สำหรับหมีแพนด้าเพศผู้ ที่ชื่อ ช่วง ช่วง ตายลง ณ สวนสัตว์เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 16 ก.ย.2562 ผลการชันสูตรและวินิจฉัยโรคของคณะผู้เชี่ยวชาญไทย-จีน พบว่า ภาวะทางโภชนาการของหมีแพนด้า ช่วง ช่วง อยู่ในเกณฑ์ดี ไม่พบบาดแผลภายนอก ไม่พบสิ่งแปลกปลอมในหลอดลม สาเหตุการตายเนื่องมาจากภาวะหัวใจล้มเหลว ส่งผลให้อวัยวะภายในทั่วร่างกายขาดออกซิเจน จนเป็นเหตุให้ตาย