1.กกต.ปิดรับสมัคร ส.ส.แล้ว 70 พรรคส่งผู้สมัคร เปิดเบอร์ปาร์ตี้ลิสต์ ภท.ได้เบอร์ 7-รทสช. 22-ปชป.26-พท.29-พปชร.37 !
เมื่อวันที่ 3 เม.ย. นับเป็นวันแรกที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดรับสมัคร ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้งทั้ง 400 เขต ปรากฏว่า แต่ละพรรคการเมืองพร้อมใจกันไปสมัครรับเลือกตั้ง โดย กกต.เปิดรับสมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตตั้งแต่วันที่ 3-7 เม.ย. และรับสมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และแจ้งรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของแต่ละพรรค ตั้งแต่วันที่ 4-7 เม.ย.
หลังสิ้นสุดการรับสมัคร กกต.สรุปยอดตัวเลขผู้สมัคร ส.ส.ทั้งหมดว่า การสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.เขต มี 70 พรรค ส่งผู้สมัครรวม 4,781 คน, การสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ มี 67 พรรค ส่งผู้สมัครรวม 1,898 คน ส่วนการเสนอรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี มี 43 พรรค ส่งแคนดิเดตรวม 63 คน
สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ กกต.จะตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัคร โดยนายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. คาดว่า จะสามารถประกาศรายชื่อผู้สมัครได้ในวันที่ 14 เม.ย. สำหรับบุคคลที่ กกต. ไม่ประกาศรายชื่อให้เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง สามารถร้องต่อศาลฎีกาได้ภายใน 7 วัน และศาลฎีกาต้องพิจารณาให้เสร็จก่อนวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 3 วัน
ทั้งนี้ ผลการจับหมายเลขของแต่ละพรรคการเมืองเพื่อใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ได้แก่ หมายเลข 1 พรรคใหม่ หมายเลข 2 พรรคประชาธิปไตยใหม่ หมายเลข 3 พรรคเป็นธรรม หมายเลข 4 พรรคท้องที่ไทย หมายเลข 5 พรรคพลังสังคมใหม่ หมายเลข 6 พรรคครูไทยเพื่อประชาชน หมายเลข 7 พรรคภูมิใจไทย หมายเลข 8 พรรคแรงงานสร้างชาติ หมายเลข 9 พรรคพลัง หมายเลข 10 พรรคอนาคตไทย หมายเลข 11 พรรคประชาชาติ หมายเลข 12 พรรคไทยรวมไทย หมายเลข 13 พรรคไทยชนะ หมายเลข 14 พรรคชาติพัฒนากล้า หมายเลข 15 พรรคกรีน หมายเลข 16 พรรคพลังสยาม หมายเลข 17 พรรคเสมอภาค หมายเลข 18 พรรคชาติไทยพัฒนา หมายเลข 19 พรรคภาคีเครือข่ายไทย หมายเลข 20 พรรคเปลี่ยน หมายเลข 21 พรรคไทยภักดี
หมายเลข 22 พรรครวมไทยสร้างชาติ หมายเลข 23 พรรครวมใจไทย หมายเลข 24 พรรคเพื่อชาติ หมายเลข 25 พรรคเสรีรวมไทย หมายเลข 26 พรรคประชาธิปัตย์ หมายเลข 27 พรรคพลังธรรมใหม่ หมายเลข 28 พรรคไทยพร้อม หมายเลข 29 พรรคเพื่อไทย หมายเลข 30 พรรคทางเลือกใหม่ หมายเลข 31 พรรคก้าวไกล หมายเลข 32 พรรคไทยสร้างไทย หมายเลข 33 พรรคไทยเป็นหนึ่ง หมายเลข 34 พรรคแผ่นดินธรรม หมายเลข 35 พรรครวมพลัง หมายเลข 36 พรรคเพื่อชาติไทย
หมายเลข 37 พรรคพลังประชารัฐ หมายเลข 38 พรรคเพื่อไทรวมพลัง หมายเลข 39 พรรคมิติใหม่ หมายเลข 40 พรรคประชาภิวัฒน์ หมายเลข 41 พรรคไทยธรรม หมายเลข 42 พรรคไทยศรีวิไลย์ หมายเลข 43 พรรคพลังสหกรณ์ หมายเลข 44 พรรคราษฎร์วิถี หมายเลข 45 พรรคแนวทางใหม่ หมายเลข 46 พรรคถิ่นกาขาวชาววิไล หมายเลข 47 พรรครวมแผ่นดิน หมายเลข 48 พรรคเพื่ออนาคตไทย หมายเลข 49 พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย
ส่วนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของแต่ละพรรค ได้แก่ พรรคภูมิใจไทย เสนอชื่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคชาติไทยพัฒนา เสนอชื่อนายวราวุธ ศิลปอาชา เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคไทยภักดี เสนอชื่อนายวรงค์ เดชกิจวิกรม เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
พรรครวมไทยสร้างชาติ เสนอชื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเสรีรวมไทย เสนอชื่อ พลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคประชาธิปัตย์ เสนอชื่อนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล เสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคไทยสร้างไทย เสนอชื่อ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, นายสุพันธุ์ มงคลสุธี และ น.ต.ศิธา ทิวารี เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
พรรคพลังประชารัฐ เสนอชื่อ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคไทยศรีวิไลย์ เสนอชื่อนายมงคลกิตต์ สุขสินธารานนท์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย เสนอชื่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี, นายเศรษฐา ทวีสิน และนายชัยเกษม นิติสิริ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
เป็นที่น่าสังเกตว่า 1 ในนโยบายที่พรรคเพื่อไทยนำมาใช้หาเสียง และหลายฝ่ายมองว่า อาจผิดกฎหมายเลือกตั้ง เพราะอาจเข้าข่ายสัญญาว่าจะให้ หรือจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเลือกผู้สมัครหรือพรรคตนเอง โดยนโยบายดังกล่าวของพรรคเพื่อไทยคือ "จะสร้าง ‘กระเป๋าเงินดิจิทัล’ ของคนไทย ที่รัฐบาลจากพรรคเพื่อไทย จะมอบให้ประชาชนทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป พร้อมเงินติดกระเป๋าไว้ใช้เบื้องต้นในระยะสั้น จำนวน 10,000 บาท สำหรับใช้จ่ายใกล้บ้านระยะทาง 4 กิโลเมตร ภายในเวลา 6 เดือน"
ทั้งนี้ 10 ข้อห้ามที่ กกต.เน้นย้ำไม่ให้ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำ เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเอง หรือผู้สมัครอื่น หรือบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2561 และระเบียบ กกต.ว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ.2561 หากฝ่าฝืนอาจได้รับโทษปรับหรือจำคุก เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ตลอดทั้งการยุบพรรคการเมือง ได้แก่ 1.ห้ามจัดทํา ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใด อันอาจคํานวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด
2.ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดไม่ว่าจะโดยตรง หรือโดยอ้อมแก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิ วัด สถานศึกษา สถานสงเคราะห์หรือสถาบันอื่นใด 3.ห้ามมิให้ผู้ใดกระทําการเพื่อจูงใจหรือควบคุมให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปลงคะแนนเลือก หรือลงคะแนนไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด
ด้านนายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. กล่าวถึงกรณีนายเศรษฐา ทวีสิน 1 ในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ปราศรัยตอนหนึ่งของพรรคเมื่อวันที่ 5 เม.ย. โดยระบุว่า จะแจกเงินในกระเป๋าเงินดิจิทัลให้คนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไปคนละ 10,000 บาทว่า เป็นนโยบายที่ใช้งบประมาณแผ่นดินอยู่แล้ว หากได้ไปเป็นรัฐบาล นโยบายลักษณะนี้จะไม่ผิดกฎหมายสัญญาว่าจะให้ ซึ่งนโยบายที่จะเข้าข่ายสัญญาว่าจะให้ คือ การใช้เงินที่ไม่ใช่เงินของแผ่นดิน
นายแสวง กล่าวด้วยว่า นโยบายของแต่ละพรรคต้องประกาศให้ประชาชนทราบและส่งมาให้ที่ กกต.ด้วย โดยนโยบายแต่ละนโยบาย ประกอบด้วย 1. ชื่อนโยบาย 2. วงเงินที่ต้องใช้ 3. ที่มาของเงินหรือวิธีการหาเงิน 4. ความคุ้มค่าและประโยชน์การดำเนินการนโยบาย 5. ผลกระทบและความเสี่ยงในการดำเนินนโยบาย และ 6. นโยบายนั้นต้องได้รับความเห็นชอบจากตัวแทนพรรคการเมืองแต่ละจังหวัด ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้มีข้อมูลในการไปลงคะแนนว่านโยบายแบบนี้ ถูกใจประชาชนหรือไม่ เพื่อให้ข้อมูลแต่ละพรรคครบถ้วนรอบด้าน
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า พรรคเพื่อไทยได้แจ้งนโยบายหาเสียงดังกล่าวมายัง กกต.แล้ว แต่ไม่มีการระบุวงเงินที่ต้องใช้ และที่มาของเงิน รวมทั้งยังมีอีกหลายนโยบายที่ไม่ได้ระบุวงเงินที่ต้องใช้ และที่มาของเงิน โดย กกต.จะมีการแจ้งให้พรรคเพื่อไทยดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด
2.ศาลสั่งปิดเว็บไซต์มือแฮกข้อมูลคนไทย 55 ล้านคนแล้ว พร้อมออกหมายจับ พบแฮกเกอร์เป็นทหาร ยศจ่าสิบโท ยังจับไม่ได้ ประสานต้นสังกัดแล้ว!
จากกรณีที่เมื่อวันที่ 31 มี.ค.2566 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ DES ได้ตรวจพบเว็บไซต์ 9near โพสต์คลิปวิดีโอชื่อ "55 ล้านชื่อหลุด" กระทั่งมีการนำเสนอข่าวเป็นวงกว้างถึงการกระทำที่มีลักษณะประกาศขายข้อมูลส่วนตัวคนไทย กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลศาลอาญา ขอให้ไต่สวนฉุกเฉิน และมีคำสั่งให้ระงับการทำให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีเนื้อหาอันเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 จำนวน 1 โดเมนเนม ออกจากระบบคอมพิวเตอร์เป็นการด่วน
ด้านศาลได้มีคำสั่งรับคำร้องไว้ไต่สวน และได้ไต่สวนพยานผู้ร้องเสร็จสิ้น 1 ปาก ก่อนมีคำสั่งว่า พิเคราะห์พยานบุคคล พยานเอกสาร และวัตถุพยานที่ผู้ร้องนำสืบในชั้นไต่สวนแล้ว สามารถรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่า กระทรวงดิจิทัลฯ ตรวจสอบพบว่ามีข้อมูลในอินเทอร์เน็ตและสื่อสังคมออนไลน์ มีเนื้อหาเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ จำนวน 1 โดเมนเนม ได้แก่ 9near.org
ซึ่งข้อมูลที่ปรากฏในโดเมนเนมดังกล่าวข้างต้น มีเนื้อหาเป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา และเข้าข่ายเป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 14 (1)(2) พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และแก้ไขเพิ่มเติม
จึงมีคำสั่งให้ระงับการทำให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ เว็บไซต์ 9near.org ออกจากระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ หากภายหลังมีการนำข้อมูลคอมพิวเตอร์ ที่มีเนื้อหาดังกล่าวเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ และมีการทำให้แพร่หลายซ้ำอีก ก็ให้ระงับหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นออกจากระบบคอมพิวเตอร์ด้วย
2 วันต่อมา (5 เม.ย.) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เผยว่า ได้สั่งการให้ตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือตำรวจไซเบอร์ ประสานข้อมูลกับกระทรวงดิจิทัลฯ เพื่อเร่งตรวจสอบกรณีผู้ใช้งานบัญชีที่ใช้ชื่อว่า "9near" โพสต์ขายข้อมูลส่วนตัวของคนไทยกว่า 55 ล้านรายการบนเว็บไซต์ Bleach Forums โดยอ้างว่า ได้มาจากหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่งของประเทศไทย และได้โพสต์ตัวอย่างไฟล์ ระบุชื่อ สกุล ที่อยู่ วันเกิด เบอร์โทรศัพท์และเลขที่บัตรประจำตัวประชาชน พร้อมทั้งระบุข้อความข่มขู่ผู้เสียหายให้ติดต่อกลับว่า ขณะนี้คดีมีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก และเร็วๆ นี้จะมีการแจ้งให้ประชาชนรับทราบ พร้อมยืนยันว่า ขณะนี้ตำรวจรู้ตัวแล้วและขอเวลาทำงานอีกสักนิด
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ เผยอีกครั้งเมื่อวันที่ 7 เม.ย.ว่า เจ้าหน้าที่ได้ออกหมายจับผู้ต้องหาไปแล้ว มีข่าวเปิดออกมาบ้างแล้วว่าเป็นทหาร สังกัดกรมการขนส่งทหารบก ขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงานให้ผู้บังคับบัญชานำตัวผู้ต้องหามามอบตัว ส่วนสาเหตุต่างๆ ต้องรอผลการสอบสวนอีกครั้ง เบื้องต้นทราบว่า ขณะนี้มีผู้ต้องหาเพียง 1 ราย ส่วนข้อมูลที่เขาจะนำมาเปิดเผยทราบว่า เป็นข้อมูลจากแอปพลิเคชั่นหมอพร้อม อีกทั้งยังทราบว่า ภรรยาของผู้ต้องหาเป็นพยาบาล "ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า ผู้ต้องหามีความสนิทกับนักการเมืองบางคน ผมยังไม่ได้รับรายงานในเรื่องนี้ ยังไม่มี กรณีอย่างนี้มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว จึงจำเป็นต้องหามาตรการในการป้องกันให้ดีที่สุด"
วันเดียวกัน (7 เม.ย.) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ พร้อมด้วย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงความคืบหน้ากรณีแฮกเกอร์ 9near โดยนายชัยวุฒิ ยืนยันว่า รัฐบาลมีมาตรการป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลอยู่แล้ว แต่ต้องยอมรับว่ายังคงมีช่องโหว่ และว่า ขณะนี้รู้ตัวผู้กระทำความผิดแล้ว อยู่ระหว่างนำตัวมาสอบสวน เบื้องต้นยังไม่มีความชัดเจนว่า ข้อมูลหลุดมาจากหน่วยงานใด ต้องนำตัวผู้ก่อเหตุมาสอบปากคำเสียก่อน และตรวจสอบจากอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อเหตุ ว่ามีการนำข้อมูลไปใช้ในรูปแบบใด และหลุดมาจากหน่วยงานใด ขณะนี้ยังไม่มีประชาชนเข้ามาแจ้งความใดๆ
ทั้งนี้ นายชัยวุฒิ ได้ขอโทษพี่น้องประชาชนที่ไม่สามารถดึงข้อมูลที่หลุดออกไปแล้วกลับมาได้ พร้อมฝากเตือนประชาชนให้เฝ้าระวังกรณีมีเบอร์แปลกโทรเข้ามาหา ขออย่าหลงเชื่อ และเตือนผู้ที่นำข้อมูลของบุคคลอื่นไปใช้ ก็ถือว่ามีความผิดเช่นเดียวกัน
ด้าน พล.ต.ท.วรวัฒน์ กล่าวว่า ทางกระทรวงดิจิทัลฯ ส่งเรื่องมาตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา ทาง บช.สอท. ก็เริ่มดําเนินสืบสวนตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา จนทราบตัวผู้กระทําผิด และทราบว่าเป็นทหารยศ จ่าสิบโท ซึ่งหน่วยงานหรือต้นสังกัดของทหารนายนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับด้านสื่อเทคโนโลยีแต่อย่างใด เบื้องต้นได้ออกหมายจับแล้ว 1 คน เมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา ในข้อหาเปิดเผยข้อมูลอันเป็นเท็จ เข้าสู่ระบบความพิวเตอร์ ในลักษณะทําให้ประชาชนตื่นตระหนก"
ส่วนแรงจูงใจเชื่อว่า เป็นเรื่องของบุคคลที่ต้องการแสดงอะไรบางอย่าง เพราะที่ผ่านมามีทั้งข่มขู่ และให้เวลา ซึ่งมีเจตนาเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตอนนี้ยังไม่สามารถควบคุมตัวได้ แต่มีการทำหนังสือไปยังหน่วยงานต้นสังกัดว่า ยังรับราชการอยู่หรือไม่ หากรับราชการอยู่ ก็ขอให้ส่งตัวให้ทางตํารวจ เพื่อสอบสวนตามกฎหมายต่อไป มั่นใจว่าเป็นผู้ต้องหาตัวจริงแน่นอน ซึ่งกระบวนการสอบสวนจะขยายผลต่อ และจะสามารถบ่งชี้ได้ว่าเขาต้องการอะไร
ส่วนข่าวที่ว่าเจอตัวภรรยาแล้วนั้น พล.ต.ท.วรวัฒน์ ยืนยันว่า ยังไม่เจอตัว ขณะนี้ทั้งตัวผู้ต้องหาและภรรยาอยู่ระหว่างหลบหนี และขอยืนยันว่า หากคนร้ายยังอยู่ในประเทศไทย จะสามารถจับกุมตัวได้อย่างแน่นอน
3. ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด "สุชาติ" อดีตประธานบอร์ด อคส.กับพวกทุจริตจัดซื้อถุงมือยางแสนล้าน เอาผิดทั้งอาญา-วินัยร้ายแรง!
เมื่อวันที่ 5 เม.ย. นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แถลงว่า ป ป.ช.ได้มีมติชี้มูลความผิดนายสุชาติ เตชจักรเสมา อดีตประธานกรรมการองค์การคลังสินค้า (อคส.) กับพวก ทุจริตจัดซื้อถุงมือยาง 500 ล้านกล่อง ระหว่าง อคส. กับบริษัท การ์เดี้ยนโกลฟส์ จำกัด มูลค่า 112,500 ล้านบาท
นายนิวัติไชย กล่าวว่า จากการไต่สวนพบว่า ผู้ถูกกล่าวหาร่วมกันแบ่งหน้าที่ในการกระทำผิด โดยผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ อคส. นำโดยนายสุชาติ อดีตประธาน อคส. และ พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาภิวัฒน์ ที่ทำหน้าที่รักษาการผู้อำนวยการ อคส. ขณะนั้น ได้ร่วมกับกลุ่มเอกชนแอบอ้างว่า มีผู้แทนบริษัทที่ตั้งอยู่ประเทศสหรัฐอเมริกา จะขอซื้อถุงมือยางจาก อคส.ในราคาสูง โดยที่ยังไม่มีการวางหลักเกณฑ์ในการจัดหาและจำหน่ายสินค้า จากนั้น อคส.ได้เร่งรีบเสนอโครงการจัดซื้อถุงมือยาง โดยที่ยังไม่มีแผนดำเนินการจัดซื้อและไม่เผยแพร่ในเว็บไซต์ของ อคส. ไม่มีราคาอ้างอิง อ้างว่า มีลูกค้ารองรับซื้อต่อล่วงหน้าแล้ว
จากนั้น อคส.ได้ทำสัญญาว่าจ้างบริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด ผลิตถุงมือยาง โดยไม่ต้องแข่งขันเสนอราคากับรายอื่น มีการถอนเงินของ อคส.ที่ฝากไว้กับสถาบันการเงินไปจ่ายล่วงหน้าให้บริษัทดังกล่าว 2,000 ล้านบาท โดยไม่มีอำนาจ ประกอบกับสัญญาที่ใช้ลงนามกับบริษัทฯ ก็ไม่ใช่สัญญาที่เคยใช้อยู่ในหน่วยงานรัฐ และไม่ส่งร่างสัญญาให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจสอบร่างสัญญา
นายนิวัติไชย กล่าวต่อว่า การกระทำดังกล่าว ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ อคส.อย่างร้ายแรง เพราะจนถึงขณะนี้ บริษัท การ์เดียนโกลฟส์ ก็ยังไม่ส่งมอบถุงมือยางให้ อคส.ตามสัญญา ป.ป.ช.จึงชี้มูลความผิดทางอาญาแก่นายสุชาติในข้อหาความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.การเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ พ.ศ.2542 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561
และแจ้งข้อหา พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ และเจ้าหน้าที่อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องข้อหาความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.การเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ พ.ศ.2542 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 และมีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรง รวมถึงบริษัทเอกชนและกรรมการบริษัท แจ้งข้อหาความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.การเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ พ.ศ.2542
โดย ป.ป.ช.จะยื่นเรื่องต่ออัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการเอาผิดต่อไป โดยขอให้อัยการสูงสุดร้องต่อศาลให้ริบทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิดให้ตกเป็นของแผ่นดิน ได้แก่ 1.เงินฝากของบริษัท การ์เดียนโกลฟส์ 315,946,014 บาท พร้อมดอกเบี้ย 2.เงินของบริษัทที่วางต่อสำนักงานวางทรัพย์ จ.นครปฐม จำนวน 14,697,500บาท 3.ที่ดินของบริษัท ที่ อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี จำนวน 33ไร่ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง 4.เงิน 200 ล้านบาท ที่บริษัทฯ นำไปวางเป็นหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญากับ อคส. 5.เงิน 20 ล้านบาทที่บริษัทจ่ายให้บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่ง ป.ป.ช.มีคำสั่งอายัดไว้ นอกจากนี้จะส่งข้อมูลให้ ปปง.พิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
ส่วนกรณีพบบริษัทอื่นมีที่ตั้งเดียวกับบริษัท การ์เดียนโกลฟส์ จำกัด จะมีการเข้าไปตรวจสอบเส้นทางการเงินหรือไม่ นายนิวัติไชย กล่าวว่า ส่วนใหญ่เรื่องของการติดตามเงินเป็นหน้าที่ของ ป.ป.ง. ปกติเมื่อ ป.ป.ช.ชี้มูล ทาง ป.ป.ง.ก็จะเอาข้อมูลไปดำเนินการยึดทรัพย์ แต่ในกรณีทุจริตถุงมือยาง ป.ป.ช.ก็มีการดำเนินการเอง โดยได้มีการฟรีซทรัพย์เอาไว้มูลค่าประมาณ 500 กว่าล้าน จากจำนวนราว 2,000 ล้าน
แต่ตอนนี้ทราบมาว่า มีการโอนเงินไปให้บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่เรามีการฟรีซทรัพย์สินเอาไว้ เราทราบชื่อ แต่ในชั้นนี้ขอไม่เอ่ยถึง เนื่องจากบริษัทนี้อยู่ระหว่างการติดตามว่า มีส่วนร่วมรับรู้ในการกระทำผิดหรือไม่ หรือถูกใช้เป็นทางผ่านฟอกเงินเท่านั้น ซึ่งถ้าเป็นเรื่องของการฟอกเงิน ก็จะเป็นหน้าที่ของ ป.ป.ง.จะเข้าไปดำเนินการต่อไป
4. ปปป. รวบหัวหน้าฝ่ายฯ เขตราชเทวี เรียกสินบนเจ้าของอสังหาฯ แลกไม่ต้องจ่ายภาษี พบเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 100 ล้าน เหยื่อกว่า 100 ราย!
เมื่อวันที่ 4 เม.ย. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. ได้นำทีมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แถลงผลจับกุมนายประมวล แสงแก้วศรี อายุ 57 ปี หัวหน้าฝ่ายรายได้ สำนักงานเขตราชเทวี ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์โดยมิชอบเพื่อกระทําการมิชอบด้วยหน้าที่, เป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หลังนำกำลังจับกุมตัวได้บริเวณลานจอดรถ โรงแรมแห่งหนึ่งในพื้นที่ แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กทม.
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า สืบเนื่องจากนายประมวล ผู้ต้องหา ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตราชเทวี แต่กลับใช้อํานาจในตําแหน่งหน้าที่เรียกรับเงินจากผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเริ่มจากการแจ้งเตือนไปยังบริษัทฯ ของผู้เสียหายรายหนึ่ง ให้เข้ามาชำระภาษีโรงเรือนและที่ดิน ประมาณ 40 กว่าล้านบาท แต่หากยอมจ่ายเงินให้ตนเองจํานวน 3 ล้านบาท ทางบริษัทฯ ไม่ต้องชําระเงินภาษีจํานวน 40 ล้านบาท
ก่อนที่ต่อมา จะมีการเพิ่มจำนวนเงินค่าดำเนินการเป็น 3.5 ล้านบาท อ้างว่าต้องเอาไปแบ่งกรรมการคนอื่นอีกหลายท่าน จนมีการต่อรองราคาลดลงเหลือ 3.2 ล้านบาท ซึ่งผู้เสียหายมองว่า พฤติกรรมเช่นนี้ถือเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม และตัวของผู้เสียหายเองก็พร้อมที่จะจ่ายภาษีถูกต้องตามกฎหมาย จึงตัดสินใจนำเรื่องเข้าร้องขอให้มีการตรวจสอบ
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า หลังทราบเรื่องจึงจัดกำลังลงพื้นที่สืบหาเบาะแส จนเชื่อว่า น่าจะมีพฤติกรรมดังกล่าวจริง จึงวางแผนให้ผู้เสียหายนำเงินไปส่งมอบให้กับนายประมวล ตามที่เรียกร้อง โดยนัดหมายกันที่โรงแรมแห่งหนึ่งในพื้นที่พญาไท กระทั่งเมื่อถึงเวลานัดหมาย พบนายประมวลขับรถยนต์ของสำนักงานเขต เดินทางมายังที่ดังกล่าวเพื่อรับส่งมอบเงิน เมื่อเห็นว่ามีการเรียกรับเงินจริง เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเข้าทำการจับกุมพร้อมเงินของกลางดังกล่าว
จากการสอบสวน นายประมวลให้การปฏิเสธ อ้างว่า ไม่ทราบว่าสิ่งของที่อยู่ในซองเอกสารที่ผู้เสียหายนำมาส่งมอบให้นั้นเป็นเงินสด คิดว่าเป็นเพียงซองเอกสารเท่านั้น ด้านเจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อ จึงนำตัวส่ง พงส.กก.1 บก.ปปป. แจ้งข้อกล่าวหา ก่อนเร่งสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อนําส่งสํานวนให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาตามกฎหมายต่อไป
วันต่อมา (5 เม.ย.) พ.ต.อ.ธนวัฒน์ หิ้นยกฮิ่น ผกก.1 บก.ปปป. ได้นำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 87/86 ซ.6 หมู่บ้านภัสสร ต.บางรักใหญ่ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นบ้านพักส่วนตัวของนายประมวล เพื่อค้นหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม
จากการตรวจค้น พบบ้านหลังดังกล่าวมีลักษณะเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น มีรถยนต์ยี่ห้อ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ สีขาว และรถยนต์ Lexus สีขาว จอดอยู่ภายในโรงรถของตัวบ้าน ซึ่งจากการตรวจค้นภายในบ้าน พบพระเครื่องและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทำความผิดในการทุจริตจำนวนมาก นอกจากนี้จากการตรวจค้นภายในรถ Toyota Fortuner สีขาว ยังพบว่า มีการซุกซ่อนเงินสดจำนวน 6.9 ล้านบาท อยู่ภายในรถ จึงตรวจยึดไว้ตรวจสอบ
ล่าสุด (7 เม.ย.) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. เผยความคืบหน้าคดีดังกล่าวอีกครั้งว่า จากการตรวจค้น เจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดเอกสารหลักฐานต่างๆ ได้เป็นจำนวนมาก มีผู้ประกอบการที่ตกเป็นเหยื่อกว่า 100 ราย หลังจากนี้อาจจะมีการเชิญผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมาสอบปากคำในฐานะพยาน ปัจจุบันสอบไปแล้ว 4-5 ปาก
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีเข้าตรวจค้นห้องพักหญิงสาวคนสนิทของนายประมวล เบื้องต้นพบข้อมูลการเงินผ่านเข้าบัญชีกว่า 5 ล้านบาท ซึ่งเป็นช่วงระหว่างที่นายประมวลยังปฏิบัติหน้าที่อยู่สำนักงานเขตพญาไท และราชเทวี ซึ่งเมื่อพิจารณาจากแผนประทุษกรรมของนายประมวล จะพบว่า เมื่อได้เงินมา จะไม่ยอมนำมาเก็บไว้ใกล้ตัว จะผ่องถ่ายไปที่บุคคลใกล้ชิดแทน รวมถึงนำไปลงทุนเช่าพระเครื่อง หรือแปลงเป็นทรัพย์สินอื่นๆ ซึ่งจะต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่า เป็นการฟอกเงินหรือไม่ และเมื่อพิจารณาเอกสารหลักฐานต่างๆที่ ตรวจยึดมาได้ ยังพบว่า มีเจ้าหน้าที่รายอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องกว่า 10 รายชื่อ ซึ่งจะต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการร่วมกระทำผิดด้วยหรือไม่
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เผยด้วยว่า จากการตรวจค้น เจ้าหน้าที่ยังพบพยานหลักฐานสำคัญอีกอย่างหนึ่ง เป็นสมุดบันทึก หรือไดอารี่ ที่นายประมวลเขียนบันทึกเรื่องราวต่างๆไว้ ไม่ว่าจะเป็นเงินที่ได้มา ถูกโอนไปให้กับใครบ้าง รวมไปถึงบันทึกโน้ตขั้นตอนการสอนให้ลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชา นำไปใช้ในการเรียกเงินจากผู้ประกอบการ ซึ่งจากข้อมูลหลักฐานที่มีอยู่เชื่อว่า ก่อเหตุในลักษณะเดียวกันมาแล้วหลายเคส จึงจำเป็นต้องตรวจสอบให้ครบทุกมิติ และเชื่อว่าไม่ได้ทำเพียงคนเดียวอย่างแน่นอน จากพยานหลักฐานที่มีอยู่เชื่อว่า เพียงพอที่จะเรียกกลุ่มคนที่ต้องสงสัยว่าร่วมกระทำผิดเหล่านี้มาแจ้งข้อกล่าวหา แต่ขอเวลาตรวจสอบให้แน่ชัดเสียก่อน เพื่อความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย แต่ยืนยันว่า หากพยานหลักฐานเชื่อมโยงถึงใคร จะไม่มีละเว้น
“ส่วนเรื่องการตรวจสอบทรัพย์สินต่างๆ และเงินหมุนเวียนในบัญชี จากการตรวจสอบ พบว่า รวมๆ แล้วมีประมาณ 100 กว่าล้านบาท อยากฝากไปถึงผู้ประกอบการต่างๆ ที่ตกเป็นเหยื่อ ขอให้มาให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ มาเข้าให้ข้อมูล ไม่ต้องเกรงกลัวอิทธิพลใดๆ เพื่อที่ปัญหาการทุจริตเหล่านี้จะได้ลดน้อยลงไป”
5. "อัจฉริยะ" แจ้งจับ "เอกรักษ์" รองเลขาฯ ปปง. พร้อมลูกชาย ลักรถอดีต ผกก.โจ้ไปขาย 13 คัน ด้านเจ้าตัวปฏิเสธ อ้างถูกขอให้ช่วยขายเพื่อนำเงินไปใช้ในคดี!
เมื่อวันที่ 5 เม.ย. นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้รับมอบอำนาจจาก พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผกก.โจ้ อดีตผู้กำกับ สภ.เมืองนครสวรรค์ เดินทางเข้าพบ ร.ต.อ.หญิง สไบนาง ศิริมนตรี รอง สว.สอบสวน กก.1 บก.ป. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รอง เลขาธิการ ปปง. ร.ต.ท.ภาณุรุจ ลิ้มสังกาศ หรือเบิร์ด ลูกชาย พล.ต.ต.เอกรักษ์ และผู้ร่วมขบวนการปลอมเอกสารลักรถยนต์ของอดีต ผกก.โจ้ ในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ในเคหะสถาน, ร่วมกันรับของโจร, ร่วมกันปลอมเอกสารราชการ และใช้เอกสารราชการปลอม
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า เนื่องจากเมื่อปี 2564 หลัง ผกก.โจ้ ถูกส่งตัวเข้าเรือนจำแล้ว พล.ต.ต.เอกรักษ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 รับผิดชอบดูแลคดีนี้ ได้บอกว่า จะจัดการทุกอย่าง รวมถึงหาทนายความให้ แต่ต่อมา พล.ต.ต.เอกรักษ์ กับลูกชาย กลับร่วมกันปลอมเอกสารเพื่อลักรถที่เก็บไว้ที่จังหวัดนครสวรรค์ 2 คัน และที่บ้านที่รามอินทราอีก 11 คัน รวมมูลค่ากว่า 25 บ้านบาท และเป็นป้ายทะเบียนราคาแพง ไปขายต่อ เพราะเห็นว่า อดีต ผกก.โจ้ โดนตัดสินอัตราโทษสูง ไม่น่าจะได้ออกมาจากเรือนจำแล้ว
นายอัจฉริยะ อธิบายที่ไปที่มาของเรื่องนี้ว่า เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2564 ผกก.โจ้ ได้มอบอำนาจให้ น.ส.จูน น้องสาว เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ มีอำนาจทำสัญญาซื้อขายรถยนต์ และรับเงินค่าซื้อขายรถยนต์แทน โดยมีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เซ็นรับรองเอกสาร
ต่อมา ทนายณัฐ ทนายความของ ผกก.โจ้ ได้แชทมาหาน้องสาวของ ผกก.โจ้ ซึ่งตอนนั้นไม่ได้ติดต่อกับพี่ชาย เพราะเป็นช่วงโควิด โดยทนายณัฐมาหลอกน้องสาวว่า ให้ถ่ายเอกสารสำเนาบัตรประชาชน ระบุว่าใช้ซื้อขายโอนรถยนต์ของ ผกก.โจ้ พร้อมให้เซ็นใบซื้อขายรถยนต์ ที่เป็นเอกสารเปล่า ยังไม่ได้กรอกรายละเอียด จำนวน 10 ชุด ก่อนที่ภายหลัง เมื่อน้องสาวสามารถติดต่อกับ ผกก.โจ้ ได้ จึงรู้ว่าถูกหลอกให้เซ็น เพราะ ผกก.โจ้ บอกว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะขายรถยนต์ น้องสาวจึงทวงถามไปยังทนายณัฐ ขอเอกสารที่เซ็นไปบอกว่าให้ส่งคืน พร้อมกับไปลงบันทึกประจำวันเอาไว้
ซึ่งทนายณัฐได้แชทตอบน้องสาว ผกก.โจ้ว่า เอกสารทั้งหมด ได้ส่งให้ ร.ต.ท.ภาณุรุจ ลูกชายของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ และมีแชทที่ลูกชาย พล.ต.ต.เอกรักษ์ ตอบว่า รับทราบแล้วว่าน้องสาว ผกก.โจ้ มาขอเอกสารคืน พร้อมพิมพ์บอกรายละเอียดว่า มีรถอะไรบ้างที่เอาไปโอนขายแล้ว
นายอัจฉริยะ ยังได้เปิดเผยเอกสารเกี่ยวกับการเซ็นโอนขายรถยนต์ และเอกสารเกี่ยวกับการจดทะเบียนชื่อผู้ครอบครองรถของ ผกก.โจ้ ซึ่งเป็นชื่อของลูกชาย พล.ต.ต.เอกรักษ์ โดยนายอัจฉริยะ ระบุว่า ทั้งหมดเป็นเอกสารที่มีการปลอมแปลงขึ้นมา และมีการปลอมลายมือชื่อของ ผกก.โจ้ ซึ่งจะสังเกตเห็นว่า ลักษณะการเซ็นไม่เหมือนกัน และการที่ ผกก.โจ้ อยู่ในเรือนจำ ก็ต้องมีลายเซ็นของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์รับรองด้วยแต่ไม่มี ซึ่งเชื่อได้ว่า ขบวนการนี้มีบริษัทสินเชื่อรถยนต์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ขนส่งร่วมมือด้วยในการปลอมแปลงเอกสาร
นายอัจฉริยะ กล่าวด้วยว่า ตนมีหลักฐานจำนวนมาก ทั้งไฟล์วิดีโอ ไฟล์เสียง และแชทไลน์ ที่ยืนยันว่า ลูกชายของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ นำรถของ ผกก.โจ้ ไปขายจริง ซึ่งก่อนหน้านี้ น้องสาวของ ผกก.โจ้ได้พยายามทวงถามลูกชาย พล.ต.ต.เอกรักษ์ ก็บอกว่า จะเอาเงินมาคืนให้ แต่สุดท้ายก็เงียบหายไป
นายอัจฉริยะ กล่าวอีกว่า "เอก ปปง.ควรจะลาออกได้แล้ว เพราะมีเรื่องที่กระทำไม่เหมาะสมอีกมาก ผกก.โจ้ ได้เล่าให้ผมฟังในเรือนจำว่า ได้ทำอะไรไว้บ้าง ซึ่งจะเก็บข้อมูลไว้เปิดเผยต่อไปหลังจากนี้ รวมถึงเรื่องที่ภรรยาของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ไปเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ด้วย ซึ่งมั่นใจว่า พล.ต.ต.เอกรักษ์ ไม่มีทางรอด ผมจะไปร้องที่ ป.ป.ช. พร้อมฝากบอกว่า ที่ไปแจ้งความผมที่ สน.พหลโยธิน เป็นแค่เรื่องเด็กๆ แต่ที่ผมมาแจ้งนี้เป็นของแท้"
ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนได้รับเรื่องพร้อมสอบปากคำนายอัจฉริยะไว้ ก่อนเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป
วันต่อมา (6 เม.ย.) พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการ ปปง. ได้ออกมาชี้แจงว่า หลังจาก ผกก.โจ้ ถูกนำตัวเข้าเรือนจำฯ ทางทนายความและแฟนสาวของผู้กำกับโจ้ ได้มาขอให้ตนช่วยนำรถที่มีอยู่ไปขายเพื่อนำเงินไปใช้จ่ายทางคดี ทนายจึงได้นำรถ กุญแจและเอกสารมาให้ตน พร้อมยืนยันว่า ผกก.โจ้ให้แฟนสาวเป็นคนตัดสินใจ ตนจึงช่วยเหลือโดยให้ ร.ต.อ.ภานุรุจ ลิ้มสังกาศ บุตรชาย นำรถไปขายให้ จากนั้น เมื่อขายรถได้ ก็นำเงินให้แฟนสาว ผกก.โจ้ไป
พล.ต.ต.เอกรักษ์ เผยว่า ต่อมา สำนักงาน ป.ป.ช. มีคำสั่งยึดอายัดทรัพย์สิน (รถยนต์หรูกว่า 13 คันตามบัญชีฟ้อง) เป็นเหตุให้รถที่ขายไปแล้วนั้น ตนต้องควักเงินส่วนตัวไปคืนคนที่ซื้อรถไป จากนั้น ก็นำรถมาเก็บไว้ระหว่างรอคำสั่งศาล ซึ่งปัจจุบันรถทั้งหมดก็ยังอยู่ระหว่างการถูกอายัด ยังอยู่ในประเทศไทย เพื่อรอคำสั่งศาลเด็ดขาด หากศาลมีคำสั่งยึด ก็ต้องนำรถไปส่งให้กับศาล ดังนั้นเมื่อ ป.ป.ช. อายัดทั้งหมด ตนจะไปขโมยรถของ ผกก.โจ้ทำไม
พล.ต.ต.เอกรักษ์ เผยอีกว่า หากทางตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ออกหมายเรียกตนไปสอบถามในเรื่องดังกล่าว ก็ยินดีไปให้การชี้แจงทุกประเด็น ขอยืนยันว่า ไม่ได้ขโมยรถของอดีต ผกก.โจ้ตามที่ถูกพาดพิง "จากเรื่องราวที่เกิดขึ้นส่งผลต่อชื่อเสียงและครอบครัวได้รับผลกระทบ ผมจึงอยู่ระหว่างติดต่อทนายความให้ดำเนินการฟ้องนายอัจฉริยะ คงต้องคุยรายละเอียดกับทนายอีกทีหนึ่งว่าจะฟ้องอะไรบ้าง และถ้านายอัจฉริยะจะฟ้อง ผมก็พร้อมฟ้องกลับ ส่วนกรณีที่เลขาธิการ ปปง. ต้องการให้ชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับประเด็นข้อครหาดังกล่าว ก็พร้อมทำหนังสือชี้แจงหากมีคำสั่ง ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังปฏิบัติหน้าที่ในฐานะรองเลขาธิการปกติ"