ปลัด กทม.แจงเรียกสำนักโยธา-กองรายได้-สำนักกฎหมาย ถกปมสวนชูวิทย์ ก่อนคัดคำพิพากษา ชงสำนักโยธาตั้งเรื่องใหม่ ก่อนเสนอสำนักกฎหมายตั้งกรรมการตรวจสอบ ย้ำศึกษาให้ละเอียดเพื่อความยุติธรรมของทุกฝ่าย
วันนี้ (30 มี.ค.) นายขจิต ชัยวานิชย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยถึงการตรวจสอบสวนชูวิทย์ บนพื้นที่ 6 ไร่ บริเวณถนนสุขุมวิท ซอย 10 เขตคลองเตย กรุงเทพฯ ของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองและนักธุรกิจอาบอบนวด ที่เคยให้เงื่อนไขต่อศาลว่าจะยกที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นสวนสาธารณะ แต่ กทม.ออกใบอนุญาตให้ก่อสร้างอาคาร ซึ่งขัดต่อกฎหมาย ว่า เมื่อเช้าวันที่ 24 มี.ค. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ได้มอบหมายให้ตนช่วยตรวจสอบให้ละเอียดว่าเป็นมาอย่างไร จึงได้เชิญผู้แทนสำนักการโยธา กองรายได้ สำนักการคลัง และสำนักกฎหมาย กทม. มาหารือ ได้ข้อสรุปว่าได้แบ่งการทำงานเป็น 3 ด้าน ได้แก่ ให้สำนักการโยธาไปตรวจสอบเรื่องแบบก่อสร้าง การอนุญาตก่อสร้างให้ละเอียด และให้ทำหนังสือไปยังบริษัทเจ้าของโครงการว่ามีการร้องเรียน ให้พิจารณาว่าจะชะลอการก่อสร้างหรือไม่ เพื่อรอให้เรื่องร้องเรียนยุติก่อน
เรื่องที่สอง ให้กองรายได้ไปตรวจสอบการเสียภาษีว่าเป็นอย่างไร เรื่องสุดท้ายให้ไปตรวจสอบเรื่องข้อกฎหมายว่าศาลมีคำสั่งอย่างไร โดยให้สำนักกฎหมายไปคัดคำพิพากษา สุดท้ายเมื่อวันที่ 27 มี.ค. ได้ไปยื่นขอคัดคำพิพากษาช่วงเย็น ก็ได้รับคำพิพากษามา กระทั่งได้ประชุมอีกรอบ มีความเห็นว่า ที่ดินแปลงนี้เสียภาษีถูกต้องตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ส่วนใบอนุญาตก่อสร้างตั้งแต่ต้น เนื่องจากไม่มีคำพิพากษาจึงได้อนุญาตก่อสร้างไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนจะแล้วเสร็จเมื่อใดนั้นคนไม่ทราบ
ส่วนเนื้อหาคำพิพากษา มีส่วนหนึ่งเขียนว่า “นำที่ดินพิพาทมาก่อสร้างเป็นสวนสาธารณะ เพื่อให้ประชาชนใช้พักผ่อน” แต่ไม่ทราบว่าคำแถลงของผู้แถลงเป็นอย่างไร เพราะไม่ทราบรายละเอียดแต่ต้น ในความเห็นของตนจึงเสนอให้สำนักการโยธาตั้งเรื่องมาใหม่ และตนจะได้มอบหมายให้สำนักกฎหมายตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่ง ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการสอบสวนเกี่ยวกับการสร้างสาธารณประโยชน์ พ.ศ. 2539 ซึ่งจะศึกษาให้ละเอียดเพื่อความยุติธรรมของทุกคน โดยเฉพาะผู้ถูกร้องเป็นสำคัญ เพราะเป็นผู้เสียประโยชน์ ตอนนี้ไม่กระจ่างชัด ซึ่งจะมอบให้สำนักงานเขต ผู้อำนวยการเขต สำนักการโยธา และสำนักกฎหมายทำการสอบสวนให้เกิดความกระจ่างแก่ประชาชนทุกคน ซึ่งเมื่อหนังสือจากสำนักการโยธามาถึงตนแล้ว ก็จะมอบหมายให้สำนักกฎหมายตั้งคณะกรรมการขึ้นมาต่อไป