รายงานพิเศษ
“ถ้าพรรคการเมืองอยากจะเสนอนโยบายแก้ปัญหาความยากจน ผมอยากให้มองด้วยว่า ภัยพิบัติ เป็นหนึ่งในวัฏจักรของความจนที่มีผลกับคนทั้งประเทศ เพราะภัยธรรมชาติต่างๆ ทั้งน้ำท่วม ภัยแล้ง ฝุ่นละอองขนาดเล็ก มีแนวโน้มจะเกิดถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ยังไม่รวมถึงภัยที่มาจากฝีมือมนุษย์ด้วย ถ้าพรรคการเมืองมองไม่เห็นความเชื่อมโยงระหว่างภัยพิบัติกับความยากจน ก็จะทำได้เพียงรอให้เกิดภัยแล้วมาใช้งบประมาณไปกับการช่วยเหลือเยียวยา ซึ่งไม่ได้ไปช่วยลดผลกระทบเลย”
ไมตรี จงไกรจักร์ สูญเสียญาติพี่น้องของเขาไปพร้อมกันในวันเดียวถึง 46 คน จากเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ พัดเข้าถล่มที่บ้านน้ำเค็ม อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา เมื่อ 26 ธันวาคม 2547 จึงผันตัวเองมาศึกษาอย่างจริงจังเรื่องการจัดการภัยพิบัติในฐานะประธานเครือข่ายผู้ประสบภัยสึนามิ และปัจจุบันรับบทบาทผู้จัดการมูลนิธิชุมชนไท ซึ่งทำงานขับเคลื่อนผลักดันให้ “ชุมชนในพื้นที่เสี่ยงภัยทั่วประเทศ มีศักยภาพในการจัดการภัยพิบัติด้วยชุมชนเอง”
แม้ความพยายามตลอดหลายปีที่ผ่านมาของไมตรีและมูลนิธิชุมชนไท จะพอทำให้เกิดพื้นที่ชุมชนต้นแบบจัดการภัยพิบัติด้วยตัวเองขึ้นมาได้บ้าง เช่นที่ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี หรือ อ.สทิงพระ จ.สงขลา แต่ก็ยังไม่สามารถผลักดันให้สมบูรณ์แบบอย่างที่ตั้งเป้าไว้ได้ เพราะยังติดปัญหาที่ระบบราชการไม่ยอมปล่อยอำนาจจัดการภัยพิบัติออกจากมือของราชการ เขาจึงมีข้อเสนอเชิงนโยบายต่อพรรคการเมืองที่จะลงเลือกตั้งครั้งนี้
“ตลอด 18 ปี หลังเกิดสึนามิ ที่ผมพยายามผลักดันให้รัฐกระจายอำนาจการจัดการภัยพิบัติมาให้ชุมชนเสี่ยงภัยจัดการตัวเอง จะพบว่าปัญหามันไปติดอยู่ที่การใช้จ่ายงบประมาณ ซึ่งเกิดจากทั้งระเบียบปฏิบัติของราชการและกฎหมาย ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถใช้งบประมาณสำหรับการป้องกันภัยพิบัติได้ หน่วยงานรัฐก็ไม่กล้าที่จะเอาเงินงบประมาณมาให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้ เพื่อออกแบบการจัดการภัยพิบัตินพื้นที่ของตัวเอง ทั้งที่คนในชุมชนเป็นคนที่รู้ดีที่สุดว่าต้องทำอย่างไร
จริงๆ แล้วผู้ว่าฯ แต่ละจังหวัด จะมีงบประมาณ 20 ล้านบาท ให้ใช้สำหรับการป้องกันภัยพิบัติ และมีอีก 50 ล้านบาท สำหรับใช้ในช่วงเผชิญเหตุและชดเชยเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ แต่งบ 20 ล้านบาทแรกแทบไม่เคยได้ใช้เลย เพราะก่อนหน้านี้เคยมีบางจังหวัดที่ผู้ว่าฯ อนุมัติงบประมาณมาใช้เพื่อป้องกันน้ำท่วม เนื่องจากมีข้อมูลพยากรณ์อากาศเตือนว่าจะมีพายุเข้ารุนแรง ประชาชนจะได้รับผลกระทบ แต่สถานการณ์กลับเปลี่ยนไป ทำให้จังหวัดนั้นไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ทำให้ผู้ว่าฯ ถูกตรวจสอบจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ด้วยข้อกล่าวหาใช้งบประมาณไม่มีประสิทธิภาพ จากนั้นมาก็ไม่มีจังหวัดไหนกล้าใช้งบประมาณในด้านการป้องกันก่อนเกิดเหตุอีกเลย”
จากการสำรวจของมูลนิธิชุมชนไท พบข้อมูลว่า ประเทศไทยมีชุมชนเสี่ยงภันยพิบัติทั่วประเทศถึง 3 หมื่นชุมชน และหน่วยงานของรัฐอย่างกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) พยายามจะใช้งบประมาณในการส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปอบรมการจัดการภัยพิบัติให้ชุมชนเหล่านี้ ไมตรี ให้ข้อมูลว่า มีบางปีที่ ปภ. เข้าไปอบรมได้มากที่สุดคือประมาณ 100 ชุมชน ซึ่งหากทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะต้องใช้เวลา 300 ปี จึงจะอบรมได้ครบทุกชุมชน ซึ่งนั่นเป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า การรวบอำนาจจัดการภัยพิบัติไว้ที่รัฐส่วนกลาง ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง และตลอด 18 ปีที่ผ่านมา ความพยายามของรัฐในการจัดการภัยพิบัติก็ใช้วิธีรวมศูนย์เช่นนี้มาโดยตลอด ส่วนพรรคการเมืองต่างๆ ก็ยังไม่เคยเข้ามาแตะปัญหานี้อย่างจริงจัง
“ที่เราทำกันมาตลอด คือ รอให้เกิดภัย แล้วก็มาชดเชย เยียวยา ซึ่งความเสียหายมันเกิดไปแล้ว ทรัพย์สินสูญเสียไปแล้ว เงินเยียวยาที่ได้มาก็ล่าช้าและมีมูลต่าน้อยกว่าทรัพย์สินหรือพืชผลที่เสียหายไปมาก ถ้าเรายังทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ คนในพื้นที่เสี่ยงภัย ก็ไม่มีทางหลุดพ้นจากความยากจน”
ข้อเสนอ แก้ปัญหาความยากจนด้วยการโอนอำนาจจัดการภัยพิบัติให้ชุมชน โดย ไมตรี จงไกรจักร์ สถานะ อดีตประชาชนผู้ประสบภัย
1. ออกประกาศกระทรวงมหาดไทย ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่ในการเตรียมการป้องกันภัยพิบัติและมีหน้าที่ส่งเสริมให้ชุมชนเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ – เพื่อให้สามารถโอนงบประมาณด้านการ “ป้องกันภัย” จากส่วนกลางหรือจากผู้ว่าราชการจังหวัดมาให้ท้องถิ่นได้
2. ออกประกาศของคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ท้องถิ่น มีอำนาจในการใช้งบประมาณเพื่อเตรียมการป้องกันภัยพิบัติ
3. ทบทวน แก้ไข ปรับปรุง พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ปี 2550 ซึ่งใช้งานมา 15 ปีแล้ว แต่ไม่เคยถูกนำมาทบทวนเลย ทั้งที่เป็นกฎหมายที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อรับมือกับภัยขนาดใหญ่อย่างสึนามิเท่านั้น แต่ในสภาวะปัจจุบัน ภัยพิบัติเปลี่ยนรูปแบบไปจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ กฎหมายฉบับนี้จึงเป็นกฎหมายที่ล้าสมัย
“การจัดการภัยพิบัติของหน่วยราชการในประเทศไทย ยังตั้งอยู่บนพื้นฐานความเชื่อว่า ต้องจัดการในขณะที่เกิดภัยไปแล้วเท่านั้น ต้องให้ผู้ว่าฯประกาศเป็นเขตภัยพิบัติก่อนจึงจะเอางบประมาณมาใช้ได้ นั่ยทำให้เรามีงบป้องกันภัยแบบปลอมๆ ที่ผู้ว่าฯก็ไม่กล้าใช้ ส่วนท้องถิ่นที่รู้จักพื้นที่ของตัวเองดีก็ไม่มีโอกาสได้ใช้ จนกว่าความสูญเสียและความยากจนจะเกิดขึ้นไปแล้ว
หน่วยงานรัฐยังจัดการภัยพิบัติโดยมุ่งเน้นไปที่การแจกข้าวกล่อง แจกถุงยังชีพ ทำกันมายาวนานโดยไม่คิดจะหาวิธีการแก้ไข ทำกันจนกลายเป็นธรรมเนียมให้ประชาชนเข้าใจว่า เมื่อเป็นผู้ประสบภัยก็มีหน้าที่รอข้าวกล่อง รอถุงยังชีพมาแจกเท่านั้น แต่อำนาจในการจัดการภัยพิบัติถูกผูกขาดไว้ให้เป็นสิทธฺขาดของรัฐส่วนกลางและผู้ว่าราชการจังหวัด จนดูเหมือนกับว่า รัฐกำลังหวงแหนอำนาจในการใช้งบประมาณส่วนนี้ไว้ที่รัฐ ไม่ยอมปล่อยมือให้ท้องถิ่นหรือชุมชนเอาไปจัดการ เหมือนรัฐจะต้องสวมบทบาทเป็นผู้มีพระคุณตลอดไป โดยไม่สนใจว่าจริงๆแล้ว เราสามารถจัดการภัยพิบัติให้ดีกว่านี้ได้” ไมตรี กล่าวทิ้งท้าย
อ่านย้อนหลัง รายงานพิเศษ "ปัญหาประเทศไทยกับนโยบายที่หายไป"
- EP.1 “ลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม”
- EP.2 “วิถีที่ต่างออกไปจากส่วนกลางของกลุ่มชาติพันธุ์”