การเลือกกิน “ไขมันดี” หลีกเลี่ยง “ไขมันเลว” ไม่ใช่แค่เพื่อหลีกเลี่ยงการเพิ่มน้ำหนักหรือความอ้วนที่ตามมาเท่านั้น แต่เพราะไขมันเลวหรือไขมันทรานส์ที่มาจากเนื้อสัตว์ติดมัน ของทอด และขนม นอกจากจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและโรคอ้วนแล้ว ยังเสี่ยงมีบุตรยากอีกด้วย
ครูก้อย - นัชชา ลอยชูศักดิ์ ครูวิทยาศาสตร์ผู้ก่อตั้งเพจ https://www.facebook.com/BabyAndMom.co.th และโค้ชเตรียมตั้งครรภ์สำหรับผู้มีบุตรยาก ให้ข้อมูลว่า “ไขมันดี” หรือ HDL ย่อมาจาก High Density Lipoprotein เป็นกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว (Unsaturated Fat) มีประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นไขมันที่นำคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์จากหลอดเลือดแดง กับเนื้อเยื่อไปทำลายที่ตับ ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ลดการอักเสบ และการแข็งตัวของเลือด ช่วยให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ รวมถึงระบบสืบพันธุ์ได้ดี ช่วยรักษาความสมดุลของระดับฮอร์โมนในร่างกาย
ส่วน “ไขมันเลว” หรือ LDL ย่อมาจาก Low Density Lipoprotein เป็นกรดไขมันชนิดอิ่มตัว (Trans fat) เป็นไขมันที่นำคอเลสเตอรอลไปยังเนื้อเยื่อ และหลอดเลือดแดง ถ้ามีมากเกินไปจะส่งผลให้หลอดเลือดแดงตีบ หรือแข็ง ทำให้เป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจ หลอดเลือด ซึ่งพบใน เบคอน เนื้อสัตว์ติดมัน หมูสามชั้น อาหารทอด ขนมอบ ขนมกรุบกรอบ และอาหารที่มีกะทิเป็นส่วนผสมหลัก ซึ่งเป็นตัวทําลายสุขภาพเสี่ยงต่อโรคหัวใจและเบาหวาน และโรคอ้วน เนื่องจากความอ้วนมีส่วนทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนผิดปกติ โดยเฉพาะการอ้วนลงพุง เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนผลิตจากไขมัน เมื่อไขมันมากเกินไป การสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ควบคุมการตกไข่ในเพศหญิงอาจเกิดความผิดปกติ ส่งผลให้ไม่มีการตกไข่ ประจำเดือนมาน้อยแบบกะปริดกะปรอย ประจำเดือนขาดหายไป และยังเป็นสาเหตุที่นําไปสู่ภาวะผู้มีบุตรยาก
โดยมีรายงานวิจัยจาก American Journal of Clinical Nutrition ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลจากผู้หญิงแต่งงานแล้วที่มีสุขภาพดี และพยายามตั้งครรภ์ จำนวน 18,555 ราย ระหว่างปี 2534 ถึงปี 2542 จากการศึกษาพบว่าปริมาณแคลอรีที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 2 เปอร์เซ็นต์ที่ผู้หญิงได้รับจากไขมันทรานส์มีความเสี่ยงในการมีบุตรยากเพิ่มขึ้น 73 เปอร์เซ็นต์ และมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 79 เปอร์เซ็นต์สำหรับทุกๆ 2 เปอร์เซ็นต์ของพลังงานในไขมันทรานส์ที่ได้รับ และทุกๆ 2 เปอร์เซ็นต์ของแคลอรีที่ได้รับจากไขมันทรานส์ ความเสี่ยงของภาวะมีบุตรยากจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และยังศึกษาพบว่าไขมันทรานส์สามารถรบกวนการทำงานของตัวรับเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ การเผาผลาญกลูโคส และความไวของอินซูลินในสตรีที่มีภาวะถุงน้ำในรังไข่ (PCOS)
“ครูก้อย นัชชา” กล่าวเสริมว่า จากการศึกษางานวิจัยพบว่ามี “ไขมันดี” จาก “น้ำมัน 9 ชนิด” ช่วยเสริมภาวะเจริญพันธุ์ ได้แก่
1. นํ้ามันดอกทานตะวัน (Sunflower oil) อุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน PUFAs ซึ่งมีมากกว่า 60% เป็นกรดไลโนเลอิก หรือกรดไขมันโอเมกา-6 และประกอบด้วยวิตามินอี ธาตุเหล็ก โฟเลต สังกะสี กรดไขมันโอเมกา 3 ทั้งหมดนี้มีประโยชน์สําหรับภาวะเจริญพันธุ์ทั้งชายและหญิง ช่วยเพิ่มคุณภาพนํ้าอสุจิ และภาวะเจริญพันธุ์โดยรวม ช่วยให้เยื่อบุโพรงมดลูกแข็งแรง ช่วยเพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิและช่วยควบคุมระดับฮอร์โมนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยรักษาสมดุลระหว่างฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ป้องกันภาวะประจําเดือนมาไม่ปกติ และภาวะหมดประจําเดือนก่อนวัยที่เป็นสาเหตุของภาวะมีบุตรยากในสตรี
2. น้ำมันกระเทียม (Garlic oil) มีรายงานการศึกษาจาก INTERNATIONAL JOURNAL OF RESEARCH IN AYURVEDA AND MEDICAL SCIENCES ปี 2018 เรื่อง บทบาทของกระเทียมในฐานะสารเพิ่มการเจริญพันธุ์ จากการศึกษาพบว่ากระเทียมมีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งทำให้สุขภาพทั่วไปดีขึ้นและยับยั้งการแก่ก่อนวัย การศึกษาพบว่าการบริโภคกระเทียมในปริมาณที่เหมาะสมช่วยเพิ่มน้ำอสุจิ จำนวนอสุจิ และปรับสมดุลของระดับฮอร์โมนอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีสารต่อต้านแบคทีเรีย มีคุณสมบัติต้านเชื้อรา ต้านการอักเสบ บำรุงมดลูกและประจำเดือนในสตรี
3. น้ำมันแฟลกซ์ซีด (flaxseed oil) มีสารลิกแนน (Lignans) ซึ่งเป็นไฟโตเอสโตรเจน (phytoestrogens) ซึ่งมีมากกว่าพืชชนิดอื่นถึง 75 เท่า มีการออกฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจนและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยกําจัดไขมันทรานส์และไขมันอิ่มตัวผ่านการกําจัดของเสียในตับ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังอวัยวะสืบพันธุ์ ซึ่งส่งผลให้การผลิตจํานวนอสุจิและคุณภาพของตัวอสุจิเพิ่มขึ้น ช่วยเพิ่มคุณภาพของไข่และโอกาสที่ไข่จะได้รับการปฏิสนธิ มีรายงานการวิจัยในวารสารด้านโภชนาการ Nutrients เมื่อปี 2016 พบว่าสารในเมล็ดแฟลกซ์ส่งผลต่อค่า C-reactive protein (CRP) ซึ่งแสดงถึงค่าการอักเสบในร่างกายลดลง
4. น้ำมันฟักข้าว (Gac oil) น้ำมันฟักข้าวอุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีเบตาแคโรทีนสูง วิตามินซีสูง ซีแซนทีน วิตามินอี วิตามินเอ กรดไขมันโอเมกา 3, 6 และ 9 ช่วยเสริมฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระสูง และการไหลเวียนของเลือดดี ซึ่งเบตาแคโรทีนในนํ้ามันฟักข้าว เป็นสารอาหารสำคัญสำหรับระบบสืบพันธุ์ ช่วยเพิ่มคุณภาพของน้ำอสุจิ และการเคลื่อนไหวที่ดีขึ้น ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตในอวัยวะสืบพันธุ์และเร่งกระบวนการพัฒนาและการผลิตสเปิร์ม ควบคุมการทํางานของอวัยวะสืบพันธุ์ตลอดจนการยืดอายุของสเปิร์มและเซลล์ไข่ ช่วยในกระบวนการตั้งครรภ์และส่งเสริมด้านพัฒนาการของทารกในครรภ์ ลดอัตราการแท้งบุตรหรือการคลอดก่อนกําหนดอีกด้วย
5. นํ้ามันอะโวคาโด (Avocado oil) อุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว หรือ (Monounsaturated Fatty Acid) หรือที่เรียกว่า “MUFA” มีผลช่วยลดการอักเสบและปรับปรุงการทํางานของการตกไข่ และการบริโภค MUFA ที่มากขึ้น มีผลทําให้อัตราเกิดสูงขึ้นเกือบ 3.5 เท่า หลังการย้ายตัวอ่อน มีรายงานการวิจัยที่เผยแพร่ในวารสารด้านโภชนาการ Nutrients เมื่อปี 2016 พบว่าผลของการรวมอะโวคาโดในอาหารของมารดาในแต่ละช่วงเวลาตั้งแต่ระยะก่อนปฏิสนธิจนถึงระยะสิ้นสุดการให้นมส่งผลดีต่อสุขภาพของแม่และลูก นอกจากนี้ อะโวคาโดยังอุดมด้วยโฟเลต โพแทสเซียม วิตามินเอ ไฟเบอร์ ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว และสารต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในไขมัน ซึ่งล้วนมีความสําคัญต่ออนามัยการเจริญพันธุ์ การกินอะโวคาโดเป็นประจําจะช่วยให้สามารถตั้งครรภ์ได้ง่ายขึ้นและทารกมีสุขภาพที่ดีขึ้นโดยมีข้อบกพร่องน้อยลง
6. น้ำมันงาขี้ม้อน (Perilla oil) เป็นแหล่งของกรดไขมันไม่อิ่มตัว ประกอบด้วยโอเมกา 3 ร้อยละ 55-60 ของกรดไขมันทั้งหมด ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อระบบประสาทและสมองที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ โอเมกา 6 และโอเมกา 9 ทั้งยังพบสาร Luteolin ซึ่งเป็นสารในกลุ่ม Flavonoids ที่มีฤทธิ์ต้านภูมิแพ้ และต้านการอักเสบ ทั้งยังอุดมไปด้วยธาตุฟอสฟอรัส และแคลเซียม ช่วยป้องกันการอักเสบของเยื่อบุโพรงมดลูกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการฝังตัวอ่อน เพิ่มไซโตโคน์ (cytokines) ซึ่งควบคุมการเปิดรับเยื่อบุโพรงมดลูกในการฝังตัวอ่อน
7. นํ้ามันมะกอก (Olive oil) อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและอุดมไปด้วยวิตามินอี นอกจากนี้ ยังมีไขมันโอเมกา 3 มีสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านการอักเสบ โดยมีรายงานวิจัยจาก Wiley Online Library เมื่อปี 2017 รายงานว่า อาหารประเภท 'ปลาและน้ำมันมะกอกสูง เนื้อสัตว์ต่ำ' ของมารดามีความสัมพันธ์กับการเจริญเติบโตของตัวอ่อนที่เพิ่มขึ้น ช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตของตัวอ่อนและอัตราการแท้งบุตรลดลง สามารถเพิ่มอัตราการตั้งครรภ์ได้ถึง 40% มีผลจากการวิจัยพบว่า การให้นํ้ามันมะกอกกับมารดาในระหว่างการตั้งครรภ์มีต่อนํ้าหนักแรกเกิด และการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ นอกจากนี้การบริโภคนํ้ามันมะกอกยังให้ MUFA มากกว่า 80% และกรดไขมันอิ่มตัวน้อยกว่า 14% โดย MUFA มีส่วนช่วยในการลดคอเลสเตอรอลในพลาสมา เพิ่มการไหลของเมมเบรนในตัวอสุจิ และลดการถูกทําลายจากลิพิดเปอร์ออกซิเดชันน้อยลง
BabyandMom.co.th
8. น้ำมันสาหร่ายทะเล (Algae oil) สาหร่ายทะเลสายพันธุ์ (SCHIZOCHYTRIUM SP.) เป็นสาหร่ายที่อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมกา 3 หลักสองประเภท EPA และ DHA มีรายงานวิจัยจาก Hum Reprod. เมื่อปี 2017 พบว่าระดับ DHA และ EPA ที่สูงขึ้นมีความสัมพันธ์กับการตั้งครรภ์ทางคลินิกและอัตราการเกิดเพิ่มขึ้น โดยโอกาสในการเกิดมีเพิ่มขึ้น 8% ของทุกๆ 1% ที่เพิ่มขึ้นของโอเมกา 3 นอกจากนี้ จากการศึกษาพบว่า DHA จากสาหร่ายมีผลในการเพิ่มขึ้นของ DHA ในฟอสโฟลิปิดในพลาสมาซึ่งช่วยให้ผนังเซลล์แข็งแรงขึ้นและในเม็ดเลือดแดงอีกด้วย
ผลการศึกษาจาก Fertility and Sterility เรื่อง Omega-3 fatty acid supplementation and fecundability ใน ปี 2019 ที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับการเสริมกรดไขมันโอเมกา 3 และความสามารถในการมีลูก โดยได้ทำการศึกษาข้อมูลจากผู้หญิง 900 คน พบว่าผู้หญิงที่กินอาหารเสริมโอเมกา 3 มีโอกาสตั้งครรภ์ได้ด้วยตัวเองมากกว่าผู้หญิงที่ไม่กินอาหารเสริมเกือบสองเท่า และมีรายงานวิจัยจาก Iran J Reprod Med เมื่อปี 2013 ศึกษาพบว่าในสตรีที่มีนํ้าหนักเกิน หรือเป็นโรคอ้วนที่มีภาวะ PCOS พบว่าการเสริมโอเมกา 3 ช่วยปรับการมีประจําเดือนได้อย่างสมํ่าเสมอ และทําให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน หรือฮอร์โมนเพศชายที่พบในผู้ป่วยหญิงที่มีภาวะ PCOS ลดลงอย่างมีนัยสําคัญ
9. น้ำมันงาขาว (Sesame oil) อุดมไปด้วยแคลเซียม วิตามินอี ไขมันที่ดีต่อสุขภาพ และลิกแนน มีทองแดงค่อนข้างสูง ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ทําหน้าที่เป็นสารตั้งต้นของฮอร์โมนเอสโตรเจน ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน และเป็นแหล่งแคลเซียมที่ดี ซึ่งมีความสําคัญต่อการบํารุงรักษาและซ่อมแซมเนื้อเยื่อการสืบพันธุ์ และมวลกระดูกของเพศหญิง จากผลการศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับการรับประทานงา และการส่งผลต่อฮอร์โมนเพศ สถานะของสารต้านอนุมูลอิสระและไขมันในเลือดในสตรีวัยทอง จากแผนกสูตินรีเวชวิทยา มหาวิทยาลัย National Taiwan Normal ประเทศไต้หวัน พบว่าการกินเซซามินทำให้ความเข้มข้นของไขมันในพลาสมาลดลง 5% และปริมาณไขมันชนิดร้าย LDL-C ลดลง 10% อย่างมีนัยสำคัญ และช่วยในการปรับปรุงการดูดซึม g-tocopherol หรือวิตามินอี ซึ่งเป็นวิตามินที่ละลายในไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ทำให้เม็ดเลือดแดงแข็งแรง ป้องกันผนังเซลล์ถูกทำลาย
กล่าวโดยสรุป ไขมันดีจากน้ำมัน 9 ชนิดดังกล่าว นอกจากจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังช่วยส่งเสริมด้านการเจริญพันธุ์ ลดปัญหามีบุตรยาก และช่วยเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์มากขึ้นด้วย สำหรับผู้ที่เตรียมตั้งครรภ์และมีปัญหามีบุตรยากสามารถศึกษาความรู้เพิ่มเติมและเคล็ดลับการเตรียมตั้งครรภ์เพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จมีลูกน้อยสมใจได้ที่ https://www.babyandmom.co.th หรือปรึกษาการเตรียมตั้งครรภ์สำหรับผู้มีบุตรยากกับ ครูก้อย - นัชชา ลอยชูศักดิ์ โดยตรงผ่านทางไลน์แอด: @Babyandmom.co.th