"ตั๊น จิตภัสร์" จับมือกรีนพีซ ผลักดันนโยบายสิ่งแวดล้อม แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ฝุ่น PM 2.5 ลั่นหากได้กลับเข้าสภาพร้อมเดินหน้าผลักดันร่าง กม.อากาศสะอาดต่อ
วันนี้ (8 มี.ค. 66) เวลา 13.00 น. น.ส.จิตภัสร์ ตั๊น กฤดากร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ในฐานะรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ได้รับมอบหมายจาก นายจุรินทร์ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นตัวแทนพบปะพูดคุยกับกลุ่มกรีนพีซ ที่นำโดย นายธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการกรีนพีซ ประเทศไทย พร้อมคณะ เพื่อรับฟังข้อเสนอและนโยบายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมของกรีนพีซประเทศไทยต่อพรรคการเมืองในการเลือกตั้งปี 2566
น.ส.จิตภัสร์ ได้กล่าวขอบคุณกลุ่มกรีนพีซที่ให้ความสำคัญและเลือกพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคแรกที่เข้ามาหารือแนวทางแก้ไขปัญหาเรื่องมลภาวะและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย รวมถึงฝุ่น PM 2.5 ที่กำลังส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของประชาชนในเมืองใหญ่รวมถึงเริ่มกระทบไปยังพื้นที่และประชาชนทั่วประเทศเป็นวงกว้างมากขึ้น ส่วนตัวเรียนและจบการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมอยู่แล้วจึงมีความสนใจในเรื่องนี้อยู่เป็นทุนเดิมเพราะเชื่อว่าเรื่องของสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องใหญ่และส่งผลกระทบต่อคนทั้งประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาก็รู้สึกเสียดายที่พรรคไม่ได้มีโอกาสผลักดันนโยบายเกี่ยวกับการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้มากเท่าที่ควรเพราะทางพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ดูแลในส่วนของกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่ทางพรรคก็ยังคงมีอุดมการณ์ที่แน่วแน่ในการที่จะผลักดันให้เรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมและมลภาวะเป็นนโยบายหลักของประเทศควบคู่ไปกับการพัฒนาประเทศให้มั่นคงทั้งทางเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ที่ปลอดภัยของประชาชน
นอกจากนี้ น.ส.จิตภัสร์ยังระบุด้วยว่าที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ได้พยายามขับเคลื่อนและรณรงค์ในเรื่องของปัญหามลภาวะและสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด ซึ่งการที่มีโอกาสได้หารือกับกลุ่มกรีนพีซในวันนี้ ส่วนตัวก็จะนำข้อมูลและข้อเสนอแนะที่ได้พูดคุยกันไปประชุมหารือต่อยอดกับหัวหน้าพรรคและผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อจะหาแนวทางทำงานร่วมกันกับกลุ่มกรีนพีซต่อไป ส่วนในเรื่องของมลภาวะทางภาคเหนือที่อาจมีสาเหตุมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนตัวก็จะนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อจะดูว่าในทางอาเซียนมีการเซ็นสัญญา MOU ร่วมกันในกรณีนี้หรือไม่อย่างไร
ทั้งนี้ น.ส.จิตภัสร์ยังได้ให้ข้อคิดเห็นไปยังกลุ่มกรีนพีซด้วยว่าอยากให้มีการรณรงค์และเข้าไปทำความเข้าใจ อบรม และฝึกวินัยในเรื่องของการจัดการขยะกับกลุ่มเด็กๆ ในโรงเรียนต่างๆ เพื่อให้ทำความเข้าใจและเรียนรู้ที่จะแยกขยะตั้งแต่ต้นทางเพื่อลดปัญหาขยะในชีวิตประจำวันตั้งแต่ขั้นตอนเริ่มต้น
ขณะที่นายธารากล่าวถึงแนวทางการแก้ไขปัญหามลภาวะและสิ่งแวดล้อมในประเทศว่า ถือเป็นโอกาสดีที่กำลังจะมีการเลือกตั้งและเห็นด้วยกับพรรคประชาธิปัตย์ที่สนใจในเรื่องสิ่งแวดล้อมและให้ความสำคัญในเรื่องของการแก้ไขปัญหามลภาวะมาโดยตลอด เพราะตอนนี้จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสภาวะสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษกำลังส่งผลกระทบต่อชีวิตประชาชนและเศรษฐกิจ และที่เลือกจะเข้ามาหารือกับพรรคประชาธิปัตย์เพราะเห็นว่าเป็นพรรคการเมืองที่สนใจในเรื่องของการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมทั้งพรรคการเมืองถือเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะเป็นตัวกลางในการช่วยกันรณรงค์แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมเพราะมีส่วนในการกำหนดนโยบายการบริหารจัดการประเทศ ดังนั้น ทางกลุ่มกรีนพีซจึงเห็นว่าควรนำข้อมูลที่ทางกรีนพีชมีมาแลกเปลี่ยนกับพรรคประชาธิปัตย์และอยากให้ประเทศมีจุดยืนที่มั่นคงในเรื่องของการแก้ไขปัญหาสภาวะสิ่งแวดล้อม รวมถึงมีจุดยืนในการแก้ไขปัญหาเรื่องขยะและฝุ่น PM 2.5 ที่ชัดเจนมากขึ้น รวมทั้งต้องการให้รัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉินทางอากาศเพื่อให้ทุกคนเห็นความสำคัญของอากาศ โดยเน้นไปที่เรื่องการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นประชาธิปไตยและมีความเป็นธรรมที่ต้องไม่เอื้อกลุ่มทุนซึ่งเป็นการเอาเปรียบประชาชนและโยนภาระมาให้ประชาชนในเรื่องของค่าใช้จ่าย
ทั้งนี้ กลุ่มกรีนพีซยังเน้นไปที่เรื่องของการปลดระวางถ่านหินที่อยากจะให้มีแนวทางดำเนินการให้สำเร็จภายในปี 2580 รวมทั้งต้องการให้หยุดเซ็นสัญญาการซื้อขายไฟโดยให้คำนึงถึงเรื่องของปริมาณไฟเพื่อไม่ให้เป็นภาระที่ประชาชนจะต้องแบกรับ แล้วต้องการให้บริหารจัดการเรื่องฝุ่น PM 2.5 ด้วยการปรับมาตรการเป็นการลดการเกิดฝุ่น PM 2.5 จากแหล่งมลพิษต่างๆภายในประเทศ และยังเสนอแนะกฎหมายที่จะมาช่วยขยายความรับผิดชอบเรื่อง packaging ของผู้ผลิตซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็น เพราะทางกลุ่มกรีนพีซเชื่อว่ากฎหมายฉบับนี้ถ้าได้มีผลบังคับใช้ก็จะสามารถช่วยควบคุมในเรื่องของภาวะขยะพลาสติกให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น
หลังจากการหารือ น.ส.จิตภัสร์ได้ยืนยันกับกลุ่มกรีนพีทว่าจะนำเรื่องทั้งหมดเข้าหารือกับผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อที่จะหาแนวทางร่วมกันในการที่จะแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมรวมถึงฝุ่น PM 2.5 ที่กำลังคุกคามชีวิตของประชาชนทั่วประเทศโดยเร็วที่สุด รวมถึงจะเร่งผลักดันพ.ร.บ.อากาศสะอาด ที่ตอนนี้ยังคงค้างอยู่ในวาระการประชุมในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐต่างๆ มีอำนาจในการควบคุม และแก้ไขปัญหา PM 2.5 ได้ถึงต้นตออย่างเข้มงวด และจริงจัง เพราะที่ผ่านมานั้นหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ขาดเครื่องมือในทางกฎหมายในการสนับสนุนการแก้ปัญหาอย่างตรงจุด ทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ ทำให้วันนี้ชาวกรุงเทพฯ รวมถึงอีกหลายๆ พื้นที่ในประเทศต้องทนกับปัญหา PM 2.5 พรรคประชาธิปัตย์จึงยืนยันที่จะออก พ.ร.บ.อากาศสะอาด เพื่อให้คน กทม.และประชาชนในทุกพื้นที่ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนทุกคนพึงมี นั่นก็คือ “สิทธิในการสูดอากาศบริสุทธิ์” หากตนได้กลับเข้าสู่สภาอีกครั้งก็จะเร่งผลักดันเรื่องนี้อย่างเต็มที่เพราะเชื่อมั่นว่าพระราชบัญญัตินี้จะสามารถทำให้ประชาชนมีความปลอดภัยมากขึ้น