ประเทศไทยและประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ในเอเชียได้เริ่มให้ความสำคัญต่อกระบวนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา จากการที่ภาครัฐและภาคเอกชนมีความต้องการใช้กระบวนการปรับเปลี่ยนทางดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโต พร้อมๆ ไปกับการสร้างความยืดหยุ่นและแข็งแกร่งในท่ามกลางสภาวะความไม่แน่นอนและวิกฤตที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ได้มีการดำเนินงานและการจัดกิจกรรมต่างๆ ขึ้น เพื่อช่วยผลักดันให้เกิดอัตราเร่งในกระบวนการทรานส์ฟอร์มทางดิจิทัลระดับชาติ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลก อย่างไรก็ตาม การทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันจำเป็นต้องอาศัยผู้นำที่ได้นำเอา “ความพร้อมเสมอ” (Always-on) มาจัดเรียงลำดับความสำคัญใหม่ เช่น การใช้ปัญญาประดิษฐ์ที่มีความรับผิดชอบ (Responsible AI) และมีความยั่งยืน ซึ่งยังคงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอยู่เสมอ สำหรับผู้ที่สามารถลงมือทำสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง การสร้างความเป็นเลิศทางดิจิทัลย่อมส่งผลที่ดีต่อไป
จากผลการศึกษาที่จัดทำโดยบอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป (BCG) เมื่อปี 2563 พบว่าองค์กรที่มีความเป็นเลิศทางดิจิทัล สามารถเอาชนะองค์กรอื่นๆ บนตัวชี้วัดสำคัญทางธุรกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอัตราการเติบโตของรายได้ที่สูงกว่า 39% การเพิ่มขึ้นของมูลค่ากิจการที่มากกว่า 43% และรายได้ก่อนดอกเบี้ยและภาษี (EBIT) จากปัญญาประดิษฐ์ที่มากกว่า 45% เป็นต้น องค์กรเหล่านี้ยังได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความยืดหยุ่นที่เหนือกว่าในระหว่างช่วงวิกฤตโควิด-19 จากอัตราการถดถอยที่น้อยกว่า ในขณะที่สามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่า นอกจากนี้ยังมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยของมูลค่าตามราคาตลาด (Market Capitalization) ที่สูงกว่า 8% เมื่อนับจากช่วงเวลาเริ่มต้นวิกฤต
TMA ได้ความร่วมมือกับ BCG ริเริ่มจัดทำโครงการ Thailand Digital Excellence Awards ขึ้นในปี 2563 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามความก้าวหน้าของกระบวนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันในประเทศไทยเมื่อเปรียบเทียบกับมาตรฐานในระดับโลก ผ่านเครื่องมือที่เรียกว่า Digital Acceleration Index (DAI) ของ BCG ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นกระบวนการประเมินความพร้อมทางดิจิทัลชั้นนำของโลกที่ติดตามวัดผลธุรกิจกว่า 15,000 แห่งทั่วโลก โดยใช้ 8 กลุ่มตัวชี้วัดหลักและ 42 ตัวชี้วัดย่อยในมิติต่าง ๆ
DAI แบ่งกลุ่มขององค์กรเป็นสี่ระดับ เริ่มจาก “Digital Starters” หรือองค์กรที่เพิ่งเริ่มกระบวนการปรับเปลี่ยนทางดิจิทัลเป็นโครงการเดียวโดดๆ ไปจนถึง “Digital Champions” ซึ่งสามารถสร้างคุณค่าใหม่ให้เกิดขึ้นจากการพลิกโฉมรูปแบบของธุรกิจเดิม (Business Model) โดยใช้วิธีการทางดิจิทัลและมีการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน ตัวชี้วัด 8 กลุ่มหลักครอบคลุมสมรรถนะทางดิจิทัลในด้านต่างๆ ตั้งแต่การมีเป้าหมายและกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ไปจนถึงกระบวนการแปลงข้อมูลสู่รูปแบบดิจิทัล (Digitization) ในตลอดห่วงโซ่อุปทาน หรือการพัฒนาปัจจัยสนับสนุนสำคัญ เช่น เทคโนโลยี ข้อมูล คน และธรรมาภิบาลองค์กร นอกจากช่วยวัดความพร้อมทางดิจิทัลแล้ว DAI ยังช่วยให้แนวทางปฏิบัติสำหรับการกำหนดความมุ่งมั่นสู่ดิจิทัล (Digital Ambition) การจัดลำดับความสำคัญการลงทุนและความคิดริเริ่มทางดิจิทัล และการติดอัตราเร่งให้กับกระบวนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันในทางปฏิบัติ ผลการศึกษาของเราพบว่าธุรกิจไทยโดยเฉลี่ยแล้วยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นบนเส้นเคิร์ฟของความพร้อมทางดิจิทัล และยังตามหลังธุรกิจอื่นๆ ในระดับภูมิภาคและระดับโลก แม้กระนั้นก็ตาม ดูเหมือนว่าประเทศไทยกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนที่สำคัญ เนื่องจากบริษัทไทยมีความพร้อมที่จะลงทุนเพื่อเร่งรัดอัตราการเติบโตทางดิจิทัล
การทำให้บริษัทไทยแข่งขันได้ในเวทีโลก
หากไม่นับรวมภาคธุรกิจการเงินไทย ซึ่งมีพัฒนาการทางดิจิทัลไม่น้อยหน้าสถาบันการเงินในระดับภูมิภาคและระดับโลก ผลการศึกษาของเราในปี 2564 พบว่าบริษัทไทยส่วนใหญ่ยังคงตามหลังอยู่บนเส้นเคิร์ฟของความพร้อมทางดิจิทัล อย่างไรก็ตาม บริษัทไทยมิได้เพิกเฉยต่อการเพิ่มขีดความสามารถทางดิจิทัลในตลอดช่วงปี 2564 ซึ่งพบว่าประมาณ 1 ใน 3 หรือ 36% ของบริษัทที่เข้าร่วมการสำรวจได้มีการมอบหมายบทบาทงานทางด้านดิจิทัลให้กับพนักงานไม่น้อยกว่า 10% ของจำนวนพนักงานประจำทั้งหมด ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 23% ในปีก่อนหน้า ขณะที่ 57% ของบริษัทที่เข้าร่วมการสำรวจมีแผนการที่จะพัฒนาทักษะทางดิจิทัลให้กับพนักงานไม่น้อยกว่า 10% ของจำนวนพนักงานประจำทั้งหมด ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 48% ในปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ประเทศอื่นๆ ก็ได้มีการเร่งการพัฒนาในเรื่องต่างๆ เหล่านี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งทำให้พวกเขาทิ้งห่างประเทศไทยมากขึ้น
ประเด็นที่มีความสำคัญสูงสุดน่าจะเป็นเรื่องของการจัดสรรเงินลงทุนอย่างเพียงพอ เนื่องจากเราพบว่ามีบริษัทไทยเพียง 33% เท่านั้นที่มีการใช้จ่ายอย่างน้อย 10% ของค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ (OPEX) กับกระบวนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ซึ่งเป็นอัตราที่แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงจากปีก่อนหน้า ขณะที่ตัวเลขของระดับโลกนั้นเพิ่มจาก 75% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงอยู่แล้วสู่ระดับ 84% ในช่วงเวลาเดียวกัน และขณะที่ 40% ของบริษัทไทยเตรียมที่จะลงทุนในบริการช่องทางเชื่อมต่อข้ามระบบ หรือ Application Program Interface (APIs) เพื่อขับเคลื่อนกระบวนการแปลงข้อมูลไปสู่รูปแบบดิจิทัล (Digitization) ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 37% ในปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ตัวชี้วัดนี้ของบริษัทอื่นๆ ทั่วโลกได้เพิ่มขึ้นจาก 62% เป็น 83% ในช่วงเวลาเดียวกัน แนวโน้มนี้เป็นเช่นเดียวกันสำหรับตัวชี้วัดด้านการให้ความสำคัญกับข้อมูล (Data-Centricity) เพราะในขณะที่ 40% ของบริษัทไทยมีการทำบูรณาการข้อมูลอย่างน้อย 10% ของปริมาณข้อมูลทั้งหมด ค่าเฉลี่ยระดับโลกทางด้านนี้ได้เพิ่มขึ้นจาก 62% เป็น 86% ในช่วงเวลาเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษานี้ได้ค้นพบแนวโน้มในเชิงบวกที่แสดงให้เห็นว่าบริษัทไทยส่วนใหญ่ยังมีความกระตือรือร้นในเรื่องของการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน บริษัทส่วนใหญ่ระบุว่ามีกลยุทธ์ทางดิจิทัลที่พร้อมจะนำกระบวนการทรานส์ฟอร์มกลับมาทำอีกครั้ง ถึงกระนั้นก็ตาม ข้อมูลจากการศึกษาของเราพบว่าความสำเร็จจะขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในด้านของงบลงทุนที่บริษัทไทยจะจัดสรรให้กับกระบวนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน
3 เหตุผลของการมีมุมมองเชิงบวกต่ออนาคตทางดิจิทัลของประเทศไทย
ขณะที่ผลการศึกษาในปีที่ 3 ของโครงการ Thailand Digital Excellence Awards ที่จัดขึ้นในปี 2565 พบว่าบริษัทไทยยังคงตามหลังบริษัทอื่นๆ ในระดับโลก มีสัญญาณบ่งบอกว่ากระบวนการทรานส์ฟอร์มทางดิจิทัลของประเทศไทยกำลังมีอัตราเร่งที่เพิ่มขึ้นดังต่อไปนี้
ประการแรก ประเทศไทยดูเหมือนจะอยู่ในช่วงของการก้าวข้ามจุดเปลี่ยนสำคัญ ในขณะที่แนวโน้มโดยทั่วไปในระดับโลกเริ่มแสดงสัญญาณของการชะลอตัวลง คะแนนเฉลี่ยของ DAI ของประเทศไทยพุ่งขึ้น 12 จุดจาก 30 เป็น 42 จุด ขณะที่คะแนนเฉลี่ยของทั่วโลกเพิ่มขึ้นเพียงหกจุด (จาก 53 เป็น 59 จุด) และประเทศอื่น ๆ ในเอเชียเพิ่มขึ้นห้าจุด (จาก 57 เป็น 62 จุด) ในช่วงเวลาเดียวกัน เราวิเคราะห์ความหมายของตัวเหล่านี้ได้ว่า มีการส่งสัญญาณจากบริษัทไทยในการเริ่มไล่ล่าตามการแข่งขันในระดับภูมิภาคและระดับโลกแล้ว
ประการที่สอง บริษัทไทยกำลังเพิ่มอัตราเร่งให้กับการลงทุนทางดิจิทัล ทางด้านข้อมูล ปัญญาประดิษฐ์ และแพลตฟอร์ม ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนกระบวนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน อย่างไรก็ตามขณะที่ 36% ของบริษัทไทยจัดสรรมากกว่า 10% ของค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้กับความคิดริเริ่มทางดิจิทัล ตัวเลขนี้ในระดับโลกอยู่ที่ 90% เพราะฉะนั้นเองบริษัทไทยจำเป็นต้องรักษาโมเมนตัมและเพิ่มการลงทุนทางดิจิทัลให้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ประการที่สาม ผู้ชนะรางวัล Digital Excellence Awards ในปี 2565 ได้สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มของบริษัทไทยในการแสดงความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็น เอสซีจี ซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ซึ่งได้รับรางวัลในสาขา Company of the Future จากแนวทางในการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันในแบบองค์รวม สร้างสรรค์และล้ำสมัยตลอดทั่วทั้งองค์กร ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง ที่ได้รับรางวัลในสาขา “Data & AI Leadership” ที่แสดงให้เห็นถึงอิมแพกต์ที่เกิดขึ้นจากการใช้ประโยชน์จากข้อมูลจากหลายแหล่งที่มา เพื่อนำเสนอประสบการณ์ที่ยากจะหาใครมาเปรียบได้และครบครันแก่ผู้บริโภค เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป ได้รับรางวัลในสาขา “ESG Revolution” ซึ่งประสบความสำเร็จในการนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลไปใช้เพื่อลดปริมาณอาหารเหลือทิ้งและอัตราการสูญเสียพลังงาน และโพเมโล แฟชั่นซึ่งได้รับรางวัลในสาขา “Digital Disruption” จากผลสำเร็จในการผสมผสานแนวทางที่ดีที่สุดจากโลกออนไลน์และออฟไลน์และนำไปใช้กับร้านค้าปลีกในเครือข่าย หรือเรียลสมาร์ท ที่ได้รางวัล “Digital Enablement” จากการช่วยสนับสนุนกระบวนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันของลูกค้าบริษัท
องค์กรชั้นนำเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยเน้นย้ำว่าประเทศไทยจะสามารถประสบความสำเร็จในการไล่ตามทันชาวโลกทางด้านของการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันเท่านั้น ทว่ายังเป็นผู้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของกระบวนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันอีกด้วย