มูลนิธิกระจกเงาเผยบทสัมภาษณ์ น.ส.นิ่ม (นามสมมติ) แม่น้องต่อที่เคยสัมภาษณ์เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2566 ก่อนสารภาพว่าเป็นคนนำลูกทิ้งแม่น้ำ เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้สังคมมองเห็นว่าเส้นทางชีวิตของเด็กหญิงคนหนึ่งก่อนมาสู่ผู้กระทำความผิดเป็นมาอย่างไร
กรณีข่าวสะเทือนขวัญคนไทย จากเหตุน้องต่อวัย 8 เดือนหายออกจากบ้าน หมู่ 6 ต.หินมูล อ.บางเลน จ.นครปฐม เมื่อเช้าวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา ผ่านไป 22 วันพบว่า น.ส.นิ่ม (นามสมมติ) อายุ 17 ปี แม่ของเด็ก ยอมปริปากกับชุดคลี่คลายคดี ที่นำโดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ว่า "เป็นคนนำลูกไปทิ้งลงแม่น้ำ" ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
วันนี้ (27 ก.พ.) เพจ "มูลนิธิกระจกเงา" ได้นำบทสัมภาษณ์ที่เคยสัมภาษณ์ น.ส.นิ่ม (นามสมมติ) อายุ 17 ปี แม่ของเด็ก เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2566 และต่อมา น.ส.นิ่มแม่เด็กได้สารภาพว่าเป็นคนนำลูกทิ้งแม่น้ำ เพื่อเป็นอุทาหรณ์ โดยระบุข้อความว่า “หนูไม่เคยมีความฝัน ตอนเด็กๆ ไม่เคยคิดฝันว่าอยากเป็นอะไร แค่คิดว่าจะได้ทำงานที่พอเลี้ยงตัวเองได้ ไม่คิดมีความฝันว่าจะเป็นอาชีพอะไร ต้องเป็นหมอ ต้องเป็นพยาบาล หนูไม่เคยคิดไปไกลขนาดนั้น ดูความเป็นอยู่ของที่บ้านหนูสิ หนูคิดว่าหนูไปถึงตรงนั้นไม่ได้”
“หนูไม่มีบ้าน เกิดมาไม่เคยมีบ้านเป็นของตัวเอง อยู่แต่บ้านเช่า และบ้านในบ่อปลา ที่พ่อรับจ้างเฝ้าบ่อ หนูอยู่ในครอบครัวที่ลำบากตั้งแต่เด็กๆ ไม่มีความพร้อมอะไรสักอย่าง สมัยก่อนพ่อทำงานอยู่ในโรงรับซื้อของเก่า บางวันหนูก็ไปช่วยพ่อคัดแยกขวด”
“หนูไม่เคยมีเพื่อนสนิท มีแค่เพื่อนที่รู้จักกัน อาจไปไหนด้วยกันบ้าง แต่ไม่เคยได้รู้เรื่องส่วนตัว ไม่สนิทกันจริงๆ เพราะตอนที่อยู่โรงเรียนไม่ได้มีอะไรได้ทำด้วยกัน”
“ที่โรงเรียน หนูโดนบูลลี่ ทั้งคำพูด และการกระทำ เพื่อนที่โรงเรียนทำเหมือนหนูไม่มีตัวตน เป็นอากาศ หนูก็ต้องอยู่คนเดียว ทำอะไรคนเดียว มันเลยรู้สึกไม่อยากไปโรงเรียน พ่อก็ถามว่าวันนี้ไม่ไปโรงเรียนเหรอ หนูก็ตอบว่าไม่อยากไปแล้ว ลึกๆ ใจอยากเรียนนะ แล้วผลการเรียนหนูก็ไม่ได้แย่นะ”
“หนูแทบไม่เคยกอดแม่เลย ไม่ได้แสดงความรักต่อกัน ตั้งแต่หนูอยู่ชั้นประถม แม่หูตึง พูดไปเขาก็ไม่ได้ยิน ทำให้พอเราคุยกันไม่รู้เรื่อง ก็ค่อยๆ ห่างกันไป เหมือนไม่สนิทกัน อยู่ด้วยกันในบ้านแต่เราอยู่กันแบบห่างๆ จนแม่ล้มป่วยติดเตียงก็ได้ดูแลแม่มากขึ้น พาไปกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาล”
“หนูรักพ่อนะ มีอะไรก็มาบอกพ่อ คุยกับพ่อ แต่ไม่ชอบเวลาพ่อกินเหล้าเมาแล้วโวยวาย หนูเห็นพ่อทะเลาะกับแม่ตลอด มันบ่อยมาก เห็นตั้งแต่เด็กๆ หนูไม่ชอบเลย ตอนเล็กๆ หนูนั่งร้องไห้ พยายามขอร้องให้พ่อหยุด แต่เขาก็ไม่หยุด”
“หนูร้องไห้บ่อยมาก จะหยุดก็ตอนเขาเลิกทะเลาะกัน พอหนูโตขึ้น ความรู้สึกมันก็ชาชิน ชินแต่เจ็บปวด ยายบอกว่า ปล่อยเลย มึงไม่ต้องไปสนใจว่าเขาจะทะเลาะ เดี๋ยวเขาก็หยุดกันเอง แต่ในใจหนูมันก็ยังร้องอยู่ จากหยุดร้องไห้กลายเป็นไปด่าพ่อแทน เหมือนเราเริ่มเป็นปากเป็นเสียงให้กับแม่ รู้สึกว่าบ้านหนูไม่มีความสุขเลย”
“ความสุขของหนู มันคือการออกมานอกบ้าน ตั้งแต่มาอยู่กับพุดได้ใช้ชีวิตอยู่เอง ถ้าหนูมีอะไรไม่สบายใจ เขาก็จะพูดให้หนูสบายใจ เหมือนเป็นหลักในชีวิต ที่คุยกันได้ ปรึกษากันได้”
“ตอนคลอดน้องต่อ เจ็บท้องมาก เป็นความเจ็บที่สุดในชีวิต ไม่ได้ตั้งใจว่าจะมีน้อง แต่หลุดมา รู้ตัวว่ามีลูกตอนท้องได้เดือนหนึ่ง พอรู้ หนูตั้งใจเก็บไว้ คิดว่ามีก็มี ไม่เคยคิดว่าจะเอาเขาออก เราไม่มีเงินเก็บสำหรับคลอดลูกเลย เราไม่มีอะไรเลยจริงๆ มีแต่ของที่คนอื่นให้มา ตอนที่ออกจากโรงพยาบาลหนูก็ยังไม่มีอะไรเลย”
“ถามว่า ถ้ากลับไปแก้ไขอดีตได้ จริงๆ มันก็แก้อะไรไม่ได้แล้ว วันนี้เป็นวันที่หนูรู้สึกไม่เหลือใคร ไม่เหลือใครจริงๆ”
น้องนิ่ม เด็กหญิงวัย 17 ปี ให้สัมภาษณ์เมื่อค่ำวันที่ 23 ก.พ. 66 ทีมงานได้สัมภาษณ์น้องนิ่ม โดยการขออนุญาตและแจ้งช่องทางเผยแพร่ สัมภาษณ์เมื่อ 23 ก.พ. 2566 เมื่อเรียบเรียงบทความเสร็จในวันรุ่งขึ้น ทีมงานตัดสินใจไม่เผยแพร่ เนื่องจากช่วงเวลานั้นมีกระแสข่าวค่อนข้างรุนแรง เมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาถึงวันนี้แล้ว จึงขอลงบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ เพื่ออยากให้สังคมได้มองเห็นว่าเส้นทางการมีชีวิตของเด็กหญิงคนหนึ่งก่อนที่จะมาสู่ผู้กระทำความผิดในวันนี้มีรากฐานและเติบโตขึ้นมาจากสิ่งใด”
คลิกโพสต์ต้นฉบับ