“สนธิ” ชี้กรณีซี “มัวร์ เฮิร์ช” นักข่าวชื่อดังเปิดโปงซีไอเออยู่เบื้องหลังระเบิดท่อก๊าซนอร์ดสตรีม ตอกย้ำกล่องดวงใจวิกฤติยูเครนที่แท้จริงคือเยอรมนี ที่สหรัฐฯ ไม่ต้องการให้เพิ่มสัมพันธ์กับรัสเซีย น่าแปลกที่สื่อกระแสหลักในอเมริกาไม่รายงานข่าว ทั้งที่เป็นผลงานข่าวเจาะของมือรางวัลพูลิตเซอร์ เช่นเดียวกับสื่อไทยส่วนใหญ่ที่เปรียบเสมือนผ้าขี้ริ้วใต้รองเท้าอเมริกา
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” วันศุกร์ที่ 17 ก.พ.ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ระเบิดปริศนาของท่อส่งก๊าซ Nord Stream เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2565 ซึ่งท่อก๊าซ Nord Stream 1 และ 2 ถือเป็นช่องทางในการขนส่งก๊าซธรรมชาติที่สำคัญที่สุดทางหนึ่งจากรัสเซียไปยังเยอรมนี ผ่านไปทางทะเลบอลติก ในตอนนั้นมีการถกเถียงกันอย่างหนักว่าใครเป็นคนระเบิด คนที่เชียร์อเมริกาก็บอกว่ารัสเซียทำ บางคนโลกสวยหน่อยก็บอกว่าเป็นอุบัติเหตุ
นายสนธิกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ตนได้ฟันธงผ่านรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ"ไปตั้งแต่แรกแล้วหลังจากเกิดเหตุใหม่ๆว่าคนที่ทำไม่ใช่ใครทีไหนคืออเมริกานั่นเอง เพราะกล่องดวงใจของวิกฤตยูเครนนั้นจริงๆแล้วไม่ใช่ยูเครนแต่คือเยอรมนีต่างหากซึ่งตนพูดมาแล้วในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ"ตอนที่ 125วันศุกร์ที่ 18กุมภาพันธ์ 2565ก่อนที่สงครามยูเครนจะปะทุในวันที่ 24กุมภาพันธ์ปีที่แล้ว
ทำไมปมปัญหาที่แท้จริงของวิกฤตยูเครนไม่ได้อยู่ที่ยูเครนแต่อยู่ที่เยอรมนีซึ่งเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจทีส่ำคัญที่สุดของสหภาพยุโรปทั้งนี้ เพราะโครงการอภิมหาโปรเจกต์หรือเมกะโปรเจกต์อันดับหนึ่งระหว่างรัสเซียกับเยอรมนีก็คือท่อส่งก๊าซ Nord Stream 2ความยาว 1,200กิโลเมตรมูลค่ามากกว่า 11,000ล้านดอลลาร์หรือราวๆ 356,000ล้านบาทท่อนี้จะเชื่อมต่อระหว่างรัสเซียกับชายฝั่งทะเลบอลติกทางภาคเหนือของเยอรมนีโดยเมื่อต้นปี 2565ก่อนสงครามในยูเครนจะปะทุขึ้นโครงการที่ว่านี้ก่อสร้างใกล้เสร็จแล้วยังไม่ได้เริ่มเปิดใช้งานเพราะยังรอการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านพลังงานของเยอรมนีรวมทั้งคณะกรรมาธิการของยุโรปด้วย
ที่ผ่านมาโครงการท่อส่งก๊าซ Nord Stream 2เป็นที่มาของความตึงเครียดระหว่างอเมริกากับเยอรมนีเพราะว่าอเมริกาและสมาชิกนาโตบางประเทศเช่นโปแลนด์และยูเครนเกรงว่าโครงการนี้่จะทำให้รัสเซียสามารถใช้เรื่องก๊าซธรรมชาติเป็นอาวุธหรือเป็นเครื่องมือต่อรองในทางภูมิรัฐศาสตร์กับยุโรปได้ส่วนเยอรมนีนายโอลัฟช็อลทซ์ผู้นำคนปัจจุบันของประเทศสนับสนุนโครงการนี้ในสมัยที่เขาดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลของนางอังเกลาแมร์เคิลและพรรค Social Democratic Partyเห็นด้วยกับโครงการนี้เป็นอย่างยิ่ง
ประเด็นคือเดิมทีการเชื่อมท่อก๊าซ Nord Stream 1ระหว่างรัสเซียกับเยอรมนีนั้นช่วยอำนวยความสะดวกการส่งก๊าซจากรัสเซียมายังเยอรมนีได้มากถึงปีละ 55,000ล้านคิวบิกเมตรส่วนท่อก๊าซ Nord Stream 2หากเปิดดำเนินการได้จริงก็จะช่วยเพิ่มปริมาณการส่งก๊าซได้อีกเท่าตัวจากปีละ 55,000ล้านคิวบิกเมตรเป็น 110,000ล้านคิวบิกเมตร ทั้งนี้การส่งพลังงานจากรัสเซียมายังเยอรมนีจะช่วยเอื้ออำนวยให้ชาวเยอรมนี 26ล้านครัวเรือนสามารถใช้จ่ายค่าพลังงานในราคาที่ถูกลงได้ส่วนรัสเซียนั้นการส่งออกก๊าซไปยังเยอรมนีและยุโรปได้มากขึ้นย่อมสร้างรายได้ให้กับรัสเซียเพิ่มขึ้นมากเช่นกัน
แต่เรื่องนี้ถ้าเกิดขึ้นจะมีชาติหนึ่งซึ่งไฟลนก้นร้อนรนและต้องการขัดขวางอย่างมากที่สุดนั่นคือสหรัฐอเมริกาและน่าจะเป็นสาเหตุหลักในการระเบิดท่อก๊าซ Nord Streamให้หมดปัญหา
เหตุใดรัฐบาลและผู้คุมนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯไม่พอใจกับการผูกสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างรัสเซียและเยอรมนีเป็นอย่างมาก
การที่เยอรมนีซื้อและพึ่งพาก๊าซจากรัสเซียมากขึ้นจะทำให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจสนิทสนมกันมากกว่าเก่าการไว้เนื้อเชื่อใจจะทำให้เกิดการขยายตัวทางการค้าเมื่อซื้อง่ายขายคล่องความสัมพันธ์ย่อมดีขึ้นก็จะมีการเจรจาลดกำแพงภาษีและกฎระเบียบต่างๆการท่องเที่ยวระหว่างเยอรมนีกับรัสเซียก็จะรุ่งเรืองตามกันซึ่งเปรียบได้กับการแลกเปลี่ยนและปรับระดับยกความสัมพันธ์ไปสู่อีกระดับหนึ่งที่สูงขึ้นเมื่อรัสเซียกับเยอรมนีญาติดีกันก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องมีฐานทัพอเมริกาอยู่ในเยอรมนีอีก
ซีไอเอวางแผน นักประดาน้ำสหรัฐฯ ติดตั้งระเบิดบนท่อนอร์ดสตรีม
วันที่ 8กุมภาพันธ์ 2566ความจริงเกี่ยวกับการระเบิดท่อก๊าซ Nord Stream 1และ 2ก็ปรากฏเด่นชัดขึ้นมาโดยฝีมือของนายซีมัวร์เฮิร์ช (Seymour Hersh)นักข่าวอาวุโสวัย 85ปีระดับเจ้าของรางวัลพูลิตเซอร์ไพรซ์ซึ่งเป็นตำนานในเรื่องของนักข่าวเจาะแม้จะอายุแปดสิบกว่าปีแล้วแต่ก็ยังมีความห้าวหาญในการทำหน้าที่สื่อมวลชนน้ำดีค้นคว้ามาตั้งนานแล้วออกมาแฉว่ารัฐบาลอเมริกาต่างหากคือผู้ที่วางแผนทำลายท่อก๊าซรัสเซียที่เชื่อมไปยังเยอรมนีโดยให้องค์กร CIAเป็นผู้ลงมือ
ซีมัวร์เฮิร์ชเป็นตำนานในเรื่องของการทำข่าวเจาะที่ไม่มีใครกล้าทำและเขาเป็นคนที่เปิดโปงข้อเท็จจริงหลายเรื่องที่อเมริกาอยู่เบื้องหลังไม่ว่าจะเป็นการฆ่าสังหารหมู่ชาวบ้านที่ตำบลหมีลายของเวียดนามซึ่งเขามีหลักฐานพิสูจน์ชัดเจนเลยว่าทหารอเมริกันเป็นผู้ที่ฆ่าหมู่ชาวบ้านลูกเล็กเด็กแดงผู้หญิงคนอายุมากไม่เว้นเลยเพราะฉะนั้นซีมัวร์เฮิร์ชเป็นตำนานที่ทุกคนที่อยู่ในวงการสื่อมวลชนในอเมริกาจำเป็นต้องให้ความเคารพนับถือและทุกคนยอมรับ
รายงานที่เผยแพร่ตอนหลังซีมัวร์เฮิร์ชทำบล็อกของตัวเองชื่อ Substackเขาอ้างแหล่งข่าวที่ไม่ระบุนามซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญโดยตรงเกี่ยวกับการวางแผนดังกล่าวเขาบอกว่าปฏิบัติการก่อวินาศกรรมท่อส่งก๊าซธรรมชาติ Nord Stream 2ของรัสเซียกับเยอรมนีเป็นฝีมือของนักรบประดาน้ำกองทัพเรือสหรัฐฯที่นำระเบิดหลายลูกไปติดตั้งบนท่อก๊าซใต้ทะเลระหว่างการซ้อมรบ BALTOP 22ของนาโตในทะเลบอลติกเมื่อวันที่ 17มิถุนายน 2565ก็คือว่าในการซ้อมรบนั้นอเมริกาแอบส่งสายลับโดยการรับรู้ของกลุ่มนาโตเอาไปวางระเบิดท่อส่งก๊าซ Nord Stream 1และ 2
อีกสามเดือนต่อมาในวันที่ 26กันยายน 2565ระเบิดก็ถูกจุดชนวนผ่านวิธีการไร้สายผ่านตัวส่งสัญญาณที่ติดกับทุ่นโซนาร์ที่หย่อนลงไปในทะเลโดยเครื่องบินลาดตระเวน P-8ของกองทัพเรือนอร์เวย์
ความสำเร็จครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่ทำเนียบขาวกองทัพและสำนักงานข่าวกรองกลาง CIAประสานงานกันมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนธันวาคม 2564แล้วว่าจะทำอย่างไรจะไม่ให้เหลือหลักฐานโยงใยมาถึงสหรัฐฯมีการจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการพิเศษขึ้นมาดูแลกิจการนี้ซึ่งที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกาชื่อนาย Jake Sullivanมีส่วนร่วมโดยตรงเมื่อเรื่องนี้แดงขึ้นมาทำเนียบขาวก็เต้นไม่หยุดพยายามออกมาปฏิเสธเป็นพัลวันและบิดเบือนว่าเป็นเรื่องแต่งขึ้นหรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Complete Fictionเช่นเดียวกับกระทรวงกลาโหมอเมริกาเพนตากอนออกมาปฏิเสธโดยเรือโทนาวิกโยธิน Garron J. Garnโฆษกเพนตากอนออกมาแถลงสั้นๆว่าสหรัฐฯไม่มีส่วนเกี่ยวข้องซึ่งเป็นการยืนยันคำเดิมที่เคยแถลงไปแล้วเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว
น่าสังเกตว่าช่วงหลังๆนี้อเมริกาทุ่มเทข่าวไปในเรื่องของวัตถุไม่ปรากฏสัญชาติซึ่งคนก็เดากันไปว่าน่าจะเป็น UFOบินเข้าไปในอเมริกาแล้วอเมริกาก็สั่งยิงตกนี่คือการบิดเบือนเปลี่ยนเป้าหมายเพราะว่าอเมริกาโดนซีมัวร์เฮิร์ชตีแสกหน้าด้วยไม้หน้าสามว่าอเมริกาคือตัวการวางแผนระเบิดนี้ก็เลยจะเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนจากข่าวชิ้นนี้ไปที่วัตถุแปลกที่อยู่ในอวกาศนี่คือนิสัยของอเมริกา
การออกมาแฉเรื่องสั่นสะเทือนในโลกเช่นนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่นักข่าวพูลิตเซอร์ไพรซ์อย่างซีมัวร์ออกมาสืบสวนสอบสวนเรื่องสำคัญๆที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงการเมืองโลกเขาเคยทำข่าวเจาะลึกประเด็นใหญ่ๆให้กับสื่อทรงอิทธิพลอย่าง The New York Timesและนิตรยสาร The New Yorkerมานานหลายทศวรรษ
ประวัติ "ซีมัวร์เฮิร์ช"
ซีมัวร์เฮิร์ช"เกิดที่ชิคาโก เมื่อ พ.ศ.2480จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชิคาโกซึ่งเป็นท็อปเทนของอเมริกาปริญญาตรีสาขาประวัติศาสตร์เป็นนักข่าวสายอาชญากรรมให้กับ City News Bureau of Chicagoปี 2502ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยเรียนต่อด้านกฎหมายจากคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยชิคาโกผลการเรียนไม่ดีก็เลยรีไทร์ออกมา
ซีมัวร์เฮิร์ชเป็นนักข่าวอิสระให้กับสำนักข่าว UPIหรือ United Press Internationalที่เซาท์ดาโกตาและเป็นนักข่าวอิสระให้กับ Associate Pressหรือ APต่อมาได้เว้นวรรคจากอาชีพผู้สื่อข่าวมาทำงานเป็นผู้จัดการสื่อหาเสียงให้กับยูจี แม็คคาร์ธีวุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครตระหว่างการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปีพ.ศ. 2511หลังจากจบแคมเปญการเลือกตั้งแล้วเฮิร์ชก็กลับมาทำอาชีพเป็นนักข่าวสืบสวนสอบสวนอย่างทุ่มเทจริงจังเขาเริ่มทำงานข่าวเวียดนามสงครามในเวียดนามที่เกิดขึ้นมายาวนานถึง 20ปีระหว่างพ.ศ. 2498-2518
เขามีผลงานข่าวเจาะเรื่องการสังหารหมู่ที่หมีลายซึ่งเป็นเหตุโศกนาฏกรรมสังหารหมู่พลเรือนที่ไม่มีอาวุธในสงครามเวียดนามโดยฝีมือทหารอเมริกันสังกัดกองร้อยชาร์ลีที่นำโดยร้อยโทวิลเลียมแคลลีย์แห่งกองพันที่ 1กรมทหารราบที่ 20กองพลน้อยที่ 11แห่งกองพลทหารราบที่ 26ปฏิบัติการค้นหาและทำลายภาษาอังกฤษเรียกว่า Search and Destroy Operationเมื่อวันที่ 16มีนาคม 2511
รายละเอียดของเหตุการณ์ดังกล่าวตามบันทึกกระทรวงกลาโหมระบุว่าผู้หมวดแคลลีย์ได้สั่งให้ทหารเข้าไปในหมู่บ้านแล้วสั่งยิงทุกคนที่พบเห็นแม้จะไม่มีรายงานการยิงโต้ตอบก็ตามตามรายงานของผู้เห็นเหตุการณ์มีชายชราหลายคนถูกแทงจนเสียชีวิตด้วยมีดปลายปืนเด็กๆและผู้หญิงที่นั่งคุกเข่าอ้อนวอนขอชีวิตถูกยิงเข้าที่ด้านหลังศีรษะเด็กหญิงถูกข่มขืนอย่างน้อย 1คนก่อนจะถูกสังหาร นอกจากนั้นแล้วยังมีข้อมูลว่าทหารอเมริกันได้ไล่ชาวบ้านที่ไร้อาวุธชาวเวียดนามประมาณ 170คนลงไปรวมกันในคูน้ำแห่งหนึ่งก่อนจะรัวกระสุนปืนกลปลิดชีวิตทุกคนที่ปราศจากอาวุธ ทั้งนี้ผู้ถูกสังหารส่วนใหญ่เป็นหญิงและเด็กรวมทั้งทารกคนชราภายหลังมีการค้นพบว่าศพบางศพถูกตัดแขนขาออกจำนวนผู้เสียชีวิตมีเกือบ 500ศพ
เหตุการณ์สังหารหมู่ที่หมีลายได้ถูกปกปิดอย่างมิดชิดโดยกองทัพสหรัฐฯจนกระทั่งเดือนพฤศจิกายน 2512ซีมัวร์เฮิร์ชนักข่าวเจาะคนแรกที่ได้ทุ่มเททำงานหนักในการหาข้อมูลและรายงานการสังหารหมู่นี้ที่มาจากการบอกเล่าของแหล่งข่าวที่ชื่อ Ron Ridenhourทหารผ่านศึกเวียดนามที่รับรู้เรื่องการสังหารหมู่ที่หมู่บ้านหมีลายจากทหารหน่วยชาร์ลีคนหนึ่ง
รายงานข่าวเจาะของซีมัวร์เฮิร์ชตีพิมพ์ออกมาเผยแพร่ผ่านสื่อทั่วโลกเปิดเผยด้านมืดที่อำมหิตของมหาอำนาจอเมริกาที่ช็อกโลกผลงานนี้ทำให้เขาได้รางวัลพูลิตเซอร์เมื่ออายุเพียง 33ปี
ต่อมาผลการสอบสวนฝ่ายทหารกลับได้ข้อสรุปว่าร้อยโทแคลลีย์กระทำความผิดคดีสังหารหมู่นี้คนเดียวในปี 2512ศาลได้ตัดสินลงโทษนายทหารผู้นี้ในข้อหาฆาตกรรมและส่งผลให้สงครามในเวียดนามสิ้นสุดเร็วยิ่งขึ้นแล้วก็เป็นเหตุในการทำสงครามในเวียดนามที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากคนทั่วไป
นิตยสาร TIMEตอนนั้นเอาภาพของร้อยโทแคลลีย์ขึ้นปกนิตยสารนี้ตีพิมพ์เมื่อเดือนเมษายน 2514
สี่ปีต่อมาเฮิร์ชทำงานให้กับสื่อทรงอิทธิพลอย่าง New York Timesและได้ทำข่าวเรื่องอื้อฉาวคดีวอเตอร์เกตและเขียนหนังสือดังหลายเล่มหนึ่งในหนังสือเล่มที่สะเทือนวงการคือ The Price of Power : Kissinger in the Nixon White Houseซึ่งตรวจสอบอิทธิพลของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯเฮนรีคิสซินเจอร์ต่อนโยบายต่างประเทศของประเทศช่วงที่ริชาร์ดนิกสันดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
ในหนังสือเล่มนี้ซีมัวร์เฮิร์ชกล่าวหาว่าอดีตนายกรัฐมนตรีอินเดียชื่อโมราร์จิเดไซรับเงินจำนวน 20,00 0ดอลลาร์ต่อปีจาก CIA ในช่วงที่ประธานาธิบดี ลินดอนบี.จอห์นสัน และ ริชาร์ด นิกสัน เป็นรัฐบาล เพื่อแลกกับข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศอินเดียและการเมืองภายในประเทศต่อมารายงานข่าวใน The New York Timesระบุว่าอดีตนายกรัฐมนตรีเดไซยื่นฟ้องเฮิร์ชในข้อหาหมิ่นประมาทเรียกค่าเสียหาย 50ล้านดอลลาร์แต่ศาลตัดสินว่าซีมัวร์เฮิร์ชไม่ผิด
ปี 2536ตอนที่ซีมัวร์เฮิร์ชอายุ 56ปีเขาทำงานประจำเป็นนักเขียนนักข่าวเจาะให้กับนิตยสาร The New Yorkerของนิวยอร์กเขาเขียนบทความสำคัญๆโดยอ้างอิงจากการเจาะข่าวของเขาในกรณีสหรัฐฯบุกอิรัก
ปี 2546รายงานข่าวเจาะของเขาระบุถึงปฏิบัติการที่เลวร้ายทรมานนักโทษและผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายในเรือนจำอาบูกราอิบ ใกล้กรุงแบกแดดของอิรักโดยรายละเอียดของข่าวเจาะเชิงสอบสวนกรณีนี้เขาได้รวบรวมเขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งชื่อ CHAIN OF COMMAND The Road from 9/11 to Abu Ghraibวางจำหน่ายในปี 2547
ปี 2558ขณะที่เฮิร์ชอายุ 78ปีเขายังไม่หยุดทำหน้าที่สื่อมวลชนเขาเจาะข่าวใหญ่ที่สั่นสะเทือนวงการมหาอำนาจอเมริกาเขากล่าวหาว่าประธานาธิบดีบารักโอบามาและเจ้าหน้าที่สหรัฐฯโกหกเกี่ยวกับรายละเอียดของการโจมตีในปี 2554ที่เมืองอับบอตตาบัดประเทศปากีสถานซึ่งอุซามะห์บินลาดินผู้นำกลุ่มอัลกออิดะห์ถูกจู่โจมสังหารเฮิร์ชอ้างว่าปากีสถานกักขังบินลาดินในฐานะนักโทษมาตั้งแต่ปี 2549แล้วและพวกเขาก็รู้เรื่องการจู่โจมก่อนที่มันจะเกิดขึ้นแต่รัฐบาลบารักโอบามาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว
อย่างไรก็ดีปีถัดมาโอบามาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สองปี 2555หลังจากการสังหารบินลาดินในปี 2554
ปี 2561ในการให้สัมภาษณ์ของซีมัวร์เฮิร์ชกับโคลัมเบียเจอร์นัลลิซึมรีวิวเมื่อนักข่าวถามเขาเกี่ยวกับความรู้สึกเกรงกลัวไหมที่ลงทำข่าวเจาะแบบนี้่เขาตอบว่ามันเป็นสิ่งที่น่ากลัวจริงๆเขาเล่าว่า “ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาผมไม่สังสรรค์กับใครเลยไม่พบกับคนในรัฐบาลด้วยซ้ำแหล่งข้อมูลของผมที่ดีที่สุดคือเพื่อนเก่าซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้รับราชการแล้ว”
สื่อหลักในอเมริกา-ไทย ใบ้กิน
หลังจากซีมัวร์เฮิร์ชเปิดโปงอเมริกาสั่ง CIAทำลายท่อก๊าซรัสเซียจนเป็นข่าวลึกทั่วโลกปรากฏว่ามีการเข้าไปบิดเบือนข้อมูลในวิกิพีเดียว่าซีมัวร์เฮิร์ชเป็นนักทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด (Conspiracy Theorist)และอ้างว่าตอนนี้รัฐบาลรัสเซียขอเชิญซีมัวร์เฮิร์ชไปเป็นแขกพิเศษที่สภาดูมาเพื่อให้ไปชี้แจงข้อมูลหลักฐานว่าเป็นไปเป็นมาอย่างไร
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ได้ข้อมูลชัดเจนว่าอเมริกาได้สั่งให้ CIAทำลายท่อส่งก๊าซ Nord Streamรัสเซียยังคงเสนอไปยังศาลอาญาระหว่างประเทศเพื่อฉีกหน้าอเมริกาบนเวทีสหประชาชาติหลังจากนั้นอาจจะแก้แค้นตามมาซึ่งไม่มีใครทราบได้แต่อย่างน้อยรัฐบาลรัสเซียจะแถลงว่ารัฐบาลอเมริกาคือรัฐบาลก่อการร้ายโลกซึ่งในข้อเท็จจริงก็เป็นอย่างนั้นจริงเพราะการก่อการ้ายต่อทรัพย์สินของรัสเซียที่อเมริกาทำอยู่แล้วหลายๆประเทศนั่นเอง
ในยุโรปสื่อเยอรมัน Der Spiegelซึ่งเป็นสื่อที่ใหญ่มากลงข่าวว่าสื่ออเมริกันเป็นผู้ออกมาแฉรัฐบาลอเมริกาเองว่าเป็นคนสั่งถล่มท่อก๊าซรัสเซียที่เชื่อมถึงเยอรมนีแต่ประเมินแล้วเชื่อว่าผู้นำเยอรมนีคงไม่กล้าทำอะไรเพราะว่าผู้นำเยอรมนีเป็นแค่หุ่นเชิดของอเมริกาแล้วอียูก็คือพรมเช็ดเท้าของอเมริกานั่นเอง
นายสนธิกล่าวถึงประเด็นนี้ว่า โลกวันนี้ถูกครอบงำด้วยอิทธิพลของสื่อตะวันตกการครอบงำและผูกขาดของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในมือทุนตะวันตกสังคมข่าวสารต้องมีนักข่าวน้ำดีที่ทั้งอดทนกล้าหาญอย่างนายซีมัวร์เฮิร์ชเพิ่มขึ้นมากๆเป็นคนจุดโคมไฟแห่งปัญญาที่ทุ่มเททำงานข่าวสืบสวนสอบสวนเชิงลึกที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมจริงๆรวมทั้งยังแฉพฤติกรรมพูดอย่างทำอย่างของมหาอำนาจสหรัฐอเมริกาให้รู้กันไปทั่วโลกแม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะพยายามปิดข่าวของซีมัวร์เฮิร์ชแต่ก็ทำไม่ได้เพราะโลกรู้ทันมากขึ้นยกเว้นสื่อที่ด้อยปัญญาหรือถูกครอบงำทางความคิดมัวแต่เดินตามก้นฝรั่ง
เรื่องของซีมัวร์เฮิร์ชสะท้อนให้เห็นถึงข้อเท็จจริงของสื่อมวลชนไทยเช่นกัน
ซีมัวร์เฮิร์ชเป็นตำนานใครก็ตามที่อยู่ในวงการหนังสือพิมพ์ใครที่เรียนหนังสือพิมพ์มาไม่ว่าจะเป็นคณะนิเทศศาสตร์จุฬาฯคณะวารสารศาสตร์ฯของธรรมศาสตร์อาจารย์เก่าๆหลายคนจะรู้จักซีมัวร์เฮิร์ชหมดทุกคนข่าวที่เขาออกมาทำเอารัฐบาลอเมริกันกระโดดโลดเต้น Der Spiegelหนังสือพิมพ์เยอรมันก็ลงข่าวยืนยันสิ่งที่ซีมัวร์เฮิร์ชพูด
“แต่ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเมืองไทยบรรดาบรรณาธิการข่าวต่างประเทศทั้งหลายรวมทั้งผู้หญิงทั้งหลายที่ทำงานข่าวต่างประเทศแล้วมีสามีเป็นชาวต่างชาติไม่ว่าจะเป็นเยอรมันหรือเป็นฝรั่งเศสเงียบสนิทไม่พูดทั้งๆที่ข่าวนี้เป็นข่าวที่อ้างอิงว่าเป็นการข่าวจากซีมัวร์เฮิร์ชอดีตผู้ที่ได้รับรางวัลข่าวเจาะของพูลิตเซอร์ไพรซ์แล้วเขาเป็นคนที่เปิดโปงข่าวระดับใหญ่ระดับโลกตั้งไม่รู้กี่ข่าว
“อย่าว่าแต่หนังสือพิมพ์ในเมืองไทยเลย CNNก็ไม่ออกมารายงานข่าว BBCก็ไม่รายงานข่าว CNBC, CBSไม่รายงานข่าวท่านผู้ชมเห็นหรือยังท่านผู้ชมจะเริ่มเห็นแล้วว่าสงครามรัสเซีย-ยูเครนนั้นถูกกำกับและดูแลและโฆษณาชวนเชื่อโดยสื่อทางตะวันตกพวกนี้ทั้งสิ้นข้อเท็จจริงอย่างซีมัวร์เฮิร์ชพูดออกมาไม่มีใครเอามาพูดเลยแม้แต่นิดเดียวและเรื่องนี้ก็เลยลามมาจนถึงผู้สื่อข่าวต่างประเทศบรรณาธิการข่าวต่างประเทศในประเทศไทย”
“เราถูกปิดกั้นข่าวสารจากสื่อตะวันตกคนไทยซึ่งเป็นนักข่าวโดยเฉพาะอย่างยิ่งบก.ข่าวต่างประเทศก็เดินตามอเมริกาเดินตามตะวันตกถ้าเขาบอกว่ายุโรปคือพรมเช็ดเท้าของอเมริกาผมพูดได้ไหมว่าบก.ข่าวต่างประเทศสื่อในประเทศไทยก็คือผ้าขี้ริ้วที่รองอยู่ใต้เท้าของอเมริกาผมผิดหวังมากผิดหวังจริงๆ” นายสนธิกล่าว