บ.เข็มเหล็ก จำกัด จับมือเอ็นซิส ENSERGY INTERNATIONAL ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ตั้งตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เข็มเหล็ก พร้อมเตรียมแผนขยายธุรกิจในต่างประเทศปี 23 ตามยุทธศาสตร์การขยายธุรกิจต่างประเทศ ประเดิมมัลดีฟส์แห่งแรก
นายประเสริฐ ธรรมมนุญกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เข็มเหล็ก จํากัด เปิดเผยว่า KEMREX ดำเนินกิจการจัดจำหน่าย และให้บริการติดตั้งระบบฐานราก ผลิตภัณฑ์เข็มเหล็ก อุปกรณ์เหนือพื้นดิน รวมทั้งผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ภายใต้เครื่องหมายการค้า เครื่องหมายบริการ ชื่อทางการค้า “KEMREX” หรือ “เข็มเหล็ก” ในขณะที่ ENSYS และ ENSERGY INTERNATIONAL ซึ่งเป็นคู่ค้าดำเนินกิจการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และรับเหมาก่อสร้าง พร้อมติดตั้งงานระบบไฟฟ้าร่วมกัน ณ สาธารณรัฐมัลดีฟส์ ด้วยศักยภาพของทั้ง 3 บริษัทจึงเป็นที่มาของความร่วมมือแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เข็มเหล็ก ณ สาธารณรัฐมัลดีฟส์ รวมทั้งยังมองไปในอนาคตที่จะสร้างความร่วมมือให้แข็งแกร่ง ตามเป้าหมายสำคัญของเข็มเหล็กคือการส่งออกงานวิศวกรรมของประเทศไทยไปยังต่างประเทศ และในแผนปัจจุบันวางเป้าส่งออกเข็มเหล็กทั่ว AEC ชูจุดแข็งนวัตกรรมแห่งความยั่งยืน
“การก่อสร้างทุกงานต้องมีฐานราก แต่ฐานรากสมัยก่อนคือฐานรากปูน ต้องอาศัยการขุดพื้นหรือใช้ปั้นจั่นตอก ซึ่งมีปัญหาทั้งเรื่องเสียงดังและแรงงาน แต่เข็มเหล็กสามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้หมด พร้อมเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างปีที่ผ่านมาเปิดตัวเข็มเหล็ก 100 ตัน ในปีนี้จะได้เห็นการเปิดตัวเข็มเหล็ก 200 ตัน เจาะลึกไปถึงดินดานได้ถึง 34 เมตร เป็นไฮไลต์ที่เรียกว่าเป็นฐานรากที่ตอบโจทย์การใช้งานในทุกอุตสาหกรรม ไม่มีผลกระทบเรื่องสิ่งแวดล้อมและคงความแข็งแรง นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือกับทางมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อร่วมวิจัยพัฒนาวิศวกรรมไทยสู่อนาคต ดังนั้นความร่วมมือในการขยายตลาดไปสาธารณรัฐมัลดีฟส์ในวันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ และความภาคภูมิใจในฐานะผู้พัฒนา ผลิต และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ แม้แต่ประเทศที่มีข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์” CEO เข็มเหล็กกล่าว
ด้านนายยุทธนา เลิศเรืองศิลป์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและพัฒนาธุรกิจ บริษัท เอ็นซิส จำกัด กล่าวว่า เอ็นซิสประมูลได้สัมปทานการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 5.6 เมกะวัตต์ ติดตั้งจากสนามบินสาธารณรัฐมัลดีฟส์ไปยังเกาะใหม่ โดยโรงไฟฟ้านี้จะขายไฟให้แก่ STELCO ซึ่งเป็นบริษัทการไฟฟ้าแห่งชาติของสาธารณรัฐมัลดีฟส์เป็นระยะเวลา 15 ปี ปัจจุบันกำลังก่อสร้าง คาดว่าจะทำการจ่ายไฟได้ภายในเดือนมีนาคม 2023 นี้ โดยโครงการใช้โครงสร้างรับแผงโซลาร์กับฐานรากที่เป็นเข็มเหล็กจาก KEMREX และในการก่อสร้างได้ทำความร่วมมือกับบริษัท Ensergy International ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในสาธารณรัฐมัลดีฟส์ รับผิดชอบเรื่องงานก่อสร้างและงานบำรุงรักษาตลอดระยะเวลา 15 ปี เนื่องจากในปัจจุบันนี้สาธารณรัฐมัลดีฟส์มีโรงไฟฟ้าอยู่ตามเกาะ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Generator) ประเภทดีเซล ซึ่งมีต้นทุนการผลิตค่อนข้างสูง ดังนั้นจึงมีการผลักดันในเรื่องของค่าไฟที่ถูกลงและใช้พลังงานสะอาด ทำให้มีความต้องการด้านไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มขึ้น จึงนับเป็นโอกาสที่จะทำตลาดธุรกิจโซลาร์ในมัลดีฟส์ได้
“เอ็นซิส ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมากว่า 27 ปี เป็นบริษัทวิศวกรรมที่เชี่ยวชาญด้านงานวิศวกรรมไฟฟ้าและพลังงาน งานก่อสร้างและการบริหารสัญญาโครงการ รวมถึงการลงทุนด้านไฟฟ้าและพลังงาน ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ เอ็นซิสจึงสามารถจะสนับสนุน Ensergy International ประเทศมัลดีฟส์ ในการออกแบบจัดหาอุปกรณ์จากประเทศไทย และให้คำปรึกษาด้านการก่อสร้างต่างๆ ขณะที่ความร่วมมือกับทางเข็มเหล็กเพื่อจัดหาโครงรองรับแผง (Mounting Structure) และเสาเข็มเหล็ก (Screw Pile) เสริมความเชื่อมั่นและความแข็งแกร่งในการขยายธุรกิจ เนื่องจากเอ็นซิสมีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่สร้างเสร็จแล้ว 5.6 เมกะวัตต์ ซึ่งใช้ Mounting ของ KEMREX ทำให้สามารถใช้เป็น Reference ให้กับลูกค้าที่สนใจ ไม่ว่าจะเป็นโซลาร์ฟาร์ม (Solar Farm) โซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) และโซลาร์โฟลทติ้ง (Solar Floating) ในอนาคตได้” นายยุทธนากล่าว
ขณะที่ นายวรางค์กูล ขุนสาร ผู้จัดการทั่วไป ENSERGY INTERNATIONAL PRIVATE LIMITED กล่าวว่า ENSERGY INTERNATIONAL เป็นบริษัทข้ามชาติจากประเทศมัลดีฟส์ ซึ่งก่อตั้งมาเพื่อสนับสนุนงานด้านการก่อสร้างและติดตั้งระบบไฟฟ้าที่ประเทศมัลดีฟส์ ปัจจุบันรับงานจากบริษัทเอ็นซิสที่ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 5.6 เมกะวัตต์ โดยมีทั้งส่วนที่เป็น On Ground และ Rooftop ดำเนินการไปแล้วกว่า 50% ที่ประเทศมัลดีฟส์ ซึ่งมีสภาพภูมิประเทศเป็นเกาะ และมีประชากรอยู่เบาบาง ปัญหาหลักคือขาดแคลนแรงงานและระบบโลจิสติกส์ที่มีต้นทุนค่อนข้างสูง ส่งผลให้การก่อสร้างมีต้นทุนที่สูงมาก การนำเข็มเหล็กมาใช้เพื่อลดต้นทุนที่แต่เดิมเป็นงานคอนกรีตทั้งหมด ถือเป็นโอกาสในการสร้างตลาดใหม่ให้แก่สินค้าวิศกรรมจากประเทศไทยที่มัลดีฟส์ได้
“สิ่งที่ต้องคำนึงถึงอย่างมากคือสภาพสิ่งแวดล้อมของมัลดีฟส์ที่เป็นเกาะ โดยเฉพาะความเป็นกรดเกลือ และชั้นน้ำใต้ดินที่ค่อนข้างตื้น จึงต้องให้ความสำคัญต่อ Structure รวมถึงการกัดกร่อนในทะเล ในประเด็นนี้จะเป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่างเข็มเหล็กกับเอ็นซิส ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดีต่อไปในอนาคต”
ทั้งนี้ มัลดีฟส์ได้ถูกขนานนามให้เป็นชายหาดที่สวยที่สุดในโลก มีธรรมชาติและอากาศบริสุทธิ์ ทั้งยังมีโลกใต้ทะเลที่ยังอุดมสมบูรณ์ นอกจากความโดดเด่นในมิติการท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวไม่ขาดสายแล้วนั้น รัฐบาลมัลดีฟส์ยังมีนโยบายมุ่งเน้นการพัฒนาสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานในท้องถิ่นต่างๆ โดยมีแผนให้เอกชนเข้ามาบริหารบางกิจการเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพที่สุด รวมทั้งสนับสนุนให้ต่างประเทศเข้ามาร่วมลงทุนอาทิ โรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด โดยปัจจัยเหล่านี้ล้วนนำมาสนับสนุนแผนการขยายธุรกิจในต่างประเทศของทางบริษัทฯ