ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ได้แต่นั่งขำที่เกียวโต ย้อนตำนานคริส โปตระนันทน์ คู่กรณีตอนวิจารณ์เฌอปราง ลาออกจากพรรคก้าวไกล ระบุดื่มชาเขียวสวยๆ เลี้ยงหมาอย่างสบายใจ ก่อนหน้านี้คริสทิ้งระเบิด ไม่เห็นด้วยกับการบริหารงานของพรรค ซัดที่ผ่านมามีแต่กลุ่มโปลิตบูโรบงการ ไม่ใช่พรรคของประชาชน ค้านนโยบายก็ไม่ได้
วันนี้ (9 ก.พ.) อินสตาแกรม pavin_kyoto ของนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการมหาวิทยาลัยเกียวโต และผู้ต้องหาหลบหนีคดีมาตรา 112 โพสต์ภาพข่าวนายคริส โปตระนันทน์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรคอนาคตใหม่ และผู้ก่อตั้งมูลนิธิเส้นด้าย โพสต์ข้อความลาออกจากสมาชิกพรรคก้าวไกล ระบุว่า "เมื่อปี 2018 ดิฉันวิจารณ์เฌอปราง (น.ส.เฌอปราง อารีย์กุล สมาชิกวงบีเอ็นเคโฟร์ตี้เอต) ที่สนับสนุนรัฐบาลประยุทธ์ (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) เหล่าโอตะโกรธ และเห็นจังหวะที่ดิฉันได้เชิญธนาธร (นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ) มาญี่ปุ่น โดยผูกเรื่องว่า ปวินหนุนอนาคตใหม่ และเพราะปวินตำหนิเฌอปราง ดังนั้น เหล่าโอตะทั้งหลายจะไม่เลือกพรรคอนาคตใหม่ คริส โปตระนันทน์ รีบออกมาประณามดิฉัน และบอกว่าปวินไม่เกี่ยวข้องกับพรรคอนาคตใหม่ทั้งสิ้น (ทั้งๆ ที่ผู้นำพรรคเคยขอร้องให้ดิฉันช่วยดันพรรค) ดิฉันหลังไมค์ไปหาผู้นำเหล่านั้น เพื่อขอให้เขาชี้แจงเรื่องนี้ ผู้นำเหล่านั้นสะบัดบ็อบใส่ดิฉัน อุ้มคริส แถมบอกว่า การที่เฌอปรางสนับสนุนเผด็จการเป็นสิทธิ จากวันนั้น ดิฉันตัดขาดจากพรรคนี้
"วันนี้นักการเมืองอย่างคริสเดินออกจากพรรค แถมด่าลับหลังว่าพรรคห่วย กระจอก ดิฉันได้แค่นั่งขำที่เกียวโต ดื่มชาเขียวสวยๆ เลี้ยงหมาอย่างสบายใจ" นายปวินกล่าว
ก่อนหน้านี้ เฟซบุ๊ก "คริส โปตระนันทน์ - Chris Potranandana" ของนายคริส โปตระนันทน์ โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ 8 ก.พ. มีสาระสำคัญระบุว่า ตนได้ลาออกจากสมาชิกพรรคก้าวไกลมาตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. ที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลสามประการ คือ 1. อยากจะทำการเมืองในพรรคที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง คือพรรคการเมืองที่ประชาชนเป็นเจ้าของ เพราะที่ผ่านมาการประชุมสามัญ การคัดเลือกผู้สมัคร ส.ส. การจัดลำดับ ส.ส. บัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) และการคัดเลือกนโยบาย ล้วนเป็นเรื่องของการตัดสินใจของคนกลุ่มเล็กๆ ซึ่งนายคริสเรียกว่า “โปลิตบูโร” หากพรรคก้าวไกลได้อำนาจในการบริหารประเทศ ก็คงต้องอยู่ที่คนกลุ่มนี้ ไม่ได้อยู่สมาชิกพรรคแต่อย่างใด
2. ไม่เห็นด้วยกับนโยบายหลายประการของพรรคก้าวไกล ที่ออกมาจากคนกลุ่มดังกล่าว เช่น เงินบำนาญถ้วนหน้าเดือนละ 3,000 บาท หากนโยบายนี้สำเร็จ รัฐบาลจะมีรายจ่ายจาก 80,000 ล้านบาท เป็น 360,000 ล้านบาททันที หากใช้นโยบายนี้ต่อไปอีก 10 ปี คนสูงอายุ 60 ปีขึ้นไปจะกลายเป็น 20 ล้านคน จะมีรายจ่ายประจำปีปีละ 6 แสนกว่าล้านบาท หรือเท่ากับประมาณ 20% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ถ้าไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ ที่ผ่านมาวัฒนธรรมของพรรคคือ ไม่เห็นด้วยอะไรก็คุยกันภายใน เพราะถ้าตนพูด คนในพรรคก้าวไกลจำนวนมากที่ไม่สามารถแยกแยะได้ก็จะชี้หน้าคนที่คิดไม่เหมือนตนว่า ไม่มีอุดมการณ์ ไม่จงรักภักดีต่อพรรค
3. ไม่สามารถโกหกประชาชนได้ หากพูดนโยบายที่ตนไม่เชื่อ พูดถึงพรรคที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการจัดการ จะพูดถึงพรรคได้เต็มปากได้อย่างไร พรรคบอกว่าเป็นพรรคของประชาชน แต่ตอนนี้กำลังจะกลายเป็นพรรคพวก คนที่ได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์จำนวนหนึ่งกำลังได้เป็นต่อในสมัยหน้า หากกลุ่มที่เรียกว่า “โปลิตบูโร” ถูกใจอย่างนั้นหรือ หากจะเป็นพรรคของประชาชนจริงๆ ต้องกล้าทำตามข้อเสนอเซตซีโร่ของ อ.ปิยบุตร (แสงกนกกุล) ต้องกล้าเปิดให้สมาชิกโหวตผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อทางตรงอย่างโปร่งใส เพื่อพิสูจน์กับประชาชนว่าเป็นพรรคการเมืองสมาชิก เป็นพรรคการเมืองของประชาชน ไม่ใช่พรรคการเมืองของโปลิตบูโร ไม่ใช่พรรคการเมืองของพรรคพวก
นายคริสยืนยันว่า การลาออกจากพรรคก้าวไกล ไม่ใช่เพราะโกรธ เกลียด หรือน้อยใจ แต่เป็นเพราะไม่เห็นด้วยกับการบริหารงานของพรรค ตนยังภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันประเด็นสังคมที่ตนเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประชาธิปไตย หรือ เรื่องการเปิดใบอนุญาตสุรา ให้มาถึงจุดจุด นี้ แต่การลาออกของตนจะมีคุณูปการใดๆต่อการบริหารงานของพรรค หากพรรคไม่ปรับการบริหาร แทนที่พรรคก้าวไกลจะใหญ่ขึ้น พรรคจะเล็กลงเรื่อยๆ จนเหลือแต่เลือดแท้ แต่การเหลือแต่เลือดแท้จะมีประโยชน์อย่างไร หากเลือดแท้นั้นมีจำนวนน้อย และไม่มีเสียงพอที่จะผลักวาระของพรรคให้สำเร็จผ่านระบบรัฐสภา ก่อนขอบคุณนายปิยบุตรที่ชวนเข้ามาทำงานการเมือง แม้จะชิงลาออกตัดหน้าไปก่อน ขอบคุณนายธนาธรที่ได้ให้โอกาสเป็นหัวหน้าคณะทำงานนโยบายเศรษฐกิจที่พรรคอนาคตใหม่ ขอบคุณเพื่อนๆ ทั้งในพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล และประชาชนที่ได้ร่วมเดินทางกัน ยืนยันว่า ถนนแห่งประชาธิปไตยไม่ได้มีทางเดียว แล้วพบกันที่ปลายทาง
ล่าสุดมีรายงานว่านายคริสได้ก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ ใช้ชื่อว่า "พรรคทำได้" โดยล้อกับชื่อ "กลุ่มเส้นด้าย" ที่ได้ก่อตั้งเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 โดยนายคริสจะเป็นหัวหน้าพรรคเอง และมีนายพีรพล กนกวลัย ส.ก.เขตพญาไท พรรคก้าวไกลเป็นเลขาธิการพรรค
สำหรับนายคริส โปตระนันทน์ เกิดเมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2531 ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี กรุงเทพฯ แต่ไปเติบโตที่ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี เมื่ออายุ 12 ปี จึงเข้ามาเรียนที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง หลังจากนั้นสอบติดคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาวิชากฎหมายมหาชน หลังสำเร็จการศึกษาได้สอบติดเนติบัณฑิตไทย ไปเรียนต่อด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยนอตติงแฮม ประเทศอังกฤษ และได้ทุนฟุลไบรท์ไปเรียนต่อปริญญาโทด้านกฎหมาย ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ สหรัฐอเมริกา
นายคริสเป็นนักกฎหมาย เคยเป็นผู้ช่วยวิจัยที่สถาบันพระปกเกล้า และนักวิชาการรับเชิญ (Visiting Scholar) ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ และเคยเป็นอาจารย์ผู้บรรยายพิเศษในหลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต วิชากฎหมายป้องกันการผูกขาดที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และเคยได้รับเชิญสอนวิชา TU101 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นอาจารย์พิเศษ ภาควิชากฎหมายมหาชน ที่คณะนิติศาสตร์ จุฬาลากรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยต่างๆ ในประเทศไทย นอกจากนี้เป็นนักธุรกิจทางด้านอสังหาริมทรัพย์ ลงทุนในจังหวัดทางภาคใต้
ในการก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เมื่อปี 2561 นายคริสเป็นหนึ่งใน 26 ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ร่วมกับ น.ส.นลัทพร ไกรฤกษ์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ข่าวคนพิการ Thisable.me นายสุรินทร์ คำสุข ประธานสหภาพแรงงานอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์บรรจุภัณฑ์ น.ส.กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ นักวิชาการอิสระด้านการศึกษา นายชำนาญ จันทร์เรือง อาจารย์พิเศษ ด้านการเมืองและกฎหมาย นายคริสลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.กทม. เขตเลือกตั้งที่ 6 ประกอบด้วยเขตราชเทวี เขตพญาไท และเขตจตุจักร (เฉพาะแขวงจตุจักร และแขวงจอมพล) แต่แพ้ให้กับนางภาดาท์ วรกานนท์ ผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐ ด้วยคะแนน 28,690 ต่อ 23,980 คะแนน หรือห่างกัน 4,710 คะแนน
ช่วงที่ประเทศไทยเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นายคริสได้ร่วมกับนายกุลเชษฐ วัฒนผล พี่ชายของนายกุลทรัพย์ วัฒนผล หรือ “อัพ VGB” เกมเมอร์ชื่อดังที่เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 เนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงการรักษาได้ทันเวลา จัดตั้งกลุ่มที่เรียกตัวเองว่ากลุ่มเส้นด้าย เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคโควิด-19 หรือประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่ประสบปัญหาการเดินทางอย่างปลอดภัยในการเข้ารับการตรวจรักษา แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่า อาสาสมัครกลุ่มเส้นด้ายส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นคนของพรรคก้าวไกล รวมทั้งกรณีที่หนึ่งในอาสาสมัครกลุ่มเส้นด้าย ซึ่งเป็นผู้สมัคร ส.ก. พรรคก้าวไกล ได้ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เข็มที่ 3 ก่อนบุคลากรทางการแพทย์
สำหรับข้อความเต็มที่นายคริสโพสต์มีดังนี้
"สวัสดีครับประชาชนที่รักทุกท่าน
วันสองวันนี้มีคนสอบถามผมเข้ามาเยอะว่า ผมยังเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลอยู่หรือไม่?
ผมเรียนถึงทุกท่านตามตรงว่า ผมมีความภูมิใจในการเป็นส่วนหนึ่งในพรรคนี้ไม่น้อยกว่าใคร
แต่ตัวผมก็ได้ลาออกจากสมาชิกพรรคก้าวไกลตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพราะเหตุผลสามประการ
1. ผมอยากจะทำการเมืองในพรรคที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ความเป็นประชาธิปไตยของพรรคยังห่างจากที่พรรคโฆษณาอีกมาก การที่ผมได้มาร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่กับคุณธนาธรเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2561 เพราะผมไม่ได้มาทำการเมืองเพื่อให้ใครได้เป็น ส.ส. หรือเพื่อให้ใครได้อำนาจ หรือมาทำการเมืองเพื่อผลักดันวาระทางการเมืองของใครบางคน
ผมอยากได้พรรคการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงคือพรรคการเมืองที่ประชาชนเป็นเจ้าของ
เวลาจากวันนั้นถึงวันผ่านมา 5 ปี
ต้องถามกลับไปที่ประชาชนผู้เป็นสมาชิกพรรค จำนวนกว่า 60,000 คน ว่าทราบบ้างหรือไม่ว่า
พรรคมีประชุมสามัญวันไหน พรรคมีการคัดเลือกผู้สมัคร ส.ส.กันอย่างไร กลไกในการคัดเลือกนโยบายที่จะหาเสียงในคราวนี้ คุณเคยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจหรือไม่? ใครจะได้เป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคในการเลือกตั้งครั้งนี้ คุณรู้หรือไม่?
ผมในฐานะที่เคยเป็นสมาชิกตลอดชีพทั้งพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล ตอบได้เลยว่า เรื่องทั้งหมดที่เป็นเรื่องที่สำคัญมากทั้งสิ้น ล้วนเป็นเรื่องของการตัดสินใจของคนกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้น ผมให้ชื่อเล่นกลุ่มนี้ว่า “โปลิตบูโร”
หากการบริหารพรรคยังเป็นอย่างนี้ หากพรรคก้าวไกลได้อำนาจในการบริหารประเทศ พรรคก้าวไกลจะบริหารประเทศอย่างไร ก็คงต้องอยู่ที่คนกลุ่มนี้ ไม่ได้อยู่สมาชิกพรรคแต่อย่างใด
เรื่องดีๆ ใครก็พูดได้ แต่ทำยาก ผมก็เข้าใจ มิฉะนั้น พรรคก้าวไกลในอนาคตคงจะมีชะตากรรมไม่ต่างจากพรรคการเมืองที่ดีแต่พูด (Hypocrital party)
เรื่องนี้ผมสะท้อนให้แกนนำฟัง ผมพูดในที่ประชุมใหญ่พรรคทุกปี พูดกับทุกคน คำตอบที่ได้มีเพียงแค่ “ขอเวลาหน่อย” “เรายุ่งมาก อดทนหน่อยนะ ทำให้แน่ๆ” “เลือกตั้งคราวหน้า เราทำแน่ๆ”
ฟังดีๆ มันคล้ายที่คุณประยุทธ์พูด “ขอเวลาอีกไม่นาน”
เรื่องนี้ผมรับรู้อย่างลึกซึ้งด้วยตัวเอง เมื่อเดือนที่ผ่านมา ผมสอบถามผ่านแกนนำว่า ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อจะจัดการอย่างไร
เป็นไปได้หรือไม่ที่ผมจะขยับไปลงส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เพราะมีโอกาสสูงมากที่เขตที่ผมลงรอบปี 62 (ราชเทวี พญาไท จตุจักร 2 แขวง) จะถูกแบ่งใหม่แยกเป็นสามส่วน และผมก็เชื่อว่า ความรู้ความสามารถของเราสามารถที่จะช่วยให้พรรคหาเสียงทั่วประเทศได้ เพราะ 2 ปีที่ผ่านมา การทำงานของผมและเพื่อนๆในกลุ่มเส้นด้ายลงไปทำงานกับชุมชนแออัดทั่วทุกเขตใน กทม. และในอีกหลายจังหวัดทั่วประเทศ จน ส.ก.ในกลุ่มของผมได้รับเลือกตั้งจำนวนมาก และเกือบชนะอีกจำนวนหนึ่ง
คำตอบที่ได้กลับมาคือ คุณจะมาเป็นได้ยังไง? คุณเหยียบย่ำหัวใจคนในพรรคขนาดนี้
ผมก็งงสิครับนี่มันเรื่องอะไร ผมไปเหยียบใครตอนไหน พอนั่งนึกก็ถึงบางอ้อ
- ผมคัดค้านการลงสมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครของ ส.ส.วิโรจน์ เพราะเห็นว่าตัวผู้สมัครของเราไม่ดีพอที่จะสู้กับผู้ว่าฯ ชัชชาติ
o ผลคือ พรรคก้าวไกลแพ้ต่อผู้ว่าฯ ชัชชาติชนิดคะแนนทิ้งกัน 2 แสนกับ 1.2 ล้านเสียง
- ผมคัดค้านการแต่งตั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อคนหนึ่งมาเป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งส.ส.ซ่อมเขตจตุจักร-หลักสี่ เพราะ ส.ส.บัญชีรายชื่อไม่มีทางที่จะเข้าใจการเลือกตั้งแบบเขต หากไม่เคยลงเลือกตั้งมาก่อน
o ผลคือ พรรคก้าวไกลแพ้ในเขตชนิดคะแนนทิ้งกันเกือบหมื่นคะแนน
- ผมคัดค้านการแต่งตั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อคนหนึ่งมาเป็นผู้อำนวยการเลือกตั้ง ส.ส.ในกรุงเทพมหานคร ปี 66 อีกครั้ง เพราะเรากำลังเอาคนที่ทำเลือกตั้งแพ้มาแล้วครั้งหนี่งมาคุมเลือกตั้งที่สำคัญกว่าและใหญ่กว่า
- ผมในฐานะอดีตประธานมูลนิธิเส้นด้ายแถลงข่าวกรณีที่อาสาของมูลนิธิเข้าไปช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศจากอดีต ส.ก.พรรคก้าวไกล
o ผลคือ ผมโดนถล่มจากสมาชิกพรรคว่า ไม่ปกป้องพรรค
ผมไม่เคยกลัวในการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง ไม่เคยกลัวในการกระทำที่เราคิดว่าถูกต้อง และที่ผ่านมา ผมพูดตรงๆ กับพรรคเสมอถึงความยุติธรรมในประเด็นต่าง เช่น การเกลี่ยทรัพยากรของ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ กับ ส.ส.เขต ความน้อยเนื้อต่ำใจของคนที่ลงพื้นที่เหล่านี้อยู่ในใจของผู้สมัครท้องถิ่น หรือผู้สมัคร ส.ส.เขตทุกคนแต่ไม่มีใครกล้าพูด แต่การที่ผมพูดกับแกนนำแบบนั้น มันทำให้ผมกลายเป็น
- ทำไมคุณถึงมีปัญหาตลอดเลย?
- ผมเป็นคนเลว เพราะผมต้องการแย่งเงิน แย่งทรัพยากรจาก ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ?
- ผมเป็นคนไม่จงรักภักดีกับพรรค?
วันที่ผมนั่งคุยกับแกนนำเรื่องการขยับไปลง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์
วันนั้นแกนนำท่านหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท เปรียบเทียบให้ผมฟังว่า
หากมีเซลส์ในบริษัท 2 คน คนแรกเป็นคนเก่ง คนฉลาด ยอดขายดีมากๆ แต่ต่อรองผลประโยชน์ตลอด กับอีกคนยอดขายครึ่งเดียวของคนแรก แต่จงรักภักดีมากๆ
เขาจะเลือกคนที่สอง
ผมก็เลยรู้แล้วว่า ชะตากรรมผมในพรรคนี้จะเป็นตายร้ายดีก็ขึ้นอยู่กับว่าผมจะพิสูจน์ความจงรักภักดีกับ “โปลิตบูโร” ได้หรือไม่?
แน่นอนนั่นคือวิธีการบริหารงานแบบหนึ่ง เรื่องนี้ไม่มีถูก ไม่มีผิด
แต่เมื่อคุณโฆษณากับประชาชนแล้วว่าคุณเป็นพรรคประชาธิปไตย พฤติกรรมของคุณต้องทำให้ได้ตามที่คุณพูด
ไม่งั้นจะกลายเป็นสำนวนไทย ข้างนอกสุกใส ข้างในตะติ๊งโหน่ง
2. ผมไม่เห็นด้วยกับนโยบายหลายประการของพรรคก้าวไกล
พรรคการเมืองอนาคตใหม่ที่ผมร่วมจัดตั้ง ผมฝันว่าพรรคจะเป็นสถาบันทางการเมืองที่เป็นเหมือนร่มคันใหญ่ ที่สามารถโอบรับได้กับความหลากหลายของสมาชิกพรรค ไม่ว่าจะเป็นความคิดการเมืองแบบฝั่งซ้าย ความคิดการเมืองแบบฝั่งขวา ความคิดเศรษฐกิจแบบเสรี ความคิดเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
วันแรกจุดร่วมของจุดใหญ่คือการไม่เอาเผด็จการ (เรื่องการแก้ไข 112 ในวันนั้นยังไม่ใช่วาระของพรรคด้วยซ้ำ) ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่เหลือ อ.ปิยบุตรยังเคยบอกผมตอนเถียงกับ อ.ษัษรัมย์ (ตอนนั้น อ.เสนอเรื่องรัฐสวัสดิการ แต่ผมเสนอว่าคำตอบน่าจะเป็นเศรษฐกิจแบบเสรีมากกว่า) เรื่องนโยบายเศรษฐกิจของพรรคว่า เดี๋ยวค่อยไปคุยกัน เมื่อเราทำภารกิจสำเร็จ ต่างฝ่ายค่อยแยกออกไปตั้งพรรคก็ได้
5 ปี เดินผ่านไป
วันนี้นโยบายของก้าวไกลหล่นลงมาจากฝากฟ้า หล่นลงมาจากห้องแอร์ ไม่ว่าคุณจะเรียกชื่อมันว่าอะไร
วันนี้หนึ่งในนโยบายหาเสียงที่สำคัญที่สุดของพรรคก้าวไกลคือ เงินบำนาญของคนที่อายุเกิน 60 ปี ถ้วนหน้าเดือนละ 3,000 บาท หากนโยบายนี้สำเร็จ รัฐบาลจะมีรายจ่ายจากแปดหมื่นกว่าล้าน เป็นสามแสนหกหมื่นล้านบาททันที
หากใช้นโยบายนี้ต่อไปอีก 10 ปี คนสูงอายุ 60 ปีขึ้นไปจะกลายเป็น 20 ล้านคน เราจะมีรายจ่ายประจำปีปีละ 6 แสนกว่าล้านบาท หรือเท่ากับประมาณ 20% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ประเทศไทยเตรียมรับความฉิบหายได้เลยครับ
วันนี้ถ้าไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ ถ้าผมอยู่ในพรรค ผมจะทำอย่างไรได้ครับ นอกจากเวลาใครพูดถึงนโยบายนี้ก็เงียบๆ แล้วกระซิบกับเขาว่า ผมไม่เห็นด้วยนะ
ที่ผ่านมาวัฒนธรรมของพรรคคือ ไม่เห็นด้วยอะไรก็คุยกันภายใน
เพราะถ้าผมพูด คนในพรรคก้าวไกลจำนวนมากที่ไม่สามารถแยกแยะได้ก็จะชี้หน้าคนที่คิดไม่เหมือนตนว่า ไม่มีอุดมการณ์ ไม่จงรักภักดีต่อพรรค
ผมคนหนึ่งที่คิดไม่เหมือนพรรคทั้งหมด จะมีทางไหนเป็นทางออกครับ
เมื่อระบบในพรรคเป็นแบบนี้ ผมซึ่งกำลังจะเสนอตัวลงเลือกตั้งในฐานะว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล
จึงไม่สามารถจะเป็นเซลส์ขายนโยบายของพรรคได้จริงๆ เพราะเราเป็นนักการเมือง เรามีความเชื่อของเรา เราไม่ใช่นักขายที่ไม่ว่าของจะดีหรือไม่ดี ก็ต้องโกหกประชาชน
บางคนบอกผมว่า อดทนอีกนิดเดียวเอง จะได้เป็น ส.ส.แล้ว
ถ้าผมได้เป็น ส.ส.แล้วผมต้องทรยศต่อตัวเอง ทรยศต่อประชาชน ผมไม่เป็นครับ
3. ผมไม่สามารถโกหกประชาชนได้
ครั้งนี้ผมจะลงเลือกตั้งรับสมัครเป็นส.ส.อีกครั้งหนึ่ง แต่ผมไม่สามารถลงเลือกตั้งกับพรรคก้าวไกลได้ เพราะถ้าผมชนะเลือกตั้ง มันก็เท่ากับผมโกหกประชาชน ผมพูดนโยบายที่ผมไม่เชื่อ ผมพูดถึงพรรคที่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการจัดการ ผมจะพูดถึงพรรคได้เต็มปากได้อย่างไร
พรรคบอกว่า พรรคเป็นพรรคของประชาชน แต่ตอนนี้พรรคกำลังจะกลายเป็น “พรรคพวก” คนที่ได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์จำนวนหนึ่งกำลังได้เป็นต่อในสมัยหน้า หาก “โปลิตบูโร” ถูกใจ ยังงั้นหรือ? หากพรรคจะเป็นพรรคของประชาชนจริงๆ พรรคต้องกล้าทำตามข้อเสนอ set zero ของ อ.ปิยบุตร พรรคต้องกล้าเปิดให้สมาชิกโหวตผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อทางตรงอย่างโปร่งใส เพื่อพิสูจน์กับประชาชน ว่านี่คือพรรคการเมืองสมาชิก เป็นพรรคการเมืองของประชาชน ไม่ใช่พรรคการเมืองของโปลิตบูโร ไม่ใช่พรรคการเมืองของ “พรรคพวก”
ผมย้ำอีกครั้งว่า การที่ผมลาออกจากพรรคก้าวไกล ไม่ใช่เพราะผมโกรธ หรือเกลียด หรือน้อยใจ แต่เป็นเพราะไม่เห็นด้วยกับการบริหารงานของพรรค ผมยังภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันประเด็นสังคมที่ผมเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประชาธิปไตย หรือเรื่องการเปิดใบอนุญาตสุรา ให้มาถึงจุดจุดนี้
แต่การลาออกของผมจะมีคุณูปการใดๆต่อการบริหารงานของพรรค หากพรรคไม่ปรับการบริหาร แทนที่พรรคก้าวไกลจะใหญ่ขึ้น พรรคจะเล็กลงเรื่อยๆ จนเหลือแต่ “เลือดแท้” แต่การเหลือแต่เลือดแท้จะมีประโยชน์อย่างไร หากเลือดแท้นั้นมีจำนวนน้อย และไม่มีเสียงพอที่จะผลักวาระของพรรคให้สำเร็จผ่านระบบรัฐสภา
ตลอดเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ผมขอขอบคุณอาจารย์ปิยบุตรที่ชวนผมเข้ามาทำงานทางการเมือง แม้ว่าอาจารย์จะชิงลาออกตัดหน้าผมไปก่อนก็ตาม ผมขอขอบคุณพี่เอก คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ได้ให้โอกาสเป็นหัวหน้าคณะทำงานนโยบายเศรษฐกิจที่พรรคอนาคตใหม่ ผมขอขอบคุณ เพื่อนๆทั้งในในพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกลและประชาชนที่ได้ร่วมเดินทางกันทุกๆ ท่าน
ถนนแห่งประชาธิปไตยไม่ได้มีทางเดียว
แล้วพบกันที่ปลายทาง
คริส โปตระนันทน์
8 กุมภาพันธ์ 2566"