ดรามาวงการครู หลังครูหนุ่งจากโรงเรียนย่านนราษฎร์บูรณะ โพสต์ข้อความประกาศลาออก ลั่น สุดทนกับระบบราชการ เจอครูโกงเงินลงโทษแค่ตัดเงินเดือน หลีกทางให้คนที่รับได้เข้ามาสานต่อ ตนขอไปตามฝันที่ต่างประเทศ
วันนี้ (21 ธ.ค.) ในโลกโซเลียลต่างแชร์เรื่องราวของครูหนุ่มรายหนึ่ง ที่ออกมาโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุเตรียมลาออกจากอาชีพครูเนื่องจากทนกับระบราชการไม่ไหว อีกทั้งยังเจอครูโกงเงินนักเรียนหลายหมื่นบาทสุดท้ายลงโทษแค่หักเงินเดือน 3 เดือนทั้งที่ควรจะไล่ออก โดยเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในโรงเรียนแห่งหนึ่งย่านราษฎร์บูรณะ ทั้งนี้ เจ้าตัวได้ระบุข้อความไว้ว่า
“อนุชิต ไม่เหมาะกับการเป็นข้าราชการครูแล้วครับ
(อ่านให้จบกันก่อนนะ ละจะเข้าใจอนุชิตมากขึ้นครับ)
เกือบ 7 ปีที่ได้ทำหน้าที่เป็นข้าราชการครู วันนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว
อนุชิต จะปฏิบัติหน้าที่ข้าราชการครู ณ ที่แห่งนี้ … อีกประมาณ 1 เดือนเท่านั้น
ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงนะ การตัดสินใจครั้งนี้ อนุชิตคิดมันมานานมาก คนสนิทชิดเชื้อ คนใกล้ตัว จะรู้ดีว่า อนุชิตอยากไปใช้ชีวิตอยู่ต่างแดนขนาดไหน
แต่ด้วยอะไรหลาย ๆ อย่าง จังหวะ โอกาส ไม่เป็นใจสักรอบ จนครั้งนี้
ทุกอย่างค่อนข้างปูทาง จบ ปโท ตามเวลาที่หวัง ขออนุญาตครอบครัวในการลาออกจากราชการก็สมหวัง ทำเอกสารยื่นวีซ่า ผลตรวจสุขภาพ จนกระทั่งการรอผลวีซ่า (แม้จะเป็นช่วงเวลา 1 เดือนที่ทรมาน) ทุกอย่างก็ราบรื่นหมด
คือ…อนุชิต ไม่สนุกกับการสอนหนังสือแล้วอะครับ ยิ่งช่วงปีนี้ เป็นปีที่กลับไปทบทวนตัวเองเวลาอยู่ห้องคนเดียวบ่อยมาก ว่า อืม เราไม่เหมือนเดิม เราไม่สนุกกับการสอน ไม่เหมือนก่อน เราไม่เอ็นจอยแล้ว
อีกทั้ง เหนื่อยหน่ายกับระบบ ที่ต้องก้มหัวทำตาม เรียกร้องอะไรเบา ๆ เขาก็แทบไม่สนใจ ต้องเล่นใหญ่ใจโตตลอด ทุกคนก็คงเห็นความแรงของเราเวลา complain โรงเรียนลงโซเซียล
เราเบื่อที่เราตั้งใจสอน เราพยายามสอน แต่ผลประเมินเงินเดือนครั้งนึง ของเราออกมาน้อยจนน่าเกลียด เราได้ 2.25% ซึ่งโครตแย่ บันทึกขอดูคะแนน ก็ไม่ให้ดู เหอะ ๆ ก็ได้แต่มานั่งคิดทบทวน บทบาทการเป็นครูของเรามันต่างกับคนที่ได้ 3.xx% ขนาดนั้นเชียวหรือ เราสอนไม่ดีขนาดนั้นเลยหรือ มันฝังใจเรามาก และมันก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราบอกตัวเองเสมอว่า ถ้ามีโอกาสลาออก เราจะออกเท่านั้น เราพอแล้วกับระบบนี้
แล้วเราก็เบื่อที่ต้อง make เอกสารต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแผนการสอน plc แผนพอเพียง pa วิจัย sar บลา ๆๆ เรารู้สึกว่าเสียเวลา และเปล่าประโยชน์ (เป็นความรู้สึกจากเราเองไม่เกี่ยวกับคนอื่นนะ)
ละก็ อีกอย่างที่เป็นจุดพีคสุด เราคิดว่าเป็นที่นิสัยของเรา ที่ไม่ชอบเห็นอะไรที่มันไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นในโรงเรียน เรื่องที่แรงมาก ๆ และฝังใจสุด ๆ คือวันที่เราจับโจรในคราบครู ได้ว่าโกงเงินนักเรียน 50,000 บาท ตอนนั้นเราทำเรื่องคนเดียวเงียบ ๆ มีคนให้การสนับสนุนเราเพียงแค่ไม่กี่คน และพอหลักฐานชัดเจน จับได้คาหนังคาเขา
มีคนคนนึง บอกว่าเราทำเกินไป เรากำลังจะฆ่าเขา เพียงแค่เราบีบมือเขาก็ตายคามือเราแล้ว คำถามที่เราถามกลับเขาไปคือ แล้วก่อนหน้านี้ที่เขาค่อย ๆ เอามีดบาดเราที่ละนิด ๆ แต่เราก็ทนพิษบาทแผลได้ ตอนนั้น ใครสนใจเราหรอ? แล้ว นร.ที่ถูกกระทำคุณไม่ห่วง ไม่เห็นใจ เขาบ้างหรอ?
ละความพีคสุดคือ โทษนางแค่ลดเงินเดือน 3 เดือนเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ควรโดนให้ออกจากราชการไหม?
ตอนนั้นช่วงที่ทำเรื่องคือแบบ เครียด เพราะเพื่อนรอบข้างที่รู้เรื่องก็กลัวชีวิตเราจะไม่ปลอดภัย ไม่โอเคสุด ๆ สุด แบบเออ ถึงขั้นส่งอีเมลไปให้เพื่อนสนิท บอกว่า ถ้าเกิดตายไปช่วยสานต่อเรื่องนี้ให้ด้วย เหอะ ๆ
สุดท้ายได้แต่มาน้่งบอกกับตัวเองว่า ขอเหอะ ขอวันนึง ทามมิ่งชีวิตสวย ๆ จะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับระบบ นี้อีกเลย พอแล้ว พอกันที
ก็นั้นแหละ ระบบที่มันไม่โอเค ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต ก็ขอถอยออกมาดีกว่า
จากที่มีความสุขกับการสอน มีความสุขเวลาอยู่กับนักเรียน เหลือแค่มีความสุขเวลาอยู่เล่นนอกเวลากับนักเรียนอย่างเดียว
ดังนั้น ควรเปิดทางให้คนที่ ”อยาก” จะเป็นข้าราชการครูจริง ๆ และยอมรับระบบนี้ได้ ได้เข้ามาเป็นครูแทนเราดีกว่า ส่วนตัวเราก็ไปเดินตามความฝันตามทางที่เราวางไว้
บายครับราชการครู
บายครับ …
ยื่นพรุ่งนี้ละ เย้!!!”