xs
xsm
sm
md
lg

“ชูวิทย์” หวั่นคดีกลุ่มทุนจีนเทาลงเอยแบบ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ที่ภายหลังจำเลยหลุดคดี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองคนดัง หวั่นคดีกลุ่มทุนจีนเทา หรือเครือข่าย แก๊งตู้ห่าวจะรอดคุก และลงเอยแบบ ทัวร์ศูนย์เหรียญ ที่ภายหลังจำเลยหลุดคดี และหันกลับมาฟ้องแหลก เผยตนเองเป็นผู้เปิดเกมมาเฟียจีนเทานี้จึงต้องเดินหน้าให้ถึงที่สุด เตรียมเข้าพบ “อัยการสูงสุด” เพื่อให้คดีอยู่ในร่องในรอยไม่ออกนอกลู่นอกทางตั้งแต่ต้นยันจบ

จากกรณีนโยบายเร่งกวาดล้าง "ธุรกิจจีนสีเทา" ที่ทำเป็นขบวนการเชื่อมโยงกับเครือข่ายที่ทำธุรกิจผิดกฎหมายทั้งที่อยู่ในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน และจากการขยายผล สามารถทลายเครือข่าย "แก๊งตู้ห่าว" (นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์) และจับกุมได้ พร้อมตรวจพบและยึดสิ่งผิดกฎหมายทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิดหนึ่งในนั้นคือ โครงการบ้านหรู "แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด สุขุมวิท ซอยแบริ่ง-ลาซาล" เนื้อที่ 47 ไร่ ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ เป็นโครงการบ้านหรู ราคาหลังละกว่า 50 ล้านบาท (เจ้าของโครงการคือ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในตระกูล "ชินวัตร") ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

วันนี้ (9 ธ.ค.) เฟซบุ๊ก “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” อดีตนักการเมืองคนดัง ได้ออกมาโพสต์ถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า “ตู้ห่าวรอดคุก? นายตู้ห่าวโดนคดียาเสพติด 3 ข้อหา สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ผู้นั้นสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ร่วมกันค้ายาเสพติด และร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย ศาลไม่ให้ประกันตัว อยู่ในเรือนจำ นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น คดียังอีกยาว สู้กันถึงฎีกา แต่หากหลุดชั้นอัยการ จบข่าว แตกกระเซ็นไปคนละทิศคนละทาง ในคดีนี้มีกลิ่นทะแม่งๆ โชยมาอย่างแรงตั้งแต่เริ่มต้น ผู้ต้องหาเป็นผู้มีอิทธิพล และมีเงินหนา ทำกันเป็นขบวนการ มีคอนเนกชันสูงเกี่ยวพันถึงคนมีอำนาจ

ประเทศไทยนั้น จาก “ดำ” มันแปรเปลี่ยนเป็น “ขาว” ให้เห็นกันมานักต่อนักแล้ว หากสำนวน “ดิ้นไปดิ้นมา” ไม่มีหลักยึดแน่นหนา จะหลุดเหมือนคดี “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ที่ “ศาลฎีกายกฟ้อง” แล้วจำเลยกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ หันกลับมาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติกันอุตลุด ตำรวจอาจเก่งเรื่อง "การสืบสวนจับกุม" แต่ “สำนวน” ไม่แม่นยำเหมือนนักกฎหมาย สำนวนจะโดนยำเละเป็น “โจ๊ก” ไปเสียฉิบตอนจบ ต้นเหตุเกิดจาก “คดีจินหลิง” มียาเสพติดนำเข้าจากต่างประเทศ มีซองประทับอักษรจีน เป็น “หัวใจสำคัญ” ที่ต้องถือว่าเป็น “คดีนอกราชอาณาจักร” และเป็น “อาชญากรรมข้ามชาติ” กฎหมายกำหนดให้ “อัยการสูงสุด” เป็น “หัวหน้าพนักงานสอบสวน” เพราะมีความเชี่ยวชาญกฎหมายมากกว่าตำรวจอย่าง สน.ยานนาวา ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญเหมือนกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด

เนื่องจากเป็นคดีเกี่ยวกับ “ยาเสพติด” และมีผู้เกี่ยวข้องจำนวนมาก เป็นคดีนอกราชอาณาจักร อัยการสูงสุดต้องมอบหมายให้ “อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน” เข้าร่วมควบคุมคดีให้สำนวนมีความรัดกุมมากขึ้น ประเด็นสำคัญคือ ต้องแจ้งข้อหา “ฟอกเงิน” กับตู้ห่าว ซึ่งทุกวันนี้ตำรวจยังไม่ได้แจ้งข้อหานี้แต่อย่างใด โดยกฎหมายฟอกเงินให้อำนาจไว้อย่างล้นเหลือ เอาแค่ “หายใจก็ผิดแล้ว” หากมีมูลฐานจากยาเสพติด การทำธุรกรรมโอนเงินระหว่างกันแม้เพียงครั้งเดียว โดนข้อหา “สมคบกันฟอกเงิน” ทันทีเลย พระเดชพระคุณเอ๋ย!

ในราย “พัชรินทร์” ที่มีหลักฐานการโอนเงินไปมากับ “ตู้ห่าว” จึงเข้าข้อหา “สมคบกันฟอกเงิน” อย่างแน่แท้แช่แป้ง แต่จนบัดนี้ พัชรินทร์ยังเดินเข้าเดินออกสบายใจเฉิบ ฉุยฉายพบตำรวจพร้อมทนายความ โดยตำรวจได้แต่มองตาปริบๆ ไม่ได้แจ้งข้อหา “สมคบฟอกเงิน” แต่อย่างใด มันเป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่มีในประเทศไทยเท่านั้น ท่านรอง “บิ๊กโจ๊ก” ยืนยันหนักแน่นว่า “เอาอยู่ เอาอยู่” แต่สายจาก “อัยการอาวุโส” กระซิบลอยลมหนาวมาว่า “หลุดแน่ หลุดแน่” หากไม่แจ้งข้อหาตามกฎหมาย “ฟอกเงิน” ที่มีอำนาจครอบจักรวาล เป็นรอดแน่นอน แม้ว่าพรุ่งนี้จะมีการสนธิกำลังระหว่างตำรวจ ป.ป.ส. และ “ชุดพาลีปราบยา” จากกระทรวงยุติธรรม บุกยึดอายัดทรัพย์สินที่เป็นหัวใจของตู้ห่าว คือโรงแรมหรู ดีวาลักซ์ ขนาดเกือบ 400 ห้อง ย่านลาดกระบัง

แต่ผมเกรงว่าจะลงเอยแบบ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ที่ภายหลังจำเลยหลุดคดี และหันกลับมาฟ้องแหลกหน้าแหกหมอไม่รับเย็บ พรุ่งนี้ผมในฐานะ “ผู้เปิดเกมมาเฟียจีนเทา” จึงต้องเดินหน้าไปพบ “อัยการสูงสุด” ท่านนารี ตัณฑเสถียร เวลา 10 โมง เพื่อให้คดีที่สังคมสนใจ ผู้ต้องหามีอิทธิพลสูง และมียาเสพติดนำเข้าจากจีน ให้เป็นคดีนอกราชอาณาจักร และเป็นอาชญกรรมข้ามชาติ ตามกฎหมายทุกกระเบียดนิ้ว อันจะเป็น “คดีตัวอย่าง” เพื่อให้สังคมได้เห็นถึงการต่อสู้ของคนไทยอย่างผมที่ต้องรอบจัด ทันเล่ห์เหลี่ยม อ่านกฎหมายรู้ ดูกฎหมายเป็น เข้าถึงหัวใจของกระบวนการกฎหมาย

ผมเคยย้ำยืนยันแล้วว่า “งานนี้ใครวิ่ง ใครเคลียร์ ใครไม่เอาจริง ต้องถึงกาลวิบัติไปกับผม” นึกไม่ถึงว่าเรื่องมันจะยาวถึงเพียงนี้ กับการเป็น “พลเมืองดี” เพราะนอกจากให้ข้อมูลแล้ว ยังต้องต่อสู้ให้คดีอยู่ในร่องในรอย ไม่ออกนอกลู่นอกทางตั้งแต่ต้นยันจบ งานนี้ “คมเฉือนคม” ใครไม่ระวัง บาดลึกทะลุหัวใจ”

คลิกโพสต์ต้นฉบับ


กำลังโหลดความคิดเห็น