xs
xsm
sm
md
lg

สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ร่วมกับ โรช ไทยแลนด์ ลงนาม MOU การดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งที่บ้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ร่วมกับ โรช ไทยแลนด์ ลงนาม MOU การดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งที่บ้านแบบไร้รอยต่อ ยกระดับระบบสุขภาพไทย เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น
27 ตุลาคม 2565, กรุงเทพฯ - สถาบันมะเร็งแห่งชาติ และ โรช ไทยแลนด์ ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการ การดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งอย่างต่อเนื่องที่บ้าน (Continuum of Personal Home-based Cancer Care) โดยมี นายแพทย์ สกานต์ บุนนาค ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งฯ ลงนามร่วมกับ มร.ฟาริด บิดโกลิ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โรช ไทยแลนด์ เมียนมา กัมพูชา และลาว เพื่อนำร่องความร่วมมือในการดูแลระบบสุขภาพไทยอย่างไร้รอยต่อ

โครงการการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งอย่างต่อเนื่องที่บ้าน มีวัตถุประสงค์เพื่อรับมือกับอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 และปัญหาการกระจุกตัวของการบริการในระบบสาธารณสุข ดังนั้น ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในการปรับรูปแบบการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งจากภายในโรงพยาบาล (hospital-based) ไปสู่ที่บ้านของผู้ป่วยแต่ละราย (personal home-based) ย่อมส่งผลดีหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น ลดความแออัดในโรงพยาบาล ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางของผู้ป่วยและผู้ดูแล ลดความเสี่ยงที่ผู้ป่วยมะเร็งซึ่งมีภูมิคุ้มกันต่ำอาจสัมผัสหรือติดเชื้อ สร้างความต่อเนื่องของการได้รับยาตามนัดหมาย รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรของระบบสาธารณสุข ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเริ่มที่ “โรคมะเร็ง” เนื่องจากก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและผลิตภาพของประเทศ

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่กินเวลานานกว่าสองปี ทำให้ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ต้องปรับปรุงแนวปฏิบัติแบบใหม่ เพื่อให้ระบบดูแลสุขภาพและบุคลากรทางการแพทย์ยังคงสามารถดูแลและรักษาผู้ป่วยโรคต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “โรคมะเร็ง” ซึ่งจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องได้พบแพทย์และรับยาตามรอบนัดหมาย ด้วยเหตุนี้ สมาคมโรคมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา (American Society of Clinical Oncology) จึงได้ออกคำแนะนำในการบริหารจัดการผู้ป่วยมะเร็งในสถานการณ์โควิด เช่น การประเมินอาการผู้ป่วยก่อนการทำนัด การลดการเข้ามาใช้บริการในโรงพยาบาล รวมถึงการใช้เทคโนโลยีในการดูแลและติดตามอาการผู้ป่วยโรคมะเร็ง และการให้ยาอย่างต่อเนื่องในรูปแบบการบริการที่บ้าน เพื่อลดความล่าช้าในการให้การรักษา ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการควบคุมการดำเนินของโรคและอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยมะเร็ง

สำหรับในประเทศไทย คำแนะนำข้างต้นยังสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของกรมการแพทย์ ทั้งนี้ นายแพทย์ สกานต์ บุนนาค ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งฯ กล่าวว่า กรมการแพทย์โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติเป็นหนึ่งในหน่วยงานหลักในการดูแลสุขภาพด้านโรคมะเร็งของประชาชนไทย และร่วมกับภาคีต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาเรื่อง “มะเร็ง” ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่ง ที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 ก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งต่อชีวิตและความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ประกอบกับปัญหาการกระจุกตัวของการบริการระบบสาธารณสุข ส่งผลให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งต้องเดินทางเข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลขนาดใหญ่เช่นโรงเรียนแพทย์หรือสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ก่อให้เกิดความแออัดในโรงพยาบาลและภาระค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางของผู้ป่วย

ข้อมูลจากรายงานสำรวจเวลาที่ใช้อยู่ในโรงพยาบาล พบว่าผู้ป่วยมะเร็งที่เป็นผู้ป่วยนอกต้องใช้เวลาเฉลี่ยอย่างน้อย 5 ชั่วโมงขึ้นไปต่อการมาพบแพทย์และรอรับยากลับบ้านในแต่ละครั้ง นอกจากระยะเวลาและผลิตผลในการทำงานที่ผู้ป่วยต้องเสียไปแล้ว ผู้ป่วยมะเร็งจำนวนมากยังมีความกังวลต่อการสัมผัสกับเชื้อต่างๆ ระหว่างเดินทางหรือภายในโรงพยาบาล เพราะมีภูมิคุ้มกันต่ำ มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย

สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ในฐานะหน่วยงานของรัฐที่มีพันธกิจในการพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยีด้านโรคมะเร็งเพื่อมอบบริการทางการแพทย์ในรูปแบบใหม่ๆ ที่เหมาะสมกับผู้ป่วยมะเร็ง ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ป่วยที่ต้องการการดูแลและได้รับยาอย่างต่อเนื่อง มีโอกาสเข้าถึงการดูแลสุขภาพแบบครบวงจรอย่างไร้รอยต่อ โดยแสวงหาแนวทางปรับรูปแบบการบริการจากภายในโรงพยาบาล (hospital-based medical service) ไปสู่การดูแลรักษาที่บ้านของผู้ป่วยแต่ละคน (personal home-based medical service)

สถาบันมะเร็งฯ จึงมีความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือในโครงการการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งอย่างต่อเนื่องที่บ้าน (The Continuum of Personal Home-based Cancer Care) ดังเช่นที่เคยร่วมมือในโครงการให้ยาเคมีบำบัดทางหลอดเลือดดำส่วนกลางที่บ้าน ซึ่งนำร่องไปก่อนหน้านี้แล้ว

บันทึกข้อตกลงความร่วมมือครั้งนี้ยังได้รับความมีส่วนร่วมจากภาคเอกชน โรช ไทยแลนด์ ที่สนับสนุนองค์ความรู้จากการดำเนินงานในประเทศสิงคโปร์และด้านการวางระบบขนส่ง (logistics) เพื่อให้การจัดเตรียมยาและเดินทางไปยังบ้านของผู้ป่วยแต่ละรายเกิดขึ้นได้จริงภายใต้บริบทของระบบสาธารณสุขไทย โดยจะเน้นไปที่การปรับบริการทางการแพทย์จากโรงพยาบาล (hospital-based) ไปสู่การดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งอย่างต่อเนื่องที่บ้าน ( Personal home-based) อย่างไร้รอยต่อ เพื่อกระจายการให้บริการทางการแพทย์และการให้ยาแก่ผู้ป่วยมะเร็ง ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่จำเป็นอย่างต่อเนื่อง ณ สถานที่ของผู้ป่วย
ทั้งนี้ สถาบันมะเร็งแห่งชาติได้เตรียมความพร้อมในการจัดบริการนำร่องนี้ โดยเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ และหน่วยงานภาคเอกชน ซึ่งต่างก็มีบทบาทและความมุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งให้ดีขึ้น เพราะผู้ป่วยมะเร็งนอกจากจะต้องทนต่อความทุกข์ทรมานจากโรคแล้ว ยังต้องแบกรับความกังวลใจอีกมาก เช่น การเดินทางเข้ามารับบริการภายในโรงพยาบาล การพึ่งพาลูกหลานที่อาจต้องขาดงานมาดูแล จนบางครั้งผู้ป่วยมะเร็งอาจไม่สามารถเข้ารับการรักษาได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การพยากรณ์ของโรคแย่ลง

การลงนามบันทึกข้อตกลงวันนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่ความเปลี่ยนแปลงด้านการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งไปสู่รูปแบบใหม่และสามารถขยายรูปแบบบริการได้ในอนาคต เพื่อช่วยลดภาระการเดินทางของผู้ป่วย ลดระยะเวลารอคอยในโรงพยาบาล ลดความแออัดในโรงพยาบาล และเพิ่มความพึงพอใจทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการ ดังนั้น ความร่วมมือที่จะผลักดันการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งให้เกิดขึ้นที่บ้านของผู้ป่วยแต่ละรายนั้น จึงถือเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งให้ดียิ่งขึ้น”

ด้านการดำเนินงานโครงการการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งอย่างต่อเนื่องที่บ้าน แพทย์หญิง แทนชนก รัตนจารุศิริ กลุ่มงานเคมีบำบัด สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ให้ข้อมูลว่า “โครงการการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งอย่างต่อเนื่องที่บ้าน เป็นโครงการที่ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของผู้ป่วย โดยจะเริ่มนำร่องกับผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ที่อยู่ในความดูแลของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ และอาจขยายผลไปยังมะเร็งชนิดอื่นๆ ได้ หากมีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์และสมัครใจเข้าร่วมโครงการ คาดว่าโครงการจะเริ่มดำเนินการได้ราวเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2565 และจะมีผู้ป่วยมะเร็งประมาณ 15-20 รายจากโครงการนำร่องนี้ เมื่อศึกษาความเป็นไปได้และประโยชน์ของโครงการต่อระบบสาธารณสุขแล้วอาจมีการพิจารณาขยายขอบเขตและปรับปรุงวิธีการให้บริการในลำดับถัดไป

ตัวแทนจากภาคเอกชนที่ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ มร.ฟาริด บิดโกลิ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โรช ไทยแลนด์ เมียนมา กัมพูชา และลาว กล่าวว่า “โรช ไทยแลนด์ ภูมิใจที่ได้นำประสบการณ์การดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งที่บ้านอย่างไร้รอยต่อจากแพทย์และพยาบาลจากในประเทศสิงคโปร์ มาถ่ายทอดให้สถาบันมะเร็งแห่งชาตินำไปประยุกต์ใช้ให้เข้ากับบริบทของระบบดูแลสุขภาพในประเทศไทย เรามุ่งมั่นที่จะให้ความร่วมมือด้านการวางระบบขนส่ง (logistics) เพื่อให้การจัดเตรียมยาและเดินทางไปยังบ้านของผู้ป่วยแต่ละรายเกิดขึ้นได้จริง โดยในอนาคตเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการดำเนินงานของระบบดูแลสุขภาพของประเทศไทยจะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมีโอกาสเข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพ คลายความกังวลใจด้านต่างๆ และมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น”

นอกจากนี้ คุณขนิษฐา เรืองศรี ผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ระยะที่ 2 ยังมีโอกาสเข้ากิจกรรมเสวนา ในหัวข้อ “ความหวังที่เป็นจริงของผู้ป่วยโรคมะเร็งกับการรักษาที่บ้าน” ซึ่งจัดขึ้นภายหลังการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ และได้แบ่งปันประสบการณ์การรักษามะเร็งเต้านม “ได้รับการตรวจวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านมเมื่อเดือนตุลาคม ปี พ.ศ. 2564 จากนั้นก็เริ่มเข้าสู่กระบวนการรักษาในเดือนพฤศจิกายน ปีเดียวกัน ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ตามสิทธิสวัสดิการการรักษาพยาบาลของข้าราชการ ปัจจุบันนี้จึงอาศัยอยู่กับลูกอีก 1 คน วันไหนที่แพทย์นัดเข้าไปรับยาที่โรงพยาบาลก็ต้องออกจากบ้านก่อน 05.30 น.โดยเรียกแท็กซี่ไป ซึ่งก็มีค่าใช้จ่ายที่ต้องแบกรับ หรือถ้าช่วงไหนไม่ค่อยมีเงิน ก็ต้องนั่งรถเมล์หรือมอเตอร์ไซค์ไปแทน ทุกครั้งหลังจากที่ต้องไปรับยาที่โรงพยาบาล จะรู้สึกอ่อนเพลียเป็นอย่างมาก ซ้ำยังต้องอดทนกับความหนาแน่นของการจราจรบนท้องถนน และความกังวลว่าอาจจะติดเชื้อมาจากที่โรงพยาบาล ดังนั้น เมื่อได้ยินข่าวว่าในอนาคตอันใกล้นี้จะมีโครงการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็งที่บ้าน ในฐานะผู้ป่วยคนหนึ่งก็รู้สึกว่าคลายความกังวลลงไปได้มาก และทำให้มีกำลังใจในการต่อสู้กับโรคร้ายนี้ยิ่งขึ้น”














กำลังโหลดความคิดเห็น