ดร.รุจิระ บุนนาค อาจารย์พิเศษ นักวิชาการ และนักกฎหมาย โพสต์ข้อความชื่นชม "กสทช." ปมไฟเขียวควบรวมทรู-ดีแทค ยันมาถูกทางแล้ว มั่นใจ "กสทช." จะออกมาตรการหรือเงื่อนไขการควบรวมได้
จากกรณี กสทช.พิจารณาการรวมธุรกิจระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กับบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) โดยกรณีการรวมธุรกิจดังกล่าวเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและมีผลกระทบต่อสาธารณะ กสทช.ทุกท่านจึงได้ใช้เวลาในการศึกษาข้อมูลทุกด้านอย่างละเอียดรอบคอบ โดยที่ประชุม กสทช.ได้มีการหารือ อภิปราย รวมถึงแสดงความคิดเห็นในการพิจารณาร่วมกันในทุกๆ ด้าน โดยใช้เวลาในการประชุมประมาณ 11 ชั่วโมง
ล่าสุดวันนี้ (21 ต.ค.) ดร.รุจิระ บุนนาค อาจารย์พิเศษ นักวิชาการ และนักกฎหมาย ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อกรณีการควบรวมทรู-ดีแทค โดยกล่าวว่า "กสทช." มาถูกทางที่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง และสอดคล้องตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา
ทั้งนี้เพราะการควบรวมทรู-ดีแทค เป็นการที่สองบริษัทควบรวมกันและเกิดเป็นบริษัทใหม่ (A+B=C) ซึ่งเป็นกรณีที่เรียกว่า Amalgamation ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเข้าไปมีอำนาจ Take Over หรือควบคุมในผู้รับใบอนุญาตอีกฝ่าย แต่เป็นการควบรวมกันและเกิดเป็นบริษัทใหม่ ตามประกาศจึงไม่ได้กำหนดให้ "กสทช." มีอำนาจอนุญาตหรือไม่อนุญาต แต่ยังคงมีอำนาจในการกำหนดมาตรการเฉพาะเพื่อประโยชน์สาธารณะ
ดังนั้นจึงต้องยึดตามประกาศของ "กสทช." ปี 2561 ซึ่งระบุไว้ชัดเจนว่า "กสทช." ไม่มีอำนาจพิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาตการรวบกิจการ แต่มีอำนาจกำหนดเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะ เพื่อป้องกันความเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะ สอดคล้องกับผลการศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ "กสทช." ได้ให้ศึกษาวิจัยในเรื่องนี้ และข้อสรุปของ คณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้ความเห็นและให้คำปรึกษาทางกฎหมายแก่รัฐบาลและหน่วยงานทางราชการ ทั้งสองหน่วยงานมีบทสรุปที่สอดคล้องกันว่า "กสทช." ต้องพิจารณาตามประกาศของ "กสทช." พ.ศ. 2561 ดังนั้น "กสทช." จึงมีหน้าที่รับทราบเพียงเท่านั้น แต่ไม่ได้มีอำนาจว่าจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตควบรวม
ทั้งนี้ต้องขอชื่นชมประธาน "กสทช." ที่มีภาวะผู้นำสูง กล้าตัดสินใจชี้ขาด ให้เดินตามกฎหมายประกาศปี 2561 และไม่เลือกปฏิบัติ จึงถือเป็นทางออกที่ถูกต้อง
"ต้องยอมรับว่าประธานบอร์ดมีภาวะผู้นำสูงมาก กล้าตัดสินใจในเรื่องยากที่สังคมจับจ้องและมีธงไว้อยู่แล้ว ถือว่าประธาน บอร์ด "กสทช." ได้นำพาคณะกรรมการ "กสทช." ให้ทำหน้าที่ถูกต้องตามที่กฎหมายบัญญัติ ทั้งนี้ เพราะ กสทช.เป็นองค์กรอิสระที่อยู่ภายใต้กฎหมาย และคณะกรรมการ "กสทช." ก็ถือเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ จึงถูกควบคุมโดยกฎหมายนี้
ตามมาตรา 172 ที่ระบุว่า เจ้าพนักงานของรัฐผู้ใดปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ อย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวังโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ อาจจะรวมไปถึงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ที่ได้กำหนดความผิดไว้เช่นกันด้วย โดยบอร์ด "กสทช." ชุดนี้แตกต่างกับที่ผ่านมา ตรงที่ไม่มีนักกฎหมายถูกเลือกเข้ามาเป็นบอร์ด "กสทช." เลย จึงไม่มีผู้ที่คอยชี้นำแนวทางที่ถูกต้องตามหลักกฎหมาย โดยเฉพาะในเรื่องควบรวมนี้ ที่การพิจารณาประเด็นด้านข้อกฎหมายซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญมาก"
ตามประกาศปี 2561 ไม่ได้ปิดกั้นอำนาจของ "กสทช." เพราะ "กสทช." สามารถพิจารณากำหนดเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะมาบังคับใช้ เพื่อป้องกันความเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะได้ ซึ่งมั่นใจว่า "กสทช." จะออกมาตรการหรือเงื่อนไขที่ทำให้เดินหน้าต่อไปได้ ทั้งในด้านการคุ้มครองผู้บริโภคและการพัฒนาภาคโทรคมนาคมไทยให้ก้าวหน้า