รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้คำแนะนำ 5 ข้อเกี่ยวกับการใช้ชีวิตหลังปรับเปลี่ยน "โควิด" เป็นแค่โรคเฝ้าระวัง ชี้ติดเชื้อยังต้องกักตัวเอง 14 วัน อัปเดตข่าวสาร เป็นแล้วเป็นได้อีก และอย่าประมาท
จากกรณีกระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศ 2 ฉบับ ซึ่งได้เผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 20 ก.ย. 65 ประกอบด้วย 1. ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ชื่อและอาการสำคัญของโรคติดต่ออันตราย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2563 พ.ศ. 2565 และ 2. ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ชื่อและอาการสำคัญของโรคติดต่อ ที่ต้องเฝ้าระวัง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2565 โดยประกาศทั้ง 2 ฉบับจะมีผลยกเลิกโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ "โควิด" จาก โรคติดต่ออันตราย แล้วกำหนดให้เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 65 เป็นต้นไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 29 ก.ย. รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัวตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2565 หลังยกเลิก "โควิด" จากโรคติดต่ออันตราย แล้วกำหนดให้เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง โดย "หมอธีระ" ได้ระบุข้อความว่า
"คำแนะนำในการปฏิบัติตัวตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2565
1. ติดเชื้อแล้วยังควรแยกตัวจากผู้อื่น ด้วยหลักฐานทางการแพทย์จากการวิจัยทั้งจากสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ หากติดเชื้อ และกักตัว 5 วัน มีโอกาสที่จะแพร่เชื้อได้อยู่ 50-75% 7 วัน 25-30% 10 วัน 10% 14 วัน ก็จะปลอดภัย หาก "ไม่แยกตัว" ไม่ว่าจะไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยก็แล้วแต่ ย่อมเสี่ยงที่จะแพร่เชื้อให้แก่ผู้อื่นได้มาก แม้จะใส่หน้ากากก็ป้องกันได้เพียงบางส่วนเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานพยาบาล สถานศึกษา สถานที่ดูแลเด็ก/ผู้สูงอายุ รวมถึงสถานบริการที่มีการให้บริการดูแลผู้คนจำนวนมาก ความเสี่ยงจะสูงมาก และนำไปสู่ความสูญเสียได้มากเป็นเงาตามตัว
การตรวจคัดกรองคนไข้ที่นอน รพ.ยังมีความสำคัญ เพราะหากติดเชื้อจะแพร่กันได้มาก และโรคโควิด-19 จะทำให้โรคร่วมที่มีอยู่แย่ลงได้ นำไปสู่ความสูญเสียได้ดังรายงานจากกระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์
ทุกสถานที่ทำงาน นายจ้างและลูกจ้างควรปรึกษาหารือ วางแผนการทำงาน เพื่อที่จะสามารถแยกตัวจากคนอื่นได้ เพื่อปกป้องสวัสดิภาพและความปลอดภัยทั้งต่อเพื่อนร่วมงาน และลูกค้า ทางที่เป็นไปได้และเหมาะสมคือ "แยกตัว 7-10 วัน หรือจนกว่าจะไม่มีอาการและตรวจ ATK ซ้ำแล้วได้ผลลบ" จากนั้นจึงค่อยมาทำงานหรือใช้ชีวิต โดยป้องกันตัวเคร่งครัดจนครบ 14 วัน ที่ทำงานควรช่วยกันปรับสภาพแวดล้อมในการทำงานของตนเองให้มีการถ่ายเทอากาศ ระมัดระวังการรับประทานอาหารร่วมกัน และรณรงค์ให้ใส่หน้ากากอย่างถูกต้องสม่ำเสมอ
2. หมั่นอัปเดตข้อมูลให้รู้เท่าทันสถานการณ์ระบาดทั่วโลก เพื่อที่จะได้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้ทันท่วงที
3. หาความรู้ที่ทันสมัย ทั้งเรื่องวัคซีน ยา และเรื่องโรค โดยรับข่าวสารจากต่างประเทศและแหล่งความรู้ที่น่าเชื่อถือ ระบุที่มา และตรวจสอบได้
4. ตระหนักถึงความจริงว่า โรคโควิด-19 ยังระบาดทั่วโลก แม้เป็นขาลง แต่ยังไม่สิ้นสุด และมีโอกาสปะทุซ้ำได้
ขอให้จดจำบทเรียนยามวิกฤตในรอบปีกว่าที่ผ่านมาว่าเกิดอะไรขึ้น และเพราะเหตุใดบ้าง
ใครที่เคยติดเชื้อมาก่อน ก็ควรป้องกันไม่ให้ติดซ้ำ และหมั่นประเมินสุขภาพของตนเองอย่างสม่ำเสมอ หากมีอาการผิดปกติสงสัย Long COVID ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและให้การดูแลรักษา
5. ใช้ชีวิตอย่างมีสติ ป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอเป็นกิจวัตร ล้างมือหลังหยิบจับของสาธารณะ เว้นระยะห่างจากคนอื่น และ "ใส่หน้ากาก" อย่างถูกต้องเมื่อออกไปใช้ชีวิตนอกบ้าน ไม่ว่าจะไปเรียน ไปทำงาน หรือไปท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจก็ตาม
ขอให้มีสวัสดิภาพและปลอดภัยไปด้วยกันครับ..."