xs
xsm
sm
md
lg

จากเมืองจีนมาปลูกผักปลูกพลูเมืองไทย ได้เป็นเจ้าเมือง! ทายาทเป็นประธานองคมนตรี ร.๙!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: โรม บุนนาค


ตั้วแป๊ะ เหยี่ยง แซ่เฮา
เมื่อราว พ.ศ.๒๒๙๓ สมัยกรุงศรีอยุธยา รัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มีชาวจีนคนหนึ่ง อายุ ๓๔ ปี ชื่อ เหยี่ยง แซ่เฮา ได้อพยพจากเมืองเอ้หมึง มณฑลฮกเกี้ยน มาตั้งรกรากที่เมืองสงขลา เริ่มอาชีพด้วยการทำสวนผักและปลูกพลูในบริเวณที่เคยเป็นวังเก่าของสุลต่านสุไลมานที่อพยพมาจากเปอร์เซียซึ่งถูกทอดทิ้งเป็นที่รกร้าง ต่อมาได้ขยายไปทำประมงดักโพงพางในทะเลสาบสงขลา และย้ายไปตั้งบ้านเรือนที่แหลมสน มีฐานะมั่งคั่งขึ้น ชาวบ้านเรียกกันว่า ตั้วแป๊ะ

ในปี ๒๓๑๒ พระเจ้าตากสินยกทัพลงใต้ไปปราบก๊กเจ้าพระยานคร เมื่อเสด็จไปถึงสงขลา ตั้วแป๊ะก็เข้าเฝ้าพร้อมบัญชีทรัพย์สินของตนและบุตรธิดา รวมข้าทาสทั้งหมด กับยาแดง หรือเส้นยาสูบอีก ๕๐หีบถวาย พระเจ้าตากสินรับไว้แต่ยาแดง ๕๐ หีบ นอกนั้นคืนให้ตั้วแป๊ะ พร้อมกับแต่งตั้งให้เป็น หลวงอินทคีรีสมบัติ นายอากรรังนกเกาะสี่เกาะห้า 

ปี พ.ศ.๒๓๑๘ หลวงอินทคีรีฯได้คุมเงินอากรรังนกกับสิ่งของต่างๆเข้ามาถวายพระเจ้าตากสินที่กรุงธนบุรี พระเจ้าตากรับสั่งว่า บุคคลผู้นี้เป็นข้าหลวงเดิม สวามิภักดิ์มาช้านาน ควรจะชุบเลี้ยงให้เป็นเจ้าเมืองได้ และทรงเห็นว่านายโยมที่เป็นพระสงขลา ไม่มีความสามารถในการทำราชการ จึงให้ถอดเสียจากตำแหน่งเจ้าเมืองสงขลา แล้วทรงแต่งตั้งหลวงอินทคีรีสมบัติ เป็น หลวงสุวรรณคีรีสมบัติ ตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองสงขลา

หลวงสุวรรณคีรีสมบัติ (เหยี่ยง) มีภรรยาเป็นคนพัทลุง มีบุตร ๕ คน คือ บุญหุ้ย บุญเฮี้ยว บุญชิ้น เถี้ยนเส้ง และยกเส้ง ต่อมาได้เสียชีวิตด้วยโรคชราเมื่ออายุได้ ๖๘ ปี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้บุญหุ้ย บุตรชายคนโต เป็น หลวงสุวรรณคีรีสมัติ เจ้าเมืองสงขลาแทน

ในปี พ.ศ.๒๓๒๙ พม่าเข้ามาตีเมืองนครศรีธรรมราช และพระยาตานีเป็นกบฏ โปรดให้กรมพระราชวังบวรเป็นแม่ทัพไปปราบปราม หลวงสุวรรณคีรีสมบัติ (บุญหุ้ย) และน้องชาย ได้ร่วมกันปราบกบฏพระยาตานี และนำปืน “นางพญาตานี” มาไว้ที่หน้ากระทรวงกลาโหมจนถึงปัจจุบัน ทรงโปรดเกล้าฯปูนบำเหน็จให้

๑.หลวงสุวรรณคีรีสมบัติ (บุญหุ้ย) ผู้ว่าราชการเมืองสงขลา เป็น พระยาสุวรรณคีรีสมบัติ
๒.บุญเฮี้ยว น้องชาย เป็น พระอนันตสมบัติ
๓.บุญชิ้น น้องชาย เป็น พระพิเรนทรภักดี
๔.เถี้ยนเส้ง น้องชาย เป็น พระสุนทรนุรักษ์

ในปี พ.ศ.๒๓๓๔ แขกอาหรับชื่อ โต๊สาเหยด ตั้งตัวเป็นผู้วิเศษ ได้มาชวนพระยาตานีเป็นกบฏ ยกพวกมาตีเมืองสงขลา พระยาสุวรรณคีรีฯปราบกบฏรักษาเมืองไว้ได้ จึงทรงยกตำบลตะพงและตำบลการำ ชายแดนไทรบุรี มาอยู่ในเขตแดนสงขลา และทรงโปรดเกล้าฯพระยาสุวรรณคีรีสมบัติ (บุญหุ้ย) ขึ้นเป็น เจ้าพระยาอินทคีรีศรีสมุทรสงคราม นับเป็นเจ้าเมืองสงขลาคนแรกที่ได้เป็นเจ้าพระยา พร้อมกับยกเมืองไทรบุรี เมืองตานี เมืองตรังกานู มาขึ้นกับสงขลา และให้สงขลาเป็นเมืองเอกขึ้นกับกรุงเทพฯโดยตรง ไม่ต้องขึ้นกับนครศรีธรรมราชอย่างแต่ก่อน

ในปี ๒๓๕๔ เจ้าพระยาอินทคีรีศรีมหาสมุทร ถึงแก่กรรม ไม่มีบุตรสืบสกุล พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ หลวงฤทธิ์นายเวร (เถี้ยนจ๋ง) บุตรชายคนโตของพระอนันตสมบัติ (บุญเฮี้ยว) ซึ่งเข้ามารับราชการเป็นมหาดเล็กตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ ออกไปเป็นเจ้าเมืองสงขลาคนที่ ๓ ของตระกูลนี้ มีบรรดาศักดิ์เป็น พระยาวิเศษภักดี

ในปี ๒๓๖๐ พระยาวิเศษภักดี (เถี้ยนจ๋ง) และน้องชายคนรอง คือ พระพิเรนทรภักดี (บุญซิ้น) ซึ่งขึ้นเป็น พระยาศรีสมบัติ ได้ถึงแก่กรรมทั้ง ๒ คน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯจึงโปรดเกล้าฯให้พระสุนทรนุรักษ์ (เถี้ยนเส็ง) เป็น พระยาวิเชียรคีรี ผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลาคนที่ ๔ ในสายตระกูลตั้วแป๊ะเหยียง และโปรดเกล้าฯให้นายพลพ่าย (บุญสังข์) บุตรชายพระยาศรีสมบัติ (บุญชิ้น) เป็นหลวงสุนทรนุรักษ์ ผู้ช่วยราชการเมืองสงขลา

พระยาวิเชียรคีรี (เถี้ยนเส็ง) เจ้าเมืองสงขลาคนนี้ มีชื่อเสียงร่ำลือกันว่าชอบเลี้ยงเสือ และชอบจับเสือด้วยมือเปล่า เกณฑ์ราษฎรออกไปปราบเสือ แต่ห้ามใช้ปืนยิง ให้ใช้แค่มือเปล่าเท่านั้น

เมื่อพระยาวิเชียรคีรีถึงแก่กรรมในปี ๒๓๙๐ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯให้หลวงสุนทรนุรักษ์ (บุญสังข์) ผู้ช่วยราชการเมืองสงขลา ขึ้นเป็นพระยาวิเชียรคีรี ผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา และต่อมาได้เป็น เจ้าพระยาวิเชียรคีรี
เจ้าพระยาวิเชียรคีรี (บุญสังข์) เจ้าเมืองสงขลาท่านนี้ ก็คือผู้ที่สร้างถนนจากเมืองสงขลาไปถึงไทรบุรีในปี ๒๔๐๕ สมัยรัชกาลที่ ๔ โดยทรงยกส่วยเมืองสงขลาให้ ๓ ปีไปทำถนน และให้เจ้าพระยาไทรบุรีทำต่อในเขตไทรบุรี โดยพระราชทานอากรรังนกเมืองสตูล ๑๕,๐๐๐ เหรียญให้ไปทำ เป็นถนนที่เชื่อมไทยกับมาเลเซียมาจนทุกวันนี้

เมื่อเจ้าพระยาวิเชียรคีรี (บุญสังข์) ถึงแก่อนิจกรรมในปี ๒๔๐๘ โปรดเกล้าให้พระสุนทรนุรักษ์ (เม่น) บุตรพระยาวิเศษภักดี (เถี้ยนจ๋ง) ซึ่งเป็นอดีต จ่าเรศ มหาดเล็กรัชกาลที่ ๓ และเป็นผู้ช่วยราชการเมืองสงขลาอยู่ขณะนั้น เลื่อนขึ้นเป็น ผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา

เจ้าเมืองสงขลาท่านนี้ คือผู้ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯได้พระราชทานเงินให้สร้างพระเจดีย์บนเขาตังกวนเมื่อเสด็จประพาสสงขลาในปี ๒๔๒๙ ให้สูงกว่าเจดีย์เก่า คือสูงถึง ๙ วา ๑ ศอก และได้มีโอกาสรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯในปี ๒๔๑๔ เมื่อเสด็จกับจากประพาสอินเดีย ได้เสด็จทางรถยนต์จากไทรบุรีมาประทับเรือที่สงขลาเพื่อนิวัตพระนคร ซึ่งเป็นครั้งแรกที่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จข้ามแหลมมลายูทางรถยนต์

เจ้าพระยาวิเชียรคีรี (เม่น) ถึงอนิจกรรมในปี ๒๔๒๗ พระยาวิเชียรคีรี (ชุ่ม) บุตรเจ้าพระยาสงขลา (บุญสังข์) ได้เป็นเจ้าเมืองสงขลาคนต่อมา และเมื่อถึงแก่กรรมในปี ๒๓๔๑ พระยาวิเชียรคีรี (ชม) บุตรของพระยาสุนทรานุรักษ์ (เนตร) ซึ่งเป็นบุตรของเจ้าพระยาวิเชียรคีรี (เม่น) ก็ขึ้นเป็นเจ้าเมืองสงขลาคนที่ ๘ ในสายตระกูลตั้วแป๊ะเหยี่ยง

ในปี ๒๔๔๔ สมัยรัชกาลที่ ๕ ได้มีการปรับปรุงการปกครองใหม่ เลิกตำแหน่งผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา ตั้งเป็นมณฑล มีเทศาภิบาลเป็นผู้บริหารงาน ตระกูลของตั้วแป๊ะเหยี่ยงซึ่งครองตำแหน่งเจ้าเมืองสงขลามาถึง ๑๒๙ ปีก็สิ้นสุดลง
ในปี ๒๔๕๖ พระยาอภิรักษ์ราชอุทยาน (ฑิตย์) เจ้ากรมสวนหลวง องคมนตรีในรัชกาลที่ ๖ และรัชกาลที่ ๗ ซึ่งเป็นบุตรของพระยาวิเชียรคีรี (ชม) ได้ขอพระราชทานนามสกุล พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานนามสกุลผู้สืบเชื้อสายมาจาก ตั้วแป๊ะ เหยี่ยง แซ่เฮา ว่า “ณ สงขลา”

คนในตระกูล ณ สงขลา ยังมีบทบาทที่สำคัญในแผ่นดินต่อมาอีกหลายคน เช่น เจ้าพระยาศรีธรรมิเบศ (จิตร ณ สงขลา) “ขุนนาง ๕ แผ่นดิน” อดีตเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม และเป็นคนสุดท้ายที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยา

หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ ยังได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการคลัง เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภา เมื่อพ้นภารกิจทางการเมืองแล้ว ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งองคมนตรีและประธานองคมนตรีในรัชกาลที่ ๙

ส่วน พระยามานวราช (วิเชียร ณ สงขลา) น้องชายร่วมบิดามารดากับเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศร เป็นอดีตเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา อธิบดีกรมอัยการ เลขาธิการเนติบัณฑิตสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภา สมาชิกสภากรรมการองคมนตรีในรัชกาลที่ ๖ และรัชกาลที่ ๗ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ ๙ ถึง ๑๕ ปี และเป็นองคมนตรีในรัชกาลที่ ๙

นี่ก็เป็นบทบาทของทายาท ตั้วแป๊ะ เหยี่ยง แซ่เฮา กับสาวเมืองพัทลุง

เจ้าพระยาอินทคีรีศรีสมุทรสงคราม

เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ


กำลังโหลดความคิดเห็น