1.อัยการเลื่อนฟ้อง 6 ผู้ต้องหาคดีแตงโม "กระติก" ท้า ใครมีคลิปฆ่า-กรีดขา เอาออกมาเลย ด้าน "แม่แตงโม" ยันเห็นหลักฐานแล้ว ลูกตายบนบก!
ความคืบหน้าคดีการเสียชีวิตของ "แตงโม" นิดา พัชรวีระพงษ์ นักแสดงสาวชื่อดัง ที่ตกจากเรือสปีดโบ๊ท เมื่อคืนวันที่ 24 ก.พ. ขณะที่ตำรวจนนทบุรีสรุปสำนวนส่งฟ้องผู้ต้องหา 5 คนบนเรือและกุนซือที่ไม่ได้อยู่บนเรืออีก 1 คนต่ออัยการนนทบุรี คนละหลายข้อหา เช่น กระทำการประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ฯลฯ ขณะที่ก่อนจะถึงวันเผาศพแตงโมเมื่อวันที่ 24 พ.ค. ได้มีความเคลื่อนไหวที่เฟซบุ๊กของแตงโม โดยมีการโพสต์ภาพและข้อความในลักษณะว่า แตงโมถูกทำร้ายจากเพื่อนรักที่ไว้ใจ โพสต์ภาพ 1 ในผู้ต้องหาชายบนเรือจะพาแตงโมไปโรงแรม รวมทั้งโพสต์ว่า จะเปิดความจริงทั้งหมด หาก 5 คนบนเรือไม่พูดความจริง ฯลฯ ขณะที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้ยื่นหลักฐานสำคัญ 20 ชุด ให้ดีเอสไอ เพื่อประกอบการรับคดีแตงโมเป็นคดีพิเศษ พร้อมชี้ว่า แผลที่ขาขวาด้านในของแตงโมเกิดจากของมีคม ไม่ใช่ใบพัดเรือแน่นอน
ต่อมา เมื่อ 22 พ.ค. นายอัจฉริยะ ยังเผยอีกว่า ตนได้ข้อมูลจากพลเมืองดีที่สำนึกผิดมาหมดแล้วว่า ใครทำอะไรไว้บ้าง และว่า "คดีนี้ไม่ใช่คดีประมาท ขอให้ทางอัยการจังหวัดนนทบุรีอย่าเพิ่งรีบสรุปสำนวน เดี๋ยวท่านจะได้เห็นเลยว่าใครเป็นคนฆ่า และร่วมกันฆ่าอย่างไร มั่นใจว่าจะมีคนบนเรือถูกออกหมายจับอย่างน้อย 3 คน ในข้อหาร่วมกันฆ่า"
ขณะที่ พญ. คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 21 พ.ค.ว่า แผลใหญ่ที่ขาแตงโมไม่น่าจะเกิดใบพัดเรือ และจุดตก น่าจะเป็นหัวเรือ ไม่ใช่ท้ายเรือ โดยระบุว่า "เหตุเกิดจากการคุยเรื่องทุเรียนจนมาถึงแตงโม อาจารย์บรรจง ผู้เชี่ยวชาญเรื่องกุ้ง เป็นนายกสมาคมนักเล่นเจ็ตสกี รู้เรื่องเรือเป็นอย่างดีพอๆ กับเรื่องกุ้ง ฟังและดูแผลถลอกตื้นเป็นแนวแบบก้างปลาที่พบด้านหลังขา ก็บอกเหมือนคุณเอ็กซ์นักเล่นเรือ Cobalt ว่าแผลเช่นนี้จุดตกคือหัวเรือเท่านั้น ร่างจึงถูกฟินกันไม่ให้มีรอยบาดลึก อาจารย์ยังบอกว่าแผลใหญ่ไม่น่าจะเกิดจากใบพัด หลายวันมานี้มีสัญญาณที่น่าสนใจเกิดขึ้นที่น่าจะมีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเร็วๆ นี้ เอาใจช่วยให้ความจริงปรากฏ น่าจะอีกไม่นาน ต้องติดตามใกล้ชิด"
ส่วนประเด็นมือโพสต์เฟซบุ๊กของแตงโมนั้น ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ได้ออกมาเผยว่า “ICloud และมือถือ ถูกส่งให้อดีตเพื่อนรักอาจารย์เดชา หลังจากนั้นเพื่อความปลอดภัยจึงส่งต่อไปให้บังแจ็ค ซึ่งอยู่ ตปท. ปั่นกระแสต่อ!!”
ต่อมา (25 พ.ค.) นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความของนางภนิดา ศิระยุทธโยธิน แม่ของแตงโม ได้ออกมาเผยว่า พูดคุยกับแม่แตงโมแล้ว ยืนยันว่า โทรศัพท์มือถือของแตงโม อยู่ที่บังแจ็ค โดยแม่เป็นคนดำเนินการ ส่งทางไปรษณีย์ไปให้บังแจ็คด้วยตัวเอง ถึงประเทศอเมริกา ส่วนสาเหตุที่ส่งโทรศัพท์ให้บังแจ็ค เพราะบังแจ็คติดต่อมาหาแม่ และพูดคุยกันจนสนิทกัน แจ้งให้แม่ทราบว่า มีพยานหลักฐานสำคัญที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าแตงโมถูกฆ่าตาย และแม่เชื่อทุกอย่างจากบังแจ็ค
วันเดียวกัน (25 พ.ค.) บังแจ็ค หรือนายราชา ไฮเดอร์ เผยข้ามประเทศจากสหรัฐฯ ว่า คุณแม่ส่งโทรศัพท์ให้ตน เพราะแม่เข้าเครื่องไม่เป็น และไม่ไว้ใจ ถ้าจะไปให้ศูนย์มือถือเข้าให้ และแม่ไว้ใจตน บังแจ็คยังกล่าวถึงกรณีที่รายงานจากตำรวจบอกว่าวันเกิดเหตุแตงโมถ่ายรูปไว้ในโทรศัพท์ 500 กว่ารูปด้วยว่า ไม่จริง ภาพที่ตนกู้กลับคืนมาได้ตอนนี้ มีประมาณ 35,500 กว่าภาพ และมีที่ค้างไว้ที่ 10,000 กว่าภาพ และมีภาพทั้งหมดที่ขึ้นอยู่ในไอคลาวด์ ประมาณ 1 แสนกว่าภาพ แต่ภาพที่ถ่ายบนเรือมีขึ้นว่าถ่ายไว้ไม่ต่ำกว่า 1,000-1,500 ภาพ และว่า เมื่อกู้ภาพเสร็จแล้ว ก็จะส่งโทรศัพท์กลับคืนให้คุณแม่
ซึ่งล่าสุด (28 พ.ค.) บังแจ็ค เผยว่า กู้ภาพในมือถือแตงโมได้ครบ 100% แล้ว และเตรียมส่งโทรศัพท์กลับคืนให้คุณแม่ เพื่อเป็นหลักฐานในการดำเนินคดีอาญาต่อไป “ขอรับรองว่าสิ่งที่กู้ข้อมูลมือถือแตงโมมาได้ ถ้าทุกคนเห็นจะต้องตกใจแน่นอน”
ทั้งนี้ หลังมีข่าวสะพัดว่า แม่ของแตงโมไม่พอใจทนายเดชา และเตรียมปลดออกจากการเป็นทนาย เพราะทนายมองคดีแตงโมเป็นเรื่องของความประมาท ขณะที่แม่เริ่มมองว่า เป็นการฆาตกรรม สุดท้าย แม้จะยังไม่มีการปลดทนายเดชา แต่ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ทนายเดชาเป็นฝ่ายลุกขึ้นมาประกาศถอนตัวจากการเป็นทนายให้แม่แตงโม โดยให้เหตุผลที่ถอนตัวว่า เพราะความเห็นทางคดีแตงโมไม่ตรงกัน เนื่องจากตนเห็นด้วยกับพนักงานสอบสวนและอัยการว่าคดีเป็นเรื่องความประมาทของคนบนเรือ แต่คุณแม่เชื่อบังแจ็ค นายอัจฉริยะว่าเป็นคดีฆาตกรรม
นอกจากนี้ ทนายเดชายังบอกว่า ตนรับไม่ได้ที่คุณแม่ส่งมือถือแตงโมให้บังแจ็ค รวมทั้งกรณีที่คุณแม่จะให้ตนดำเนินคดีกับทนายตั้ม ที่โพสต์วิพากษ์วิจารณ์คุณแม่ ซึ่งตนทำไม่ได้ เพราะเป็นเพื่อนกัน
วันเดียวกัน (26 พ.ค.) นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้เดินทางไปยื่นหนังสือต่ออัยการสูงสุด เพื่อให้มีการเรียกสอบปากคำเพิ่มเติมคดีการเสียชีวิตของแตงโม หลังจากพบว่ามีการสร้างหลักฐานเท็จ โดยเชื่อว่า การยื่นหนังสือครั้งนี้ ทางอัยการนนทบุรีจะพิจารณาให้สอบประเด็นที่ตัวเองยื่นเพิ่มเติมและจะยังไม่มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาในวันที่ 27 พ.ค.
นอกจากนี้ นายนายอัจฉริยะยังได้เดินทางไปที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อแจ้งความดำเนินคดี น.ส.อิจศรินทร์ จุฑาสุขสวัสดิ์ หรือ กระติก 1 ในผู้ต้องหาคดีการเสียชีวิตของแตงโม ฐานให้การเท็จต่อเจ้าพนักงาน จากกรณีแก้ไขเวลาภาพถ่ายบนเรือสปีดโบ๊ท ซึ่งเป็นพยานหลักฐานชิ้นสำคัญ เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญระบุว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ภาพถ่ายแตงโมกับกระติกบนเรือ มีการแก้ไขเวลาถ่ายภาพ
นายอัจฉริยะ กล่าวด้วยว่า "ผมมองว่ากระติกเป็นบุคคลที่มีความสำคัญมากในคดี เพราะรู้เรื่องราวทั้งหมด ส่วนเรื่องบังแจ็คนั้น ขอยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องหรือได้รับข้อมูลจากบังแจ็คแต่อย่างใด ส่วนการที่ทนายเดชาที่ถอนตัว มองว่าทนายเดชาควรรับฟังคุณแม่บ้าง เมื่อคุณแม่มีข้อสงสัย ไม่ใช่ให้เชื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพียงอย่างเดียว"
ทั้งนี้ หลังจากทนายเดชาถอนตัวจากการเป็นทนายให้แม่ของแตงโม ปรากฏว่า นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ และนายอัจฉริยะ ได้เข้ามารับไม้ต่อ โดยเมื่อวันที่ 26 พ.ค. นายมงคลกิตติ์ ได้นำทีมแถลงข่าวที่รัฐสภาเปิดตัวทีมที่จะช่วยทำคดีแตงโม โดยกล่าวว่า แม่ของแตงโม ได้ประสานขอให้พรรคไทยศรีวิไลย์ และชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ช่วยทำคดี ซึ่งถือเป็นทีมเดียวกันหมด โดยมีนายอัจฉริยะ และนางภนิดา แม่ของแตงโม มาร่วมแถลงด้วย
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ตนได้รับมอบอำนาจจากนางภนิดาอย่างเป็นทางการโดยชอบด้วยกฎหมาย ในการใช้สิทธิฟ้องร้องบุคคลบนเรือทั้งหมด วันนี้ตนได้นำหลักฐานบางส่วนให้นางภนิดาดู และเชื่อว่า นางภนิดา เข้าใจในสิ่งที่ตนทำในเรื่องเกี่ยวกับฆาตกรรมอำพรางที่เกิดขึ้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป คือ จะมีการพิสูจน์เรือใหม่ รวมถึงแนวทางการฟ้องร้องดำเนินคดีบุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมอำพราง น.ส.ภัทรธิดา หลักฐานบางส่วนตนไม่สามารถเปิดให้คนทั้งประเทศดูได้ แต่ตนให้แม่ดูจนมีการแต่งตั้งตนและทีมทนายเป็นผู้รับมอบอำนาจ
นายอัจฉริยะ กล่าวด้วยว่า ตนจะเชิญอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกามาร่วมเป็นทีมงานในการร่าง
คำฟ้องด้วย และจะมีผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด 15 คน จากทุกสาขาอาชีพ เช่น ด้านการแพทย์ มี พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ที่จะมาพิสูจน์เรื่องบาดแผลก้างปลา นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ มาพิสูจน์บาดแผลที่ขาข้างขวาและบาดแผลอื่นๆ ว่า เกิดจากอะไรกันแน่ แต่ยืนยันได้ว่า ไม่ได้เกิดจากใบพัดเรือแน่นอน ผู้เชี่ยวชาญทางเรือที่สามารถยืนยันได้ว่า จากประสบการณ์ขับเรือสปีดโบ๊ตรุ่นดังกล่าว แตงโมไม่ได้ตกท้ายเรือ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องระบบจีพีเอส รวมถึงอดีตอัยการ จะมาช่วยกันผนึกกำลังเพื่อทวงความยุติธรรมให้แตงโม
ส่วนความคืบหน้าของคดี เมื่อวันที่ 27 พ.ค. อัยการจังหวัดนนทบุรีได้เลื่อนสั่งฟ้อง 6 ผู้ต้องหาในคดีนี้ โดย น.ส.สุภาภรณ์ นิปวณิชย์ หรือ อัยการดาว พนักงานอัยการจังหวัดนนทบุรี เผยว่า วันนี้ผู้ต้องหาทั้ง 6 คน มารายงานตัว และเซ็นรับทราบนัดฟังคำสั่งครั้งต่อไป โดยอัยการได้เลื่อนนัดฟังคำสั่ง เพราะขณะนี้สำนวนคดียังอยู่ที่ผู้บังคับบัญชาสำนักงานอัยการภาค 1 และอยู่ระหว่างการพิจารณาของอธิบดีอัยการภาค 1
น.ส.สุภาภรณ์ กล่าวว่า ขณะนี้อัยการจังหวัดนนทบุรีมีคำสั่งเสร็จแล้ว แต่ตามระเบียบ จะต้องส่งสำนวนพร้อมกับความเห็นให้อธิบดีอัยการภาค 1 ซึ่งได้ส่งไปเมื่อวันที่ 25 พ.ค. โดยสำนวนที่ส่งไปมีทั้งหมด 18 แฟ้ม (สำนวนของพนักงานสอบสวน จำนวน 8 แฟ้ม, อัยการจังหวัดนนทบุรีสอบเพิ่มเติมอีก 10 แฟ้ม) พร้อมกับความเห็นอีก 100 กว่าหน้า ดังนั้นการพิจารณาจึงต้องใช้ระยะเวลา และจะมีการแจ้งวันนัดหมายอีกครั้ง
ทั้งนี้ ในส่วนของผู้ต้องหา ไม่มีใครให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว ยกเว้น น.ส.อิจศรินทร์ จุฑาสุขสวัสดิ์ หรือ กระติก ที่เผยว่า อัยการได้เลื่อนนัดฟังคำสั่งคดีออกไปเป็นวันที่ 23 มิ.ย.นี้ แต่ตนไม่ทราบเหตุผล พร้อมยืนยัน ส่วนตัวไม่ได้มีความกังวลใดๆ การเลื่อนนัดเป็นเรื่องปกติ และคดีนี้สำนวนค่อนข้างเยอะ กระติก ยังบอกด้วยว่า บุคคลที่บอกว่ามีคลิปฆ่า กรีดขา ขอให้นำออกมาเลย เพื่อที่ประชาชนจะได้รู้ความจริงกัน
ล่าสุด วันนี้ (28 พ.ค.) นางภนิดา แม่ของแตงโม เผยว่า ได้เห็นหลักฐานจากโทรศัพท์ของแตงโม ที่ทำให้เชื่อได้ว่า แตงโมถูกฆาตกรรม และเป็นการเสียชีวิตบนบก ไม่ใช่ในน้ำ "น้องโมไม่ได้เสียชีวิตในน้ำ แต่เสียชีวิตบนบก คุณแม่เห็นหลักฐานว่าเสียชีวิตบนบก ข้อมูลนี้มันอยู่ในมือถือน้องโมนะ เขาถ่ายแม้กระทั่งถนนที่เขาเดิน เป็นดิน เป็นกรวด หรือเป็นทราย ถ่ายเครื่องเรือ ถ่ายทุกอย่างที่เธอมีโอกาสที่จะกดกล้องถ่ายรูปได้รอบตัวเพื่อเป็นหลักฐาน เธอน่าจะคิดว่าเธอไม่รอดแน่ๆ เธอก็ถ่ายมันทุกอย่างเลย แล้วมันก็อยู่ในกล้อง”
2.ศาลพิพากษาจำคุกหนุ่มมือโพสต์คุกคามลูกสาวฝาแฝด "บิ๊กตู่" 5 ปี ไม่รอลงอาญา หลังพบหลักฐานแน่น ไม่ได้ถูกแฮกตามที่อ้าง!
จากกรณีที่นายอภิวัฒน์ ขันทอง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทนายความประจำสำนักกฎหมาย อ.อัมพร ณ ตะกั่วทุ่ง และเพื่อน ได้รับมอบอำนาจจาก น.ส.ธัญญา และ น.ส.นิฏฐา จันทร์โอชา บุตรสาวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้แจ้งความดำเนินคดีนายวุฒิชัย สฤษฎ์เลิศวรสิน วัย 40 ปี ที่ใช้ทวิตเตอร์ชื่อ @jojoshamlet โพสต์ข้อความว่า “น้องๆ ก็จำไว้ลูก เจอลูกสาวประยุทธ์ที่ไหน อย่าลืมรุมข่มขืนด้วยเธอ”
ซึ่งนายอภิวัฒน์ ได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง ตามความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 85 ผู้ใดโฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เมื่อวันที่ 23 มี.ค.2564 โดย พ.ต.อ.ภูมิยศ เหล็กกล้า ผกก.กลุ่มงานสอบสวน บก.น.1 และ พ.ต.ท.อธิชย์ ดอนนันชัย รอง ผกก. (สอบสวน) สน.นางเลิ้ง ได้ออกหมายเรียกนายวุฒิชัย มาพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 29 มี.ค.2564 แต่ผู้ต้องหาเข้ามาพบก่อน เมื่อวันที่ 24 มี.ค.2564
จากนั้น พนักงานสอบสวนได้ขอหมายค้นที่พักนายวุฒิชัย ตรวจสอบอุปกรณ์โน้ตบุ๊ก โทรศัพท์มือถือและที่เกี่ยวข้อง พบหลักฐานแน่นหนาว่า ไม่ได้ถูกแฮกตามที่ผู้ต้องหากล่าวอ้างแต่อย่างใด จนท้ายที่สุด เจ้าตัวให้การรับสารภาพ และถูกนำตัวส่งฟ้องต่อศาล
ล่าสุด (26 พ.ค. 2565) ศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้ตัดสินจำคุกนายวุฒิชัย 7 ปีครึ่ง แต่ผู้ต้องหาไม่เคยกระทำผิดมาก่อน และให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 5 ปี ไม่รอลงอาญา
3. "บิ๊กโจ๊ก" แถลงจับ "ต๊ะ บอยสเก๊าท์" กับพวก ปมขายหวยทิพย์ ด้านเจ้าตัวปฏิเสธ ยันสลากมีอยู่จริง-ไม่ใช่ผู้จัดหา ขณะที่ "แอนนา" ยันเป็นแค่พรีเซนเตอร์!
เมื่อวันที่ 25 พ.ค. พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะรองประธานคณะอนุกรรมขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้แถลงจับกุมนายวินรวีร์ ใหญ่เสมอ หรือ ต๊ะ บอยสเก๊าท์ ศิลปินนักร้อง กับพวก ฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันลักลอบจัดให้มีการเล่นการพนันสลากกินรวบ พนันเอาทรัพย์สินโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ ภายหลังแพลตฟอร์มกองสลากพลัสเข้าแจ้งความว่า ผู้ต้องหากับพวกมีพฤติการณ์นำสลากที่ไม่มีอยู่จริง มาขายบนแพลตฟอร์มโชคดีลอตเตอรี่
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เผยว่า มีผู้ต้องหา 3 ราย ตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ประกอบด้วย นายวินรวีร์ นายวรินทร วัตรสังข์ หรือแอนนา และ น.ส.มินตรา ขุนสวัสดิ์ หรือแนน ขณะที่จับได้แล้ว 2 ราย ข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ความผิดตาม พ.ร.บ.การพนัน และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ หลังจากพบว่า สลากของทางแพลตฟอร์มมีการปกปิดบาร์โค้ด และสัญลักษณ์สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และมีเจตนานำสลากไปวนขาย อีกทั้งเป็นสลากทิพย์ไม่มีอยู่จริง มีผู้เสียหายประมาณ 50 ราย
ส่วนการอ้างว่า นำสลากมาจากคนกลาง จะต้องตรวจสอบถึงเรื่องโควต้าของผู้มีสิทธิต่อไป เบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ ส่วนนายวรินทร อยู่ต่างประเทศ หากไม่มอบตัว จะต้องออกหมายแดง ประสานกับองค์การตำรวจสากล หรืออินเตอร์โพล นำตัวมาดำเนินคดีต่อไป
ในเวลาต่อมา นายวินรวีร์ พร้อมด้วยนายรัชพล ศิริสาคร ทนายความ ได้เดินทางมาที่ สน.ทองหล่อ โดยนำหลักฐานเป็นสลากงวดวันที่ 16 พ.ค.ที่ผ่านมา และสลากงวดวันที่ 1 มิ.ย.นี้ มาให้กับพนักงานสอบสวน เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ว่า ทางแพลตฟอร์มมีสลากจริง
นายวินรวีร์ เผยด้วยว่า ที่ผ่านมาทำหน้าที่ช่วยโปรโมตให้กับทางแพลตฟอร์มมาแล้ว 8 งวด ซึ่งตรวจสอบแล้วว่า มีสลากจริงและมีการนำสลากที่ถูกรางวัลไปขึ้นเงินรางวัล แต่วันนี้กลับตกเป็นผู้ต้องหา ก่อนหน้านี้ก็แจ้งไปทางแพลตฟอร์ม และทางแพลตฟอร์มนำสลากของจริงมาให้ดูแล้ว ซึ่งรู้สึกโมโหมากที่ถูกจับกุม เพราะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดหา จัดเก็บสลาก หรือมีตำแหน่งใดในบริษัท เพียงแค่ทำการตลาดโดยการแชร์ลิงก์เท่านั้น
ด้านแอนนา ได้ออกมาชี้แจงปมหวยทิพย์ โดยยืนยันว่า ตนเป็นแค่พรีเซนเตอร์ในบริษัทโชคดีลอตเตอรี่ และเตรียมกลับไทยวันที่ 3 มิ.ย.นี้แน่นอน แต่อาจเลื่อนวันให้เร็วขึ้น หากลงทะเบียนไทยแลนด์พาสเรียบร้อย พร้อมย้ำ เงินทุกบาทมาจากน้ำพักน้ำแรงของตน ไม่ได้ฟอกเงิน "...ตอนเกิดเรื่องสลาก แอนนาอยู่ต่างประเทศ สอบถามไปทางบริษัท เลยทราบว่า มีคนเอาสลากมาขาย โดยส่งใบแสกนมาก่อน พอบริษัทถามหาสลากจริงกลับไม่มี เมื่อทางบริษัททราบ จึงรีบจัดการคืนเงินลูกค้าไปวันที่ 8 พ.ค.”
แอนนา ระบุอีกว่า “ขอบคุณพี่นอท ที่เข้าแจ้งความ ทำให้เราทราบว่านี่ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ และพี่นอทก็คู่ควรกับการเป็นนายกสมาคมลอตเตอรี่จริงๆ ขอบคุณระบบ Vrich มันคือความโชคดีที่เราใช้ระบบนี้ในการขายของ ดังนั้นประเด็นฟอกเงิน ยินดีให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบทุกบาท เพราะมันคือเงินสีขาวที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงการไลฟ์สดขายของ ในส่วนของโชคดีลอตเตอรี่ แอนนาได้รับงวดละ 100,000 บาท สามารถแสดงเอกสารได้ บัญชีแอนนาหรือบุคคลใกล้ตัวทุกบัญชีสามารถแสดงเอกสารให้ตรวจสอบได้ จงอย่ากลัวกฏหมาย เพราะกฏหมายมีไว้คุ้มครองทุกคน..."
4. “ชัชชาติ” แลนด์สไลด์ ชนะเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ถล่มทลาย เกือบ 1.4 ล้านคะแนน ทิ้งห่างอันดับ 2 “ดร.เอ้” ไม่เห็นฝุ่น!
เมื่อวันที่ 23 พ.ค. กกต.กรุงเทพฯ ได้สรุปผลเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. และ ส.ก. อย่างไม่เป็นทางการ หลังนับคะแนนจาก 50 สำนักงานเขต รวม 6,817 หน่วยเลือกตั้งครบ 100% ในเวลา 00.45 น. ปรากฏว่า ผู้ชนะการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. คือ หมายเลข 8 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครอิสระ ได้คะแนนเลือกตั้งสูงสุด 1,386,769 คะแนน คิดเป็น 51.8%
ส่วนผู้ที่ได้คะแนนตามมาเป็นอันดับ 2 คือ เบอร์ 4 นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ พรรคประชาธิปัตย์ 254,723 คะแนน คิดเป็น 9.5% อันดับ 3 เบอร์ 1 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร พรรคก้าวไกล 253,938 คะแนน คิดเป็น 9.5% อันดับ 4 เบอร์ 3 นายสกลธี ภัททิยกุล สมัครในนามอิสระ 230,534 คะแนน คิดเป็น 8.6% อันดับ 5 เบอร์ 6 พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง สมัครในนามอิสระ 214,805 คะแนน คิดเป็น 8.0% อันดับ 6 เบอร์ 7 นางสาวรสนา โตสิตระกูล สมัครในนามอิสระ 79,009 คะแนน คิดเป็น 2.9% อันดับ 7 เบอร์ 11 น.ต.ศิธา ทิวารี พรรคไทยสร้างไทย 73,926 คะแนน คิดเป็น 2.7%
อันดับ 8 เบอร์ 5 นายวีรชัย เหล่าเรืองวัฒนะ สมัครในนามอิสระ 20,750 คะแนน อันดับ 9 เบอร์ 2 พ.ท.หญิง ฐิฏา รังสิตพล มานิตกุล สมัครในนามอิสระ 19,859 คะแนน อันดับ 10 เบอร์ 9 นางสาววัชรี วรรณศรี สมัครในนามอิสระ 8,280 คะแนน อันดับ 11 เบอร์ 24 นายโฆสิต สุวินิจจิต สมัครในนามอิสระ 3,247 คะแนน อันดับ 12 เบอร์ 12 นายประยูร ครองยศ สมัครในนามอิสระ 2,219 คะแนน อันดับ 13 เบอร์ 10 นายศุภชัย ตันติคมน์ สมัครในนามอิสระ 2,189 คะแนน อันดับ 14 เบอร์ 16 นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ สมัครในนามอิสระ 2,129 คะแนน
อันดับ 15 เบอร์ 22 นายวรัญชัย โชคชนะ สมัครในนามอิสระ 1,128 คะแนน อันดับ 16 เบอร์ 14 นายธเนตร วงษา สมัครในนามอิสระ 1,094 คะแนน อันดับ 17 เบอร์ 18 นางสาวสุมนา พันธุ์ไพโรจน์ สมัครในนามอิสระ 909 คะแนน อันดับ 18 เบอร์ 13 นายพิศาล กิตติเยาวมาลย์ สมัครในนามอิสระ 868 คะแนน อันดับ 19 เบอร์ 31 นายวิทยา จังกอบพัฒนา สมัครในนามอิสระ 813 คะแนน อันดับ 20 เบอร์ 17 นายอุเทน ชาติภิญโญ สมัครในนามอิสระ 757 คะแนน อันดับ 21 เบอร์ 19 นายไกรเดช บุนนาค สมัครในนามอิสระ 636 คะแนน อันดับ 22 เบอร์ 15 พล.อ.ต.ทูตปรีชา เลิศสันทัดวาที สมัครในนามอิสระ 574 คะแนน อันดับ 23 เบอร์ 20 นางอมรพรรณ อุ่นสุวรรณ สมัครในนามอิสระ 558 คะแนน
อันดับ 24 เบอร์ 29 นายกฤตชัย พยอมแย้ม พรรคประชากรไทย 494 คะแนน อันดับ 25 เบอร์ 25 นายประพัฒน์ บรรจงศิริเจริญ สมัครในนามอิสระ 460 คะแนน อันดับ 26 เบอร์ 23 นายเฉลิมพล อุตรัตน์ สมัครในนามอิสระ 432 คะแนน อันดับ 27 เบอร์ 30 นายพงศา ชูแนม พรรคกรีน 424 คะแนน อันดับ 28 เบอร์ 27 นายภูมิพัฒน์ อัศวภูภินทร์ สมัครในนามอิสระ 391 คะแนน อันดับ 29 เบอร์ 26 พล.ต.ท.มณฑล เงินวัฒนะ สมัครในนามอิสระ 360 คะแนน อันดับ 30 เบอร์ 21 นายนิพัทธ์พนธ์ สุวรรณชนะ สมัครในนามอิสระ 342 คะแนน
ทั้งนี้ มีผู้ใช้มาสิทธิเลือกตั้งร้อยละ 60.73%, บัตรดี 2,561,447 บัตร หรือ 95.80% บัตรเสีย 40,017 บัตร หรือ 1.50% และไม่ประสงค์ลงคะแนน 2.70%
ส่วนผลการเลือกตั้ง ส.ก.อย่างไม่เป็นทางการ ปรากฏว่า อันดับ 1 พรรคเพื่อไทย (พท.) ชนะ 19 เขต อันดับ 2 พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ชนะ 14 เขต อันดับ 3 พรรคประชาธิปัตย์ ชนะ 9 เขต อันดับ 4 พรรคไทยสร้างไทย 2 เขต อันดับ 5 พรรคพลังประชารัฐ 2 เขต อันดับ 6 กลุ่มรักษ์กรุงเทพ 2 เขต อันดับ 7 ผู้สมัครอิสระ 2 เขต
ด้าน กกต.กล่าวถึงการประกาศผลเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.และ ส.ก.ว่า เมื่อ กกต.ได้ตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว มีเหตุอันควรเชื่อว่า ผลการเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ก็จะประกาศผลการเลือกตั้งภายใน 30 วัน นับแต่วันเลือกตั้ง แต่หากมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ไม่ว่าจะมีผู้ร้องเรียนกล่าวโทษหรือไม่ กกต.จะสืบสวนหรือไต่สวนให้แล้วเสร็จ และประกาศผลเลือกตั้ง หรือจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ หรือดำเนินการอื่นที่จำเป็น แล้วแต่กรณีโดยเร็ว ภายใน 60 วัน
ส่วนผลการเลือกตั้งนายกเมืองพัทยาและสมาชิกสภาเมืองพัทยา จ.ชลบุรี กกต. ได้เผยผลการรวมคะแนนอย่างไม่เป็นทางการเมื่อวันที่ 24 พ.ค. ปรากฏว่า ผู้ที่ได้คะแนนมากสุด คือ หมายเลข 1 นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ กลุ่มเรารักพัทยา ได้ 14,349 คะแนน ตามด้วย หมายเลข 4 นายสินธ์ไชย วัฒนศาสตร์สาธร กลุ่มพัทยาร่วมใจ ได้ 12,477 คะแนน หมายเลข 3 นายกิตติศักดิ์ นิลวัฒนโฆชัย คณะก้าวหน้า ได้ 8,759 คะแนน หมายเลข 2 นายศักดิ์ชัย แตงฮ่อ ผู้สมัครอิสระ ได้ 990 คะแนน
ทั้งนี้ กกต.เผยจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งนายกเมืองพัทยาและสมาชิกสภาเมืองพัทยาว่า มีจำนวน 78,018 คน ผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง 38,320 คน บัตรดี 36,575 บัตร บัตรเสีย 1,001 บัตร บัตรไม่เลือกผู้สมัครผู้ใด 44 บัตร
5. ศาลอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว "ตะวัน" จำเลยคดีหมิ่นสถาบัน มีกำหนด 1 เดือน-ติดกำไล EM หลังเจ้าตัวยืนยันจะไม่ทำผิดเงื่อนไขอีก!
เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ศาลอาญาได้นัดไต่สวนคำร้องขอประกันตัว น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือตะวัน อดีตสมาชิกกลุ่มทะลุวัง จำเลยคดีหมิ่นสถาบัน มาตรา 112 จากการถูกกล่าวหาว่าไลฟ์สดก่อนจะมีขบวนเสด็จ ที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ใช้ตำแหน่ง ส.ส.ขอประกันตัว
คดีนี้ ศาลมีคำสั่งเพิกถอนประกันตะวันเมื่อวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา ทำให้ตะวันถูกฝากขังระหว่างสอบสวนมาตั้งแต่ผัดที่ 4 และศาลอนุญาตให้ฝากขังเรื่อยมาจนถึงผัดที่ 8 ต่อมาเมื่อวันที่ 20 พ.ค. ทนายความได้ยื่นขอประกันตัวตะวันโดยใช้ตำแหน่ง ส.ส. ของนายพิธา เป็นครั้งที่ 2 และศาลได้นัดไต่สวนคำร้องดังกล่าวเมื่อวันที่ 26 พ.ค.
ทั้งนี้ ในการไต่สวน ศาลไม่ได้เบิกตัวตะวันมาศาล โดยให้เบิกตัวผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์เช่นทุกครั้งแทน โดยให้เหตุผลว่า หากเบิกตัวมาศาล เกรงว่าตะวันจะอ่อนล้าเกินไป เพราะอดอาหารมาเป็นเวลานาน (อดอาหารประท้วงมากว่า 30 วัน)
ต่อมา ศาลได้สอบถามนายพิธาว่า หากปล่อยตัวชั่วคราวตะวัน ในฐานะนายประกันจะให้ความมั่นใจต่อศาลได้อย่างไรว่าจะกำกับดูแลจำเลยได้ ด้านนายพิธาตอบว่า ตนยินดีทำหน้าที่เป็นผู้กำกับดูแล เพื่อให้ตะวันปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาล จะทำหน้าที่คอยตักเตือนและดูแลตะวันเอง โดยพ่อและแม่ของตะวันยินยอมให้ศาลแต่งตั้งนายพิธาเป็นผู้กำกับดูแลของตะวันด้วย
ศาลถามว่า หากตะวันได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวออกไปแล้วและทำผิดเงื่อนไขของศาลอีก นายพิธาในฐานะนายประกันและผู้กำกับดูแลจะทำอย่างไร นายพิธาตอบว่า “จะรับผิดชอบอย่างเต็มที่ตามที่กฎหมายได้ให้อำนาจรับรองไว้” ศาลตอบกลับว่า การรับผิดชอบดังกล่าวศาลจะถือว่าเป็นการทำผิดเงื่อนไขสัญญาประกันของศาล ซึ่งอาจจะถูกปรับเงินหรืออาจจะเป็นอย่างอื่นก็ได้ ทั้งนี้ ต้องพิจารณาพฤติการณ์ของจำเลยที่จะกระทำผิดเงื่อนไขของศาลในเวลานั้นก่อน
จากนั้น ศาลได้ไต่สวนตะวัน โดยตะวันเบิกความว่า รู้จักกับนายพิธาและตนยินดีที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขหากศาลให้ปล่อยตัวชั่วคราว และจะเชื่อฟังนายพิธาในฐานะผู้กำกับดูแลให้สามารถว่ากล่าวตักเตือนได้ และหากตนถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราวของศาล ตนยินดีจะมาศาลพร้อมกับนายพิธา หากตนได้ปล่อยตัวชั่วคราวออกไปจะพักอยู่อาศัยกับพ่อแม่ ผู้ซึ่งเป็นผู้อบรมสั่งสอนและดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายในการใช้ชีวิตและเล่าเรียนทั้งหมด
ด้านศาลได้เสนอเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราวกับตะวันว่า ยินดีรับเงื่อนไขต่างๆ ของศาลหรือไม่ ตะวันตอบรับว่า ยินดี หากศาลกำหนดเงื่อนไขให้ติดกำไลอิเล็กทรอนิกส์ (EM), จำกัดสถานที่, ให้เรียนผ่านระบบออนไลน์, จำกัดการเดินทาง, ให้อยู่ในเคหสถาน, แต่งตั้งให้พิธาเป็นผู้กำกับดูแล จะไม่กระทำทำผิดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราวของศาลอีก
ต่อมา ช่วงบ่ายวันเดียวกัน หลังศาลพิเคราะห์คำเบิกความของนายพิธา ผู้ร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว และจำเลยแล้วเห็นว่า ผู้ร้องรับรองและยืนยันว่า จะเป็นผู้กำกับดูแลจำเลยไม่ให้ผิดเงื่อนไขตามที่ศาลกำหนด แสดงความรับผิดชอบว่า หากจำเลยผิดเงื่อนไข ผู้ร้องขอปล่อยชั่วคราวยินยอมรับผิดตามที่ศาลเห็นสมควร
ประกอบกับจำเลยรับรองว่า จะไม่ทำผิดเงื่อนไขที่ศาลกำหนดอีกดังเช่นที่เคยผิดเงื่อนไขมาแล้ว และไม่ขัดข้องที่ศาลจะกำหนดเงื่อนไขในการติดอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ EM รวมทั้งการจำกัดเวลาในการอยู่ในเคหสถาน แสดงว่าจำเลยรู้สึกสำนึกถึงการกระทำผิดเงื่อนไขในครั้งก่อนมาพอสมควรแล้ว ประกอบกับผู้ร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวเป็นผู้ที่น่าเชื่อถือว่าจะกำกับดูแลและควบคุมจำเลยได้ กรณีจึงมีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลย อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยมีกำหนด 1 เดือน นับแต่วันนี้ (26 พ.ค.) โดยกำหนดเงื่อนไขให้ติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องติดตามตัว (EM) ห้ามออกนอกเคหสถานตลอดระยะเวลาที่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว เว้นแต่กรณีเจ็บป่วยหรือได้รับอนุญาตจากศาล
หากเป็นกรณีเจ็บป่วย ให้แสดงหลักฐานทางการแพทย์ต่อศาลภายใน 3 วัน ห้ามกระทำการในลักษณะเดียวกันกับที่ถูกกล่าวหาหรือเข้าร่วมกิจกรรมใดๆ อันอาจก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ห้ามจำเลยกระทำการใดๆ ในอันที่จะก่อให้เกิดความเสื่อมเสียหรือเกิดความกระทบกระเทือนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล โดยตั้งนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้ร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวเป็นผู้กำกับดูแลความประพฤติของจำเลย มีอำนาจในการว่ากล่าวตักเตือนและควบคุมมิให้จำเลยกระทำผิดเงื่อนไขของศาลอย่างเคร่งครัด หากมีการกระทำผิดเงื่อนไขถือว่าผู้ร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวผิดสัญญาประกัน
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 25 พ.ค. พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 5 ได้เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.ทานตะวัน เป็นจำเลย ต่อศาลอาญา ในความผิดฐานหมิ่นสถาบันฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความเท็จ อันน่าจะเกิดความเสียหายแก่ความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 และฉบับที่ 2 พ.ศ.2560 มาตรา 8 พ.ร.บ.การถวายความปลอดภัย พ.ศ.2560 มาตรา 4 และต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานโดยใช้กำลังประทุษร้าย, ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานโดยไม่มีเหตุหรือไม่มีข้อแก้ตัวตามสมควร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138, 368
โดยสรุปพฤติการณ์กระทำผิดว่า เมื่อวันที่ 5 มี.ค. จำเลยพูดถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊ก ในหัวข้อ “มารับขบวนเสด็จ” ซึ่งมีวัตถุประสงค์ให้เกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน และจากคำกล่าวของจำเลยมีเจตนาให้ประชาชนเคลือบแคลงสงสัยต่อสถาบันฯ ว่า เหตุที่ม็อบชาวนาต้องย้ายการชุมนุมเพราะขบวนเสด็จ และเมื่อเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในเส้นทางเสด็จแจ้งกับจำเลยให้หยุดการไลฟ์สดขณะมีขบวนเสด็จ หรือกระทำการใดๆ ที่อาจเกิดความไม่ปลอดภัยในขบวนเสด็จ แต่จำเลยไม่หยุดการไลฟ์สดโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งศาลประทับฟ้องไว้เป็นคดี