ควันหลงเอฟเฟ็กต์เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. "สามารถ"จี้เปลี่ยนตัว รมว.ดีอีเอส แจง"ชัชชาติ"ยันนายกฯ ตู่ คะแนนนิยมดีกว่าเทียบจากแคนดิเดตนายกฯปี 2562 ได้
วันนี้ (23 พ.ค.) นายสามารถ เจนชัยจิตรวณิช อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ได้แสดงความคิดเห็นกรณีที่นายชัชาติ สิทธิพันธ์ ผู้สมัครเลือกตั้งผู้ว่ากทม.ในนามอิสระ ได้รับเลือกเป็นผู้ว่ากทม.เมื่อวันที่22พฤษภาคมที่ผ่านมา ว่าตนขอแสดงความยินดีกับอาจารย์ชัชชาติ ด้วย แต่การออกมาบอกว่ามีคะแนนเลือกตั้งชนะพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีนั้นผมว่าไม่เป็นความจริง เพราะในช่วงสมัยตอนเลือกตั้งปี 2562 อาจารย์ชัชชาติ เป็นแคนดิเดต
นายกฯของพรรคเพื่อไทย และพลเอกประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกของพรรคพลังประชารัฐ ปรากฏว่าพรรคพลังประชารัฐได้คะแนนจากการเลือกตั้งของพ่อแม่พี่น้องประชาชนทั่วประเทศ 8.4 ล้านคะแนน ส่วนพรรคเพื่อไทยมีคะแนนแค่ 7.9 ล้าน เพราะฉะนั้นนี้คือข้อเท็จจริง
"ส่วนการเลือกตั้งผู้ว่ากทม.วานนี้ที่ท่านชัชชาติ ได้คะแนนกว่า1.3ล้านคะแนน นั้นสอดคล้องกับบริบทของคนกรุงเทพมหานครอยู่แล้ว ถ้าหากเราดูในอดีตจะเห็นว่าการเลือกตั้งผู้ว่ากทม. ถ้าพรรคการเมืองใดเป็นรัฐบาลในเวลานั้นส่งผู้สมัครก็จะแพ้เสมอ ส่วนผู้สมัครจากพรรคฝ่ายค้านหรือผู้สมัครอิสระก็จะได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่ากทม.ซึ่งเป็นมาตั้งแต่สมัยอดีตนายกฯทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็จะเห็นว่าพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย ก็ไม่เคยได้ผู้ว่ากทม. ซึ่งอาจารย์ชัชาติก็รู้ดีอยู่แก่ใจ จึงได้ลงสมัครแข่งขันเลือกตั้งในนามผู้สมัครอิสระ
นอกจากนี้ ตนขอชี้แจงเกี่ยวกับที่อาจารย์ชัชชาติ บอกว่าผลการเลือกตั้งชี้ว่า 3 ป ถึงขาลงนั้นก็ไม่จริง เพราะไม่ว่าจะเป็นพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือแม้แต่พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา นั้นทั้ง3คนต่างไม่ได้เชียร์ใครเลย เนื่องจากกฏหมายห้ามตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ
2560 นั่นเอง ดังนั้นจะเห็นว่าทั้งพลเอกประยุทธ์ พลเอกประวิตร พลเอกอนุพงษ์ไม่ได้เชียร์ผู้สมัคร กทม.คนไหนเลย ไม่ได้ขึ้นเวทีปราศรัยแม้แต่ครั้งเดียว นั่นก็คือข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่า3ป ไม่ได้คะแนนนิยมลดลงและยังมีคนไม่ออกมาใช้สิทธิ์สูงถึง
39.27%
และในส่วนการเลือกตั้งกทม.นั้น ถ้าเราดูในรายชื่อผู้สมัครจะเห็นว่าอาจารย์ชัชชาติเป็นถึงอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ส่วนผู้สมัครคนอื่นนั้นไม่มีใครได้เคยเป็นรัฐมนตรี ไม่มีใครมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เท่า เพราะฉะนั้นการที่อาจารย์ชัชชาติ ชนะการเลือกตั้งได้เป็นผู้ว่ากทม.
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ผมก็อยากขอให้ท่านได้ทำตามนโยบาย9ดีที่อยากจะทำให้กรุงเทพฯดี เพราะผมก็เป็นคนกรุงเทพ
ผมก็อยากให้อาจารย์ชัชชาติได้ ทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้และทำให้กรุงเทพมหานครดีขึ้นจริงๆ เพราะวันนี้ท่านได้เป็นตัวแทนของคนกรุงเทพฯแล้ว ก็หวังว่าจะทำตามอย่างคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้กับพ่อแม่ พี่น้อง ประชาชน ส่วนพรรคพลังประชารัฐนั้นไม่ได้ส่งผู้ว่ากทม.
ส่วนเรื่องที่ได้สก.เพียง 2 คนนั้น ก็เป็นเรื่องของผู้สมัครส.ก.ไม่ได้เกี่ยวกับพรรค แต่เรื่องนี้ก็ต้องย้อนกลับไปที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าหากดูเรื่องนี้จากกรณีของต่างประเทศนั้น จะเห็นว่าเมื่อเขาเลือกตั้ง ประชาชนของเขาก็จะเลือกขั้วตรงข้ามรัฐบาลในช่วงวิกฤตโควิดเพราะว่าทุกคนได้รับผลกระทบ ซึ่งก็สอดคล้องกับที่ผมเคยย้ำบอกพลเอกประยุทธ์ ว่าต้องปรับครม.เพื่อ กระตุ้นเศรษฐกิจกระตุ้นการทำงาน ให้มีความรวดเร็ว และทันสมัยมากขึ้น สิ่งสำคัญที่ผมบอกนายกฯว่า ความเดือดร้อนของประชาชนในการถูกฉ้อโกง แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การหมิ่นเบื้องสูง เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องรีบทำ รวมทั้งการปลูกฝังจิตสำนึกให้รักชาติ บ้านเมือง สถาบันพระมหากษัตริย์นั้นเป็นสิ่งที่ต้องทำ ซึ่งโซเชียลมีเดียเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องหันมามอง ดังจะเห็นได้จากเมื่อเราไปดูตัวผู้สมัครสก.
ของพรรคก้าวไกล ไม่เคยเดินหาเสียง ไม่เคยเดินลงพื้นที่หนักเท่าคนอื่น แต่กลับได้รับการเลือกตั้งจากพ่อแม่พี่น้องประชาชน เพราะฉะนั้นวันนี้เด็ก เยาวชน เขาไม่ได้อยู่บ้านหรอกครับ เขาอยู่ในโซเชียล ดังนั้นการที่เราจะสื่อสารกับเขาอย่างไร นั่นคือสิ่งที่เราต้องมาถอดบทเรียน จึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ ได้สั่งการไปยังกระทรวงดิจิตอลให้มีการทำงานเชิงรุกมากกว่านี้ และหากทำไม่ได้ก็อยากให้เปลี่ยนตัวรัฐมนตรีกระทรวงดิจิตอลออกไปก่อนที่จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เพราะว่าตนคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เสียงในสภาแต่คิดว่าเป็นเรื่องเสียงศรัทธาของประชาชน ถ้าแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนประชาชนก็จะเป็นพลังให้รัฐบาล ดังนั้นใครทำงานดีนายกฯก็ส่งเสริมให้อยู่กระทรวงใหญ่ขึ้น ใครทำงานไม่เป็นก็ให้กลับไปเลี้ยงหลาน ไม่ใช่ปล่อยให้ชาวบ้านเดือดร้อนแบบนี้